My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 150
วู่เฉิงหันไปมองที่หมิงซี่หยินที่กำลังยืนอยู่ที่พังงาของรถม้า ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ใช้สีหน้าอันใสซื่อตอบกลับมา “เวทมนตร์คาถาอะไรกัน? ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ “
ลู่โจวได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ต้วนมู่เฉิง เจ้าพวกนี้ยังไม่รู้ว่าพวกเรากำลังพูดอะไรอยู่ ช่วยสั่งสอนพวกมันที…”
“ได้ครับท่านอาจารย์” ต้วนมู่เฉิงที่ฟังแบบนั้นรู้สึกดีใจมาก ตัวเขาได้ควงหอกราชันย์ขึ้นก่อนที่จะกระโดดลงจากรถม้าล่องเมฆาไป
ลู่โจวเห็นเก้าอี้ทั้งหลายที่เหล่าสาวกเตรียมเอาไว้ให้กับตัวเขาแล้ว และเพราะแบบนั้นเขาจึงได้หันไปพูดกับฮั๊ววู่เด๋า “เชิญนั่ง”
“ขอบคุณมากท่านปรมาจารย์”
ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ตรงพังงาเรือ ในตอนนี้พวกเขากำลังจะเฝ้ามองดูการต่อสู้จากกลางอากาศอยู่นั่นเอง
วู่เฉิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะโจมตีในทันทีแบบนี้ ในตอนนี้เองตัวเขาก็รู้แล้วว่าแผนการทั้งหมดที่ได้วางเอาไว้ถูกอีกฝ่ายล่วงรู้จนหมดแล้ว วู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นจึงได้สั่งการออกมาอย่างรวดเร็ว “ถอยเร็วเข้า! “
ผู้ฝึกยุทธชุดแดงกว่า 30 คนได้บินถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองเวทมนตร์คาถาทั้งหมดที่ได้สร้างขึ้นก็ได้กระจัดกระจายไปทั่ว
ต้วนมู่เฉิงได้ใช้หอกราชันย์ในมือฟาดเข้าใส่วู่เฉิงและวู่กวนเป็นเส้นตรง
คลื่นพันวิถี!
วู่เฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยกแขนขึ้นมา
ตู๊ม!
วงกลมแสงสีม่วงจางๆ ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าวู่เฉิงเอาไว้ พลังจากวงกลมนี้เองได้ปัดป้องพลังโจมตีของหอกราชันย์เอาไว้ได้
ทั้งสองฝ่ายเริ่มแสดงท่าทีออกมาอีกครั้ง
‘ตามที่คาดการณ์เอาไว้ เจ้านี่ก็คือผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์! ‘
วู่เฉิงและวู่กวนได้พุ่งไปด้านหน้า ผู้ฝึกยุทธชุดแดงกว่า 28 คนเองก็ตีตัวออกห่างเช่นกัน ในตอนนี้ทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับในตอนที่พวกเขาทั้งคู่อยู่บนศาลาปีศาจลอยฟ้า
วู่เฉิงยืดหลังตรงก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าได้ไปเยี่ยมเยียนศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างเป็นมิตร แต่พวกท่านชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากป้องกันตัวเอง”
หยวนเอ๋อในตอนนี้ยืนอยู่บนรถม้าลอยฟ้า เธอที่ได้ยินแบบนั้นได้พูดสาปแช่งออกมา “เจ้าพวกไร้ยางอาย! ศิษย์พี่สามจัดการเจ้านั่นเร็วเข้า! “
ต้วนมู่เฉิงไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับคำพูดของคนพวกนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าพวกนี้วางแผนที่จะต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งแต่แรก แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่ได้วางแผนจะต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าอะไรโต้งๆ ต้วนมู่เฉิงได้ควงหอกราชันย์ของตัวเอง ในตอนนั้นเองพลังลมปราณรอบๆ ตัวของเขาก็ได้ผันผวนไป หอกราชันย์ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังลมปราณ ตัวเขาได้ใช้หอกที่เปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณซัดไปใส่ที่คู่ต่อสู้ในทันที
เคล็ดวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ คลื่นพันวิถี!
เงาของหอกนับพันได้พุ่งใส่เป้าหมายของต้วนมู่เฉิง
วู่เฉิงและวู่กวนเองได้กางแขนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน วงกลมแสงสีม่วงสองวงได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันหลอมรวมกันก่อนที่จะกลายเป็นม่านพลังป้องกันการโจมตีของต้วนมู่เฉิงไป
ตู๊ม!
ทั้งสองฝ่ายกระเด็นถอยกลับมาเล็กน้อย
แต่ถึงแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่อยู่ใกล้เมืองถังซีต่างก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ในตอนนี้เองพวกเขาได้แต่เฝ้ามองดูเหตุการณ์จากในระยะไกลได้เท่านั้น
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดยกย่องออกมา “ต้วนมู่เฉิงใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์นั่นต่อสู้กับเจ้าพวกสองคนได้อย่างพร้อมเพรียงกันแบบนี้ ต้วนมู่เฉิงช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
ลู่โจวได้แต่ส่ายหัว ตัวเขาไม่พอใจพลังวรยุทธที่ต้วนมู่เฉิงมีเท่าไหร่ ในตอนนี้เขาเพิ่งจะผลิกลีบดอกบัวมาเพียงแค่หนึ่งกลีบเท่านั้น ใครจะรู้ว่าต้วนมู่เฉิงจะสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือได้นานขนาดนี้ได้? แต่ถึงแบบนั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับต้วนมู่เฉิงเอง ยิ่งตัวเขาได้ต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังมากเท่าไหร่ ตัวเขาก็จะสามารถแข็งแกร่งได้มากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอะไรบางอย่างลอยมาจากเมืองถังซี
เหล่าผู้คนที่อยู่บนรถม้าล่องเมฆาต่างก็หันไปยังทิศทางของเสียงที่ดังขึ้น
ด้านหลังของเมืองถังซี รถม้ามังกรดำที่มีขนาดเล็กกว่ากำลังเคลื่อนตัวออกจากหมู่เมฆมาอย่างช้าๆ
ถึงแม้ว่ารถม้ามังกรดำจะไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่ แต่มันก็ได้ถูกล้อมรอบโดยเหล่าผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูถึง 400 คนในขณะที่ลอยตัวอยู่
“วิหารปีศาจ! “
ชาวเมืองทุกคนที่เห็นการมาถึงของรถม้าคันนั้นต่างเข้าไปในบ้านของตัวเองและปิดประตูอย่างมิดชิด คนจากวิหารปีศาจนับได้ว่าเป็นคนที่ชั่วร้ายเกินกว่าที่จะให้อภัยได้ และเพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครอยากที่จะอยู่นอกที่พักอีกต่อไป นอกเหนือจากชาวเมืองทั่วไป เหล่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาทั่วไปทั้งหลายเองต่างก็หลบหนีด้วยเช่นกัน
สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงสงบและเยือกเย็น แม้ว่าจะมีรถม้าของชาววิหารปีศาจจะมาพร้อมกับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูจำนวนมากและยังมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเท่ากับการมาถึงของรถม้าล่องเมฆา มีเพียงเสียงจากการใช้พลังลมปราณเท่านั้นที่รถม้ามังกรดำทำได้เหนือกว่ารถม้าที่ลู่โจวมี
เมื่อรถม้ามังกรดำใกล้ที่จะเดินทางมาถึง ต้วนมู่เฉิงก็ถอยกลับไปซะก่อน ทุกอย่างในตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของต้วนมู่เฉิงเป็นอย่างดี ส่วนวู่เฉิงและวู่กวนเองก็บินถอยกลับมาเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
รถม้ามังกรดำได้หยุดเคลื่อนที่ลงอย่างช้าๆ
“ผู้อาวุโสจี นานแล้วสินะที่พวกเราไม่ได้เจอกัน” เร็นบู้ผิงได้มองไปที่รถม้าล่องเมฆา ชายผู้ที่เป็นเจ้าสำนักของวิหารปีศาจเป็นชายผู้ที่ดูดี ผมของเขาดูกระเซิงเล็กน้อย ดวงตาของเร็นบู้ผิงดูนุ่มลึกราวกับผืนมหาสมุทร คนคนนี้เป็นคนที่มีอำนาจสูงที่สุดในวิหารปีศาจ เขาเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของวิหารปีศาจนั่นเอง
ดวงตาของลู่โจวและเร็นบู้ผิงสบตากัน เมื่อลู่โจวเห็นเร็นบู้ผิงในตอนนี้ เขาก็ได้พูดออกมาในทันที “ดูเหมือนเจ้าจะโตขึ้นแล้วสินะ”
เร็นบู้ผิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “เมื่อเทียบกับผู้อาวุโส ตัวข้านั้นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักนิด ข้ายังเติบโตไปได้อีกไกล”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าหรอกนะ ชะตาของเจ้าจะต้องจบลงในวันนี้” ในสายตาของลู่โจว เร็นบู้ผิงก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว วิหารปีศาจของเขาได้ยั่วยุวิหารปีศาจมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดกันสักที
เร็นบู้ผิงที่ได้ฟังแบบนั้นได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะโต้ตอบกลับไป “ผู้อาวุโสจี…ท่านเองก็แก่เกินไปแล้วจริงๆ …ท่านไม่คิดหรอว่ามันไม่มีอะไรผิดแปลกน่ะ? “
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนอะไร หลังจากนั้นเขาได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ข้าจะสอนเจ้าให้รู้ซึ้งเอง”
วู่เฉิงได้ลอยตัวขึ้นไปให้อยู่ในระดับเดียวกับลู่โจว “จริงๆ แล้วข้าเดินทางไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อผูกมิตรไมตรี แต่ถึงแบบนั้นชาววิหารปีศาจกลับดื้อดึงจนเกินไป ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องใช้วิธีนี้ล่อพวกท่านทั้งหมดมาที่นี่”
ต้วนมู่เฉิงได้ควงหอกของตัวเองก่อนที่จะชี้ไปยังวู่เฉิง “เจ้ากำลังบอกว่าพวกเราจงใจอย่างงั้นสินะ? “
วู่เฉิงพยักหน้าทันที “ถูกแล้ว” หลังจากนั้นเขาก็ได้เหลือบมองไปที่ลู่โจว “ท่านผู้อาวุโส ข้าพยายามที่จะหยิบยื่นสันติภาพของข้าให้กับท่าน แต่ในตอนนี้ข้าจะต้องเปลี่ยนใจซะแล้ว…ในตอนนี้ข้ามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น”
“ฮืม? “
“ข้าอยากให้ท่านส่งตัวคนทรยศยี่เทียนซินมาให้กับพระราชวังเดี๋ยวนี้” วู่เฉิงพูดขึ้น
‘เพื่อที่จะรับตัวของยี่เทียนซิน พวกเขาทั้งหมดถึงกับล่อชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าออกมาถึงที่นี่เลยอย่างงั้นหรอ? ‘
ผู้คนบนรถม้าล่องเมฆาต่างก็สบตากัน
เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้น เธอก็ได้ก้มหน้าลงก่อนที่จะพูดกับลู่โจวในทันที “ข้าไม่รู้ว่านี่คือกับดัก ท่านอาจารย์ได้โปรดอภัยให้กับข้าด้วย! “
ลู่โจวโบกมือก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่เป็นไร”
แม้ว่าจ้าวยู่จะไม่พูดอะไร แต่ถึงแบบนั้นยังไงซะเรื่องในครั้งนี้ก็ต้องจบลงแบบเดียวกัน
ยังไงซะสุดท้ายแล้วชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อให้ลูกหลานของสิบคนทรงทำลายม่านพลังไปได้
หมิงซี่หยินได้ตะคอกขึ้นมาในทันที “สามหาว! พวกเจ้าไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกัน? เจ้าอย่างงั้นหรอ? หรือว่าเร็นบู้ผิง? พวกเจ้าทุกคนคิดว่าจะวางกับดักพวกเราได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
ในตอนนี้ศัตรูของชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าที่มีฝีมือมากพอได้แก่ เร็นบู้ผิง, วู่เฉิง และวู่กวนเท่านั้น
ส่วนที่ฝั่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเองมีฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยินและปรมาจารย์มหาวายร้ายที่มีพลังวรยุทธที่ไม่อาจที่จะหยั่งถึงได้
วู่เฉิงได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปมองเร็นบู้ผิง “ความมั่นใจอย่างงั้นหรอ? ” หลังจากนั้นเขาก็ได้กางแขนขึ้นก่อนที่จะมองลงไปบนพื้นเบื้องล่าง “การที่พวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้ พวกข้าทั้งหมดมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมากแล้วล่ะ! “
เร็นบู้ผิงเห็นผู้ฝึกยุทธชุดแดงคนอื่นๆ กำลังผสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน ในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้ไหลออกมาจากร่างกายของพวกเขา
“นี่มันอะไรกัน…”
วู่เฉิงและวู่กวนเองก็ผสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน
ในตอนนั้นเองหมอกหนากว่า 3 ไมล์ก็ได้จางหายไป
ที่ใจกลางของกลุ่มผู้ฝึกยุทธชุดแดง ในตอนนั้นเองวงแหวนสีม่วงจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นภายใต้จุดศูนย์กลาง
“สุดยอดเวทมนตร์คาถาที่พวกเราเตรียมเอาไว้ไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อทำลายม่านพลังของภูเขาทองหรอกนะ นั่นเป็นเพียงข่าวเท็จที่พวกข้าได้กระจายออกไปก็เท่านั้น…” หลังจากนั้นวู่เฉิงก็ได้พูดต่อไป “สุดยอดเวทมนตร์คาถานี้เรียกว่าสุดยอดเวทมนตร์คาถาแห่งบรรพบุรุษ”
“สุดยอดเวทมนตร์คาถาแห่งบรรพบุรุษ? ” ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นดวงตาเบิกกว้างในทันที
ลู่โจวเองยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตะคอกกลับมา “ข้าไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นของบรรพบุรุษคนไหนของเจ้า! ข้าจะเราะฟันจากปากหมาๆ ของเจ้าทั้งหมดออกมาเอง! “
ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “พวกสิบคนทรงเป็นบรรพบุรุษของพวกนั้น…ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วการที่จะต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดเวทมนตร์คาถาแห่งบรรพบุรุษนั่นก็เท่ากับว่าพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับสิบคนทรงโดยตรง! “
“…” หมิงซี่หยินถึงกับตกตะลึงขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเขาก็ได้เตรียมที่จะจับพังงารถม้าขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านอาจารย์…พวกเราต้องใช้สิ่งนี้เลยไหม? “
เหตุผลที่ลู่โจวตัดสินใจที่จะเอารถม้าล่องเมฆามาด้วยเป็นเพราะว่าถ้าหากพวกเขาทั้งหมดถูกพลังของเวทมนตร์คาถาเข้าเล่นงาน ในตอนนั้นการจะใช้รถม้าหลบหนีออกจากระยะมันเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดแล้ว
ลู่โจวได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก” ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้คิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ ‘คนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นที่จะต้องหนีด้วยอย่างงั้นหรอ? ‘
ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอามือไขว้หลังของตัวเองเอาไว้ “ข้าน่ะอยากที่จะเห็นจริงๆ ว่าสิบคนทรงน่ะมีพลังสักแค่ไหน…”