My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 157
พลังงานที่พลุ่งพล่านทำให้ฝุ่นควันจากดินคละคลุ้งไปทั่ว สภาพแวดล้อมทั้งหมดได้เปลี่ยนไปราวกับว่าถูกพายุทรายเข้าถล่ม ในเวลาเดียวกันคลื่นแสงสีม่วงก็ได้แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในระยะไปจนหมดสิ้น มันทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู
พลังร่างอวตารทั้งสามที่ได้เผชิญหน้าต่อแรงระเบิดได้แหลกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ
เหล่าผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้งหลายเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธที่ต่ำที่สุด เพราะแบบนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะบินไปด้วยความเร็วสูงสุดแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะบินได้รวดเร็วเหมือนกับรถม้าลอยฟ้าได้ พวกเขาทั้งหมดถูกพลังทำลายล้างเข้ากลืนกินไปอย่างไร้ความปรานี
“ท่านอาจารย์…นั่นศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่! ” หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินที่กำลังรีบบินมาหารถม้าล่องเมฆา
“หยุดซะ! ” ลู่โจวได้ยกมือขึ้น แม้ว่าพลังวรยุทธของทั้งสองคนจะไม่ได้ต่ำต้อยอะไร แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ใช้เคล็ดวิชาสุดยอดไปกับการต่อสู้แล้ว เพราะแบบนั้นการที่จะหนีมาที่รถม้าได้ทันคงจะยากเกินไป เพราะแบบนั้นการหยุดรอจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ลู่โจวในตอนนี้ดูสงบนิ่งและเยือกเย็น แต่ถึงแบบนั้นเขากลับกำลังรู้สึกเสียใจอยู่ ท้ายที่สุดแล้วผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้งหมดควรที่จะกลายเป็นแต้มบุญให้กับเขา แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสูญเปล่า!
‘สิบคนทรงทั้งหมดต่างก็ตายไปแล้ว…วู่เฉิงเป็นเพียงคนเดียวที่ตัวเขาสามารถเก็บแต้มบุญได้ แต่ถึงแบบนั้นด้วยแรงระเบิดที่มีตอนนี้ เจ้านั่นคงจะไม่รอดแน่’
สำหรับฝานซุยเหวินและอัศวินดำทั้งสองคน พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นคะแนนแต้มบุญจำนวนมาก! ‘นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เลยจริงๆ ‘
ในตอนที่ลู่โจวกำลังใช้ความคิดอยู่ ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินก็ได้กระโดดขึ้นรถม้าลอยฟ้าได้ทัน
“พวกเราออกเดินทางได้! “
รถม้าล่องเมฆาได้กลับมาเดินทางอีกครั้ง โดยปกติแล้วการที่รถม้าลอยฟ้าจะถูกหยุดไปชั่วขณะ มันจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะสามารถกลับมาเดินทางใหม่ได้ และถ้าหากทำแบบนั้นจริงๆ มันจะต้องเคลื่อนที่ช้าลงแน่ แต่เพราะคลื่นพลังทำลายล้างสีม่วงที่กำลังไล่ตามทั้งหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงมา ทำให้พวกเขาจะช้าไม่ได้
พลังงานทำลายล้างสีม่วงเป็นพลังคลื่นลูกใหญ่ยักษ์!
ลู่โจวที่เห็นคลื่นสีม่วงได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องสูญเสียอีกแล้วสินะ…อย่าบอกนะว่าจะต้องใช้การ์ดป้องกันอีกใบกัน? ‘ ยิ่งไปกว่านั้นการ์ดป้องกันไร้ที่ติของลู่โจวเองก็มีราคาเทียบเท่าได้กับการ์ดการโจมตีของเพรชฆาต แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นเพียงการ์ดวิเศษที่ป้องกันคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!
ทันใดนั้นเองท่ามกลางพลังคลื่นทำลายล้างขนาดใหญ่ยักษ์ ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบก็ได้ปรากฏกายขึ้น มันมาพร้อมกับลมแรงที่พัดผ่าน
ฝานซุยเหวินได้ปรากฏตัวพร้อมกับพลังร่างอวตารที่มี ในตอนนี้ตัวเขาได้เปียกโชกไปด้วยเลือด
“ฝานซุยเหวินตายไปแล้วไม่ใช่หรอ? ” หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้ก้าวไปข้างหน้า พวกเขาทั้งคู่ยืนมองดูฝานซุยเหวินที่กำลังอยู่ด้านหน้าของรถม้า
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้เปลี่ยนแผนในทันที ‘หรือว่าพยายามที่จะจัดการฉันในลมหายใจสุดท้าย? ‘ ลู่โจวที่คิดแบบนั้นก็ได้เตรียมการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตเอาไว้ในมือ
แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวกับคิดผิด ลมแรงที่พัดผ่านฝานซุยเหวินได้ลอยไปยังทิศตรงข้าม
“เอ๊ะ? เจ้านั่นกำลังช่วยเราไว้! ” หมิงซี่หยินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ลู่โจวเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ฝานซุยเหวินควรที่จะคิดแค้นศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงจะถูก แต่ในเวลาแบบนี้เขากลับเต็มใจที่จะปกป้องรถม้าล่องเมฆาเอาไว้ ทำไมเขาถึงเลือกช่วยปรมาจารย์มหาวายร้ายล่ะ?
‘เขาคิดที่จะทำอะไรกันแน่? ‘ ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนที่จะพูด “ช้าก่อน”
ไม่น่าแปลกใจที่ฝานซุยเหวินจะเอาตัวรอดมาได้ ผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธสูงส่ง แต่ถึงแบบนั้นเขากลับเอาตัวรอดจากสุดยอดการระเบิดทำลายล้างของสิบคนทรงได้ การจะเอาตัวรอดจากพลังทำลายล้างขนาดนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หมิงซี่หยินถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้านั่นได้ปลดพลังลมปราณออกจากจุดตันเถียนของตัวเองมากเกินไป…เจ้าฝานซุยเหวินคิดที่จะตายที่นี่”
ในตอนนี้มาถึงขีดจำกัดของฝานซุยเหวินแล้ว
คลื่นสีม่วงขนาดใหญ่ยักษ์ถูกผลักกลับไปโดยพลังเฮือกสุดท้ายของฝานซุยเหวิน
ฝานซุยเหวินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดกลับไป เขาได้ใช้เสียงอันแหบแห้งเฮือกสุดท้ายพูดขึ้น “ข้าเล้งลั่ว…ไม่เคยขอให้คนอื่นช่วยเหลือ…ข้ายอมใช่ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อปกป้องพลังจากสิบคนทรงเอาไว้ และเพื่อเป็นการตอบแทนข้าขออะไรท่านผู้อาวุโสเพียงอย่างเดียว…ฆ่า…ม่อหลี่ให้ข้าด้วย! “
ก่อนที่ลู่โจวจะตอบอะไรกลับไป คลื่นพลังสีม่วงทั้งหมดก็ได้ทะลุตัวของฝานซุยเหวินมา พลังร่างอวตารของเขาได้หายไปแล้ว ดอกบัวทั้ง 8 กลีบได้หมุนตัวเองก่อนที่จะจางหายไปเช่นกัน
คลื่นพลังขนาดใหญ่ยักษ์ได้แปรเปลี่ยนไปเมื่อเผชิญหน้ากับพลังของฝานซุยเหวิน “ช่างโง่เขลาอะไรแบบนี้! “
เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่บนรถม้าลอยฟ้าต่างก็ถอนหายใจออกมา ใครจะไปรู้กันว่าการที่ฝานซุยเหวินตัดสินใจแบบนี้ก็เพื่อคำขอเพียงหนึ่งเดียว คำขอที่มีให้กับลู่โจว
พลังคลื่นสีม่วงได้หายไป
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้ใช้พลังลมปราณของตัวเองก่อนที่จะขึ้นรถม้าลอยฟ้าไป แม้ว่าพลังของเวทมนตร์คาถาจะจางหายไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพายุทรายก็ยังคงโหมกระหน่ำอยู่ ทุกๆ คนช่วยกันทรงพลังไปที่รถม้าเพื่อที่จะให้มันลอยสูงขึ้นไปอีก และเมื่อรถม้าล่องเมฆาลอยสูงได้มากพอจนผ่านพ้นพายุทรายไปได้ ในตอนนั้นเองเหล่าผู้คนที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นรถม้าล่องเมฆาก็ได้ลอยออกจากที่เกิดเหตุไป
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่เมืองถังซีต่างก็เห็นสถานการณ์ทั้งหมดดี
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าชนะแล้ว! “
“ผู้ฝึกยุทธชุดแดงพวกนั้นทรงพลังจริงๆ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังพ่ายแพ้ให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า ศาลาปีศาจลอยฟ้าแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่? “
ใครบางคนถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “ใครจะรู้กันได้? วิสัยทัศน์ของพวกเราถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเราน่ะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะได้ยินเสียงการต่อสู้”
“แค่ดูผลลัพธ์ก็เพียงพอแล้ว! แม้ว่าจะไม่มีสาวกคนโตและสาวกคนรอง ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม! “
ในตอนแรกมีผู้ฝึกยุทธจำนวนไม่มากนัก แต่ถึงตอนนี้ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็เริ่มที่จะมารวมตัวกันมากขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มองดูเหตุการณ์จากในระยะไกล
ในตอนนั้นเองมีผู้ใช้ดาบชุดเขียวยืนปะปนอยู่ในฝูงชน เขาคนนั้นได้จ้องมองรถม้าล่องเมฆาที่กำลังลอยจากไป สีหน้าของเขาดูทั้งสงบและเยือกเย็น ชายผู้ใช้ดาบคนนั้นได้แต่ส่ายหัว
“สวัสดี”
“พี่ชาย ตรงนั้นมันอันตรายมาก ท่านไม่ควรที่จะไปที่นั่นหรอกนะ…”
“ขอบคุณมากสำหรับความหวังดี” นักดาบชุดเขียวได้เดินจากไป ตัวเขากำลังมองไปที่พายุฝุ่นควันที่ตกลงมาจากการต่อสู้
“พี่ชาย ข้าคิดว่าท่านน่ะมาสายไปซะแล้วล่ะ…น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนั่น! ท่านเห็นรถม้าลอยฟ้าคันนั้นไหม มันเป็นรถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไงล่ะ! ” ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ข้างๆ เริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวได้ฟัง
ชายผู้ใช้ดาบไม่ได้สนใจอะไร เขายังคงจ้องมองไปที่รถม้าลอยฟ้าต่อไป
มีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งได้ถอนหายใจออกมา “ข้าไม่คิดเลยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเก่งกาจถึงขนาดนี้ ในอดีตที่ผ่านมาในตอนที่ทั้งสาวกคนโตและสาวกคนรองยังอยู่ ในตอนนั้นเป็นเหมือนกับยุคทองของศาลาปีศาจลอยฟ้า เป็นยุคอันรุ่งโรจน์…แต่ในตอนนี้ทุกอย่างก็ถูกพิสูจน์แล้ว ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังคงแข็งแกร่งเช่นเคย”
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวได้ยินสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นพูดได้อย่างชัดเจน “ยังคงแข็งแกร่งเช่นเคย” ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะเกลียดชังศาลาปีศาจลอยฟ้า ยังมีอีกหลายคนด้วยกันที่เคารพและชื่นชมศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นจำนวนคนที่คิดแบบนี้ก็ไม่ได้มีมากมายอะไร
ชายผู้ใช้ดาบคนเดิมได้พยักหน้าให้ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมมาก”
‘ขอบคุณอย่างงั้นหรอ? ขอบคุณอะไรกัน? เจ้านี่บ้าไปแล้วสินะ? ‘ ผู้ฝึกยุทธคนนั้นรู้สึกสับสน
ทันใดนั้นเองฝูงชนทั้งหลายก็เริ่มอุทานออกมาอย่างตื่นตกใจ
“รถม้าล่องเมฆากำลังจะกลับมา! “
“พวกเขาไม่ได้กำลังจะจากไปอย่างงั้นหรอ? “
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอยห่างไปในทันที พวกเขาได้แต่กังวลว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะส่งวายร้ายออกมาทำชั่วอีกครั้ง แต่ถีงแบบนั้นสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
รถม้าล่องเมฆาในตอนนี้ได้เคลื่อนที่ช้าลงมาก
ในขณะเดียวกันนั้นเองลู่โจวก็ได้แต่สำรวจดินแดนเบื้องล่าง “ในที่สุดก็กลับมามองเห็นได้แล้วสินะ…รีบหาผู้อาวุโสฮั๊ว”
“ครับท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็กระโดดลงจากรถม้าในทันที
ในขณะที่ลงจากรถม้านั้นเอง ผู้ฝึกยุทธจากเมืองถังซีก็เห็นแบบนั้น พวกเขาทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิต
หมิงซี่หยินที่กระโดดลงมาได้เห็นฝูงชนทั้งหลายกำลังวิ่งหนีไปอย่างแตกตื่น “ช่างขี้ขลาดซะจริง”
“ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะกลัวกัน” ต้วนมู่เฉิงพูดตอบกลับไป
“ศิษย์พี่ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ “
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสฮั๊วคงอยู่ไม่ไกลจากนี้แน่” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาหลังจากที่หันไปมองรอบๆ ตัว
“ลั่วฉีซานเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดาๆ ข้าเป็นห่วงว่าผู้อาวุโสฮั๊วจะไม่สามารถรับมือกับชายคนนั้นได้”
“ในตอนนี้พลังผนึกตราประทับทั้งหกของผู้อาวุโสฮั๊วได้เพิ่มพลังมากขึ้น ข้าคิดว่าเพลงดาบ 13 หน้าของลั่วฉีซานคงไม่สามารถที่จะทำอะไรเขาได้แน่”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าข้าเป็นลั่วฉีซานที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ป่านนี้ข้าก็คงคิดที่จะหยุดโจมตีไปแล้วล่ะ” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมาอย่างดูถูกดูแคลน
หมิงซี่หยินไอออกมา ตัวเขาไม่ได้เข้าใจอะไรคำพูดของต้วนมู่เฉิงเลย แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่คิดที่จะแย้งอะไร “ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่”
แคล๊ก
แคล๊ก
“นั่นมันเสียงอะไรกัน? ” หมิงซี่หยินหันกลับไปมอง
ในตอนนั้นเองก็มีมือของใครบางคนปรากฏขึ้นมาเหนือพื้นดินที่ไหม้เกรียม
หมิงซี่หยินรีบกระโดดถอยกลับไปด้วยความตกใจ เขาชี้ไปที่มือที่ดำสนิทก่อนที่จะพูดขึ้น “ศพ…มีชีวิตอย่างงั้นหรอ? ” หลังจากนั้นไม่นานหมิงซี่หยินก็เลิกคิดแบบนั้น จะมีซากศพที่ไหนกันที่รอดมาจากแรงระเบิดที่ทรงพลังแบบนั้นได้? หลังจากที่ใช้ความคิดได้พักหนึ่งในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงชื่อใครบางคนออก “ไม่จริง! หรือว่าจะเป็นฝานซุยเหวินกัน? “