My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 149
รถม้าล่องเมฆาได้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะหยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ไม่มีโอกาสขึ้นรถม้าได้แต่จ้องมองมันจากพื้นดินที่พวกเธอกำลังยืนอยู่เท่านั้น รถม้าล่องเมฆาที่ในตอนแรกดูคล้ายกับรถม้าลอยฟ้าธรรมดาๆ ในตอนนี้กำลังดูเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น
หมิงซี่หยินในตอนนี้กำลังควบคุมพังงาของรถม้าอยู่ เขาเป็นผู้ที่มองเห็นภูเขาทองได้ทั่วทั้งลูก หมิงซี่หยินที่เตรียมพร้อมเสร็จแล้วได้เริ่มพูดขึ้น “ออกเดินทางได้! “
รถม้าลอยฟ้าได้เคลื่อนที่ไปด้านหน้า
“เมืองถังซีอยู่ไม่ไกล เจ้าเคลื่อนที่ไปให้ช้าที่สุดซะ” ลู่โจวได้สั่งการเอาไว้
“ได้ครับท่านอาจารย์”
รถม้าลอยฟ้าได้เคลื่อนที่ช้าลงเรื่อยๆ คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในรถม้าได้แค่มองดูทิวทัศน์จากทางด้านล่างทั้งพื้นดิน, ภูเขา, ป่าไม้ และแม่น้ำต่างๆ จากบนท้องฟ้าในตอนนี้สามารถเห็นเหล่าสัตว์ร้ายที่มีอยู่บนพื้นเบื้องล่างได้ แสงอาทิตย์ของวันได้สาดส่องผ่านก้อนเมฆก่อนที่จะลงสู่พื้นภูเขาทองไป
ลู่โจวได้เริ่มพูดขึ้น “ผู้อาวุโสฮั๊ว…พวกเราจะไหวไหม? “
“สำนักหยุนมีรถม้าลอยฟ้าอยู่ทั้งหมด 2 คันด้วยกัน หนึ่งในรถม้าลอยฟ้าถูกใช้โดยเหล่าเจ้าสำนัก ส่วนรถม้าอีกคันถูกใช้โดยลูกสาวของท่านเจ้าสำนัก แม้ว่ารถม้าทั้งสองคันจะรวมพลังกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็เทียบไม่ได้กับรถม้าล่องเมฆาคันนี้ได้” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาตรงๆ
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “มันก็แค่วิธีการเดินทางก็เท่านั้น นั่นมันไม่สำคัญมากพอที่พวกเราจะพูดถึงหรอกนะ”
“วิธีการเดินทางอย่างงั้นหรอ? วิธีที่ท่านปรมาจารย์พูดยังดูไม่ทุกข์ร้อนเช่นเดิมเลยนะ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พยักหน้า
รถม้าลอยฟ้าล่องเมฆายังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป
ฮั๊ววู่เด๋าได้ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพูดความในใจออกมา “ฝานซุยเหวินในตอนนี้เป็นเพียงนักโทษไร้พลังเท่านั้น พลังวรยุทธทั้งหมดที่เขามีได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ พวกเราในตอนนี้กำลังต่อสู้กับเหล่าลูกหลานของสิบคนทรง ทำไมเราจะต้องพาฝานซุยเหวินมาด้วยล่ะ? “
“ฝานซุยเหวินน่ะเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำ เจ้านั่นน่ะมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ แต่ถึงแบบนั้นเจ้านั่นก็เต็มใจที่จะคุกเข่าให้กับม่อหลี่” ลู่โจวตอบกลับมา
“ท่านกำลังจะบอกว่าม่อหลี่ข่มขู่ฝานซุยเหวินได้อย่างงั้นหรอ? “
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดต่อไป “จากตอนที่ข้าได้พูดคุยกับฝานซุยเหวินมา ข้าน่ะสงสัยจริงๆ ว่าผู้หญิงแบบไหนกันทำให้คนอย่างฝานซุยเหวินยอมจำนนและไม่กลัวตายได้ถึงขนาดนี้”
ฮั๊ววู่เด๋าได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หรือว่าจะเป็นเพราะเวทมนตร์คาถาล่ะ? “
“เป็นไปได้”
“เป็นไปตามที่คิดสินะ…” ฮั๊ววู่เด๋าตกใจเล็กน้อย “วิธีการควบคุมคนที่ชั่วร้ายแบบนี้ได้สูญหายไปนานแล้ว ข้าไม่คาดคิดเลยว่ามันจะปรากฏมาในยุคในสมัยนี้ได้”
“โลกใบนี้น่ะมันกว้างใหญ่เกินไป”
รถม้าลอยฟ้ายังคงบินต่อไป
เมื่อใกล้ที่จะถึงเมืองถังซี ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธนักเดินทางหลายคนก็ได้สังเกตเห็นรถม้าลอยฟ้าแล้ว
“นั่นรถม้าลอยฟ้า รถม้าลอยฟ้า! “
“นี่มันรถม้าของสำนักไหนกัน? “
“ข้าเองมองไม่เห็นธงอะไร…ไม่มีคำอธิบายอะไรสลักเอาไว้บนรถม้านั่นเลย”
เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหม่จะจำรถม้าลอยฟ้าล่องเมฆาไม่ได้
เมื่อผู้ฝึกยุทธที่มีอายุมากกว่าเห็นรถม้าคันนั้น ดวงตาของพวกเขาทั้งหมดก็ได้เบิกกว้างขึ้นมาทันที “นั่นมันรถม้าล่องเมฆา รถม้าของปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า! “
“รถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? “
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่จ้องมองรถม้าลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว เหล่าผู้คนผู้ขี้ขลาดทั้งหลายได้วิ่งหนีในทันทีตั้งแต่ได้รู้ความจริงเข้า
“ในสมัยก่อนจีเทียนเด๋าคนนั้นได้ใช้รถม้าคันนี้เดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่ง”
“จีเทียนเด๋าในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาทองรอคอยให้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึงหรอกหรอ? “
“แม้ว่าอูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าได้…อย่าลืมสิว่าก่อนหน้านี้สุดยอดฝีมือทั้งสิบได้บุกภูเขาทองมาแล้ว พวกเขาทั้งหมดต่างก็ได้รับความพ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ครั้งนั้น”
ผู้ฝึกยุทธเมืองถังซีต่างก็จับจ้องไปที่รถม้า เมื่อมีการพูดถึงปรมาจารย์มหาวายร้ายขึ้นมา สีหน้าของทุกๆ คนก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่นานหลังจากนั้นรถม้าลอยฟ้าล่องเมฆาก็ได้ลอยเกือบจะถึงเมืองถังซี
ฝานซงมองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง ในตอนนั้นเขาก็ได้เริ่มพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ ดูนี่สิ แถวนี้มีหมอกหนาปกคลุมอยู่ที่เบื้องล่างด้วย มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่”
“เจ้าพูดถูกแล้ว…วันนี้เป็นวันที่แสงแดดดี ทำไมถึงได้มีหมอกน่าสงสัยนั่นอยู่ได้? ” โจวจี้เฟิงเองก็พูดเสริมออกมาเช่นกัน
“หรือว่ามันจะเป็นสุดยอดเวทมนตร์คาถากัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามขึ้นมาอย่างสงสัย แม้ว่าหยวนเอ๋อจะยังมีอายุไม่มากนัก แต่ถึงแบบนั้นเธอก็เคยไปที่แม่น้ำสวรรค์กับลู่โจวมาก่อน นอกเหนือจากสีที่แตกต่างกัน ลักษณะหมอกทึบพวกนั้นเป็นเหมือนกับสุดยอดเวทมนตร์คาถาที่เธอเคยเห็นไม่มีผิด
“ถ้าหากตัดสินจากรูปลักษณ์ของมัน ดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งนี้จะต้องถูกเตรียมการเสร็จภายใน 7 วันแน่…” ฝางซงขมวดคิ้ว
หมิงซี่หยินเหลือบมองไปที่ฝานซงก่อนที่จะพูดขึ้น “หมายความว่าเจ้าพวกนี้ได้เตรียมสุดยอดเวทมนตร์คาถาเอาไว้ก่อนที่จะบุกไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกประหลาดใจมาก ฮั๊ววู่เด๋าได้แต่มองไปหาลู่โจว ในตอนนี้ลู่โจวยังคงดูสงบเยือกเย็นเช่นเคย สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าคนจากทางพระราชวังจะไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างสันติภาพกับพวกเราตั้งแต่แรก” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดขึ้น
“เป็นไปตามคาด” ลู่โจวไม่ได้แปลกใจอะไรเลย เมื่อเห็นความหนาทึบของหมอกพวกนั้นแล้ว ลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่สุดยอดเวทมนตร์คาถาธรรมดาๆ ของสิ่งนี้จะต้องถูกเตรียมการมาเป็นเวลานานมากแล้ว ลู่โจวคิดถูกจริงๆ ที่เอารถม้าล่องเมฆาคันนี้มาด้วย
“หมิงซี่หยิน”
“ครับท่านอาจารย์”
“ไปดูรอบๆ ภูเขาทองซะ”
“ครับท่านอาจารย์! ” หมิงซี่หยินในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นลู่โจวตัดสินใจได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดอะไรเช่นนี้ ท่านปรมาจารย์”
“รู้จักตัวเอง รู้จักศัตรู รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ลู่โจวได้พูดเสริมขึ้น
รถม้าล่องเมฆาได้เร่งความเร็วขึ้นมาในทันที ในตอนนี้มันเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิมหลายเท่านัก วิวทิวทัศน์รอบๆ ตัวทั้งหมดต่างก็พร่ามัวไปในทันทีเมื่อรถม้าเพิ่มความเร็วขึ้น
ฝานซงได้เฝ้ามองพื้นเบื้องล่างอย่างจริงจังต่อไป
ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนทั้งโลกมาโดยตลอด ดังนั้นนอกจากเมืองถังซีที่อยู่ใกล้ๆ แล้ว ไม่มีใครหน้าไหนที่จะกล้ามาตั้งรกรากอยู่แถวภูเขาทองได้ แม้แต่การจะพบเห็นผู้ฝึกยุทธสักคนหนึ่งบริเวณภูเขาทองแห่งนี้ได้ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก
ในขณะที่รถม้าลอยฟ้ากำลังเดินทางไปทั่วภูเขาทอง ในตอนนั้นเองทุกคนก็สังเกตเห็นหมอกหนาทึบจากบนพื้นดินหลายๆ จุดด้วยกัน หมอกทั้งหมดกำลังล้อมรอบภูเขาทองอย่างช้าๆ หมอกบางที่ได้สัมผัสกับม่านพลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ถ้าหากเป็นผู้ที่ไม่เคยเห็นเวทมนตร์คาถามาก่อนผู้คนเหล่านั้นก็คงจะคิดว่าหมอกหนาทึบพวกนี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น
รถม้าล่องเมฆายังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงขึ้นไปอีก
ด้วยการควบคุมของหมิงซี่หยิน, จ้าวยู่, ฝานซง และโจวจี้เฟิง รถม้าล่องเมฆาก็สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ แสงจากบนรถม้าได้ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ภูเขาทองเป็นภูเขาที่มีพื้นที่กว้างขวาง การจะสำรวจรอบภูเขาทั้งหมดได้จะต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่ง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่สำหรับรถม้าคันนี้ รถม้าล่องเมฆานั่นเอง
ครู่ต่อมาหมิงซี่หยินก็ได้พูดประกาศแจ้งเตือนทุกคนขึ้นมา “พวกเราเกือบจะเดินทางถึงเมืองถังซีอีกครั้งแล้ว” หมิงซี่หยินจงใจเพิ่มคำว่า ‘อีกครั้ง’ ขึ้นมา ตัวเขาจงใจที่จะบอกทุกคนว่าในตอนนี้รถม้าล่องเมฆากำลังจะโคจรรอบภูเขาทองจนกลับมาที่เมืองถังซีได้อีกครั้ง
ฝานซงได้พูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ เห็นได้ชัดว่ามีเพียงระยะทาง 3 ไมล์จากทางตอนใต้ของภูเขาทองเท่านั้นที่มีเวทมนตร์คาถาก่อตัวอยู่ ไม่มีเวทมนตร์คาถาก่อตัวอยู่นอกเหนือที่อื่นๆ เลย”
ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “เหล่าทายาทของสิบคนทรงไม่ใช่สิบคนทรงจริงๆ เจ้าพวกนั้นน่ะคงไม่อาจที่จะเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์คาถาได้เหมือนกับสิบคนทรงได้หรอก”
ฮั๊ววู่เด๋าเองพูดเสริมขึ้น “สิบคนทรงพวกนั้นเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์คาถาอย่างถ่องแท้…แต่ถึงแบบนั้นการที่พวกลูกหลานของสิบคนทรงจะสามารถใช้เวทมนตร์คาถาได้ไกลกว่า 3 ไมล์แบบนี้ได้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่ายกย่องสำหรับเจ้าพวกนั้นแล้ว”
รถม้าลอยฟ้าล่องเมฆาได้เคลื่อนที่ช้าลงอีกครั้ง แสงจากบนรถม้าได้เลือนหายไปมากแล้วเช่นกัน
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธชุดแดงที่กำลังเตรียมการอยู่รอบเมืองถังซีต่างก็หยุดทำงานที่ตัวเองมีก่อนที่จะจ้องมองไปบนท้องฟ้า รถม้าล่องเมฆาที่กำลังบดบังแสงอาทิตย์ในตอนนี้กำลังดึงดูดความสนใจของพวกเขาอยู่นั่นเอง
ผู้ฝึกยุทธชุดแดงกว่า 30 คนต่างก็รวมตัวกันก่อนที่จะตั้งเป็น 3 แถวอย่างรวดเร็ว
วู่เฉิงและวู่กวนเองสังเกตเห็นรถม้าคันนั้นเช่นกัน
“นั่นมันรถม้าจากศาลาปีศาจลอยฟ้า”
วู่กวนที่เห็นแบบนั้นก็ได้ยิ้มแปลกๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ในที่สุดเจ้าพวกนั้นก็รอไม่ไหวแล้วสินะ”
“วิหารปีศาจตกลงที่จะทำงานร่วมกับพวกเรา ข้าสงสัยจริงว่าเมื่อไหร่กันที่เจ้าพวกนั้นจะเดินทางมาถึง? ” ผู้ฝึกยุทธชุดแดงคนหนึ่งถามขึ้น
ก่อนที่จะได้รับคำตอบอะไรในตอนนั้นเอง…
หวื๊ดดด!
เสียงของรถม้าลอยฟ้าล่องเมฆาได้ดังขึ้นไปทุกหนทุกแห่ง
ในตอนนั้นเองรถม้าล่องเมฆาก็ได้ชะลอตัวลงก่อนที่จะค่อยๆ ลอยลงสู่พื้น
เมื่อพลังลมปราณจากรถม้าถูกถอนพลังออก แสงจากรถม้าล่องเมฆาก็ได้จางลงมากขึ้นไปอีก ในตอนนี้ที่รถม้าไม่มีความสว่างไสวอะไรอีกต่อไป มันเป็นเหมือนกับรถม้าธรรมดาๆ เท่านั้น
รถม้าล่องเมฆากำลังลอยอยู่บนระดับเดียวกันกับต้นไม้ที่อยู่แถวนี้
วู่เฉิงและวู่กวนที่เห็นแบบนั้นตากระตุกขึ้นมาทันที
บนรถม้าลอยฟ้าคันนั้นมีทั้งลู่โจวและฮั๊ววู่เด๋ายืนอยู่
ผู้ฝึกยุทธชุดแดงที่เห็นแบบนั้นไม่ได้จากไปไหน พวกเขากำลังเฝ้ามองดูรถม้าคันนั้นอย่างไม่ละสายตา มีผู้ฝึกยุทธชุดแดงกลุ่มหนึ่งบินตรงไปที่ระดับเดียวกันกับรถม้าล่องเมฆา
“วู่เฉิงขอทักทายท่านผู้อาวุโสจี”
ลู่โจวสังเกตเห็นผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้ง 30 คนทั้งหมด ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ถามออกมาอย่างห้วนๆ “พวกเจ้าก่อตัวสุดยอดเวทมนตร์คาถาทำไมกัน? “
วู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับตัวสั่นไปทั้งตัว ในตอนนี้ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ารู้ตัวแล้วว่าพวกเขากำลังสร้างสุดยอดเวทมนตร์คาถาอยู่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ตัวเขารีบตอบกลับไปในทันที “ท่านปรมาจารย์ ท่านกำลังพูดถึงอะไรกัน? พวกเราก็แค่ได้รับคำสั่งให้อยู่ในเมืองถังซีก็เท่านั้นเอง”
การสนทนาที่วู่เฉิงพูดขึ้นเป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น
ลู่โจวได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ม่อหลี่อยู่ไหนกัน? “
“ท่านหญิงม่อหลี่…อยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีธุระอะไรกับท่านหญิงของข้าอย่างงั้นหรอท่านปรมาจารย์? ข้าจะเป็นผู้ถ่ายทอดข้อความของท่านให้เอง” วู่เฉิงพูดขึ้น
ลู่โจวมองไปที่ผู้ฝึกยุทธชุดแดงอย่างไม่แยแส ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธพวกนี้จะไม่ได้เกรงกลัวอะไรศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย ในขณะที่เจ้าพวกนี้ทำลายม่านพลังอันเป็นอุปสรรคไปเรื่อยๆ เจ้าพวกนี้ก็ยังคงดึงดันที่จะแสดงละครโง่ๆ ต่อไปแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้งหมดเป็นพวกหน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริง “ข้าต้องขอปรบมือให้กับความกล้าหาญของพวกเจ้าเลย”
ผู้ฝึกยุทธชุดแดงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ พวกเขาไม่เข้าใจคำพูดของลู่โจวเลยแม้แต่น้อย
หมิงซี่หยินได้ตะโกนออกมาอย่างเยือกเย็นต่อมา “พวกเจ้ากล้าวางแผนทำลายม่านพลังของภูเขาทองอยู่ได้ยังไงกัน? พวกเจ้าน่ะมันไร้ยางอายขนาดนั้นกันเลยอย่างงั้นหรอ? ทำลายเวทมนตร์คาถานั่น คุกเข่าลง และยอมแพ้แต่โดยดีซะ ถ้าหากทำแบบนั้นบางทีท่านอาจารย์ของข้าอาจจะพอไว้ชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ก็เป็นได้! “