My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 160
ลู่โจวรีบรับจดหมายของเหวยซู่หยานมา หลังจากที่อ่านจบตัวเขาก็ได้โยนจดหมายฉบับนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
หมิงซี่หยินรีบคว้าจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ก่อนที่จะอ่านเช่นกัน หลังจากที่อ่านจบตัวเขาก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนการต่อสู้ระหว่างพวกเรากับสิบคนทรงจะถึงหูเจ้านั่นแล้ว ศิษย์คิดว่าเจ้านั่นจะต้องกลัวแล้วแน่นอน…”
“ศิษย์พี่ แล้วจดหมายนั่นมีอะไรเล่าเอาไว้อีก? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“เหวยซู่หยานต้องการที่ขอขมาพวกเรา…เขาต้องการที่จะชดเชยเหตุการณ์ที่หมู่บ้านปลามังกรสวรรค์อีกด้วย นับตั้งแต่จากนี้อีกสองวันเจ้านั่นจะมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นการส่วนตัวเพื่อที่จะมาพูดคุยถึงความบาดหมางที่มีระหว่างพวกเรา”
เมื่อต้วนมู่เฉิงได้ยินแบบนั้นเขาก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ารู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเจ้านั่นมีความตั้งใจที่สูงส่งแบบนี้” ถ้าหากเป็นคนอื่นๆ การที่เขาต้องการที่จะมาขอโทษก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร แต่เหวยซู่หยานคนนี้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้ที่คุมกองทัพหลวงทั้งสามกองทัพเอาไว้ เขาคนนี้จะยอมก้มหัวเพื่อที่จะมาขอขมาง่ายๆ แบบนี้อย่างงั้นหรอ?
หมิงซี่หยินเองก็พูดขึ้นเช่นกัน “ความปรารถนาอันสูงสุดของศิษย์น้องยี่ก็คือการทิ่มแทงหัวใจของผู้เป็นศัตรูด้วยมือตัวเอง…”
“หยุดพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว! ” ต้วนมู่เฉิงรีบพูดขัดหมิงซี่หยินอย่างรวดเร็ว
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ปิดปากในทันที
ลู่โจวเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร “ถ้าหากนางโชคดียังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้นล่ะนะ” เมื่อพูดจบลู่โจวก็ได้กลับไปยังห้องลับในทันที
ทันทีที่ลู่โจวจะเข้าไปในห้องลับ ในตอนนั้นเองเขาก็เหลือบมองไปที่เมนูระบบซะก่อน
ชื่อ: ลู่โจว
เผ่า: มนุษย์
พลังวรยุทธ: ขั้นมหาราชครู
แต้มบุญ: 10,412
อวตาร: อวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่
อายุขัยที่เหลือ: 5,992 วัน
ของที่มี: การ์ดการโจมตีของเพรชฆาต x1, การ์ดป้องกันไร้ที่ติ x2, การ์ดประกันชีวิต x7, กรงผนึกกักขัง x4, เครื่องรางขัดเกลา x2, การ์ดระเบิดจุดสุดยอด x1, วิซซาร์ด (พักผ่อน) , บี่เอี๊ยน
อาวุธ: อาวุธนิรนาม, ห่วงแห่งรัก (เจ้าของเดิม: ยี่เทียนซิน) , กระบี่ตัดชีวา, สายสะพายแห่งนิพพาน, ถุงมือนักสู้
เคล็ดวิชา: เคล็ดอักษรสวรรค์
หลังจากที่สังเกตเห็นแต้มบุญ ลู่โจวที่ได้รับชัยชนะจากการต่อสู้กับเหล่าสิบคนทรงมาไม่ได้รับแต้มบุญมากเท่าที่ควรจะได้ การที่ไม่ได้รับแต้มบุญมากพอถือว่าเป็นความสูญเสียสำหรับตัวเขา
“ฉันมีค่าความโชคดี 8 แต้ม…” ลู่โจวได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเลือกจับฉลากนำโชค
‘ค่าความโชคดี 3 ครั้ง’
ลู่โจวในตอนนี้สัมผัสได้ว่าการจะจับฉลากนำโชคได้จะไม่สามารถได้ของรางวัลแน่ถ้าหากตัวเขายังคงทำตามอำเภอใจอยู่แบบนี้ ถ้าหากตัวเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่มั่นใจมากพอลู่โจวก็จะไม่ลองจับฉลากอีกครั้ง ถ้าหากตัวเขาไม่ได้จับได้รางวัลใหญ่ขึ้นมาตัวเขาก็จะยิ่งอารมณ์ไม่ดีกว่าเดิมได้
‘เก็บแต้มบุญที่เหลือเอาไว้ซื้อการ์ดวิเศษจะดีกว่า…และถ้าหากมีคะแนนมากพอค่อยซื่อพลังร่างอวตารใหม่’
“พลังร่างอวตารสัตตะดวงดาวแห่งวิญญาณ…15,000” ลู่โจวตรวจสอบราคาร่างอวตารในหน้าร้านค้า ในตอนนั้นเองตัวเขาได้นึกถึงยู่จง, ต้วนหยานฮง, วู่เฉิง หรือแม้แต่ผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้งหมดไป บางทีตัวเขาก็คงจะมีแต้มบุญมากพอที่จะซื้อร่างอวตารร่างใหม่แล้ว
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะเลิกใช้ความคิดไป ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตตัวเขาจะได้อะไรจากการจับฉลากนำโชคนี้ ผลของการจับฉลากทุกครั้งมันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด
“เคล็ดอักษรสวรรค์” ลู่โจวเริ่มใช้สมาธิอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขาอยู่บนรถม้าล่องเมฆา ในตอนนั้นเองพลังพิเศษของเคล็ดอักษรสวรรค์ก็ได้ช่วยให้ตัวเขาสามารถคลายเวทมนตร์คาถาแห่งมนตร์สะกดให้กับฝานซุยเหวินได้
ลู่โจวรู้สึกได้ว่าพลังพิเศษที่ได้มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จะต้องสามารถต้านทานพลังอื่นๆ นอกเหนือจากพลังของบทสวดแห่งพราหมณ์ได้ นอกจากนี้พลังพิเศษยังช่วยทำให้ลู่โจวแข็งแกร่งขึ้นได้อีกด้วย ไม่ว่าจะยังไงตัวเขาก็จะต้องพึ่งพาพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
…
สองวันผ่านมา
ลู่โจวได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่หลับตาเพื่อทำสมาธิไป เขาจำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้งที่พยายามทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจความหมายของมันทั้งหมดได้ แต่ไม่ว่าจะต้องทำความเข้าใจอีกซะกี่รอบลู่โจวก็ไม่ได้รู้สึกที่จะไม่อยากอ่าน ตราบใดที่ตัวเขาสามารถรับพลังพิเศษมาได้ ความน่าเบื่อของมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับลู่โจว
หยวนเอ๋อได้รีบวิ่งอย่างร้อนรนก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์…เหวยซู่หยานมาถึงแล้ว! ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หยวนเอ๋อไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนี้จะมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “เจ้านั่นน่ะมีไหวพริบ…ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะโง่งมถึงมาที่นี่โดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไร”
“เจ้านั่นไม่กลัวท่านอาจารย์จัดการตัวเขาเลยอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อได้เกาหัวเล็กน้อย
หยวนเอ๋อตัวน้อยเองก็ไม่ใช่คนที่โง่งมเช่นกัน การมาเยี่ยมเยียนศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงที่ก็ไม่ต่างกับการเอาชีวิตมาทิ้ง มีคนไม่มากนักที่จะมาหาที่ตายถึงที่แบบนี้
ลู่โจวยังคงนิ่งเงียบ เขายังคงนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ก่อนที่จะมองไปที่ด้านนอกอย่างสบายๆ ในตอนนี้ตัวเขาคิดไม่ออกเลยว่าเหวยซู่หยานมาที่นี่เพื่ออะไรกัน แต่ถึงแบบนั้นเมื่อตัวเขามาถึงเรื่องทุกอย่างก็จะถูกเฉลยเอง เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ถ้าหากจะคาดเดาแบบนี้ต่อไป
หมิงซี่หยิน ต้วนมู่เฉิง และคนอื่นๆ ใช้เวลาไม่มากนักก็มาถึงห้องโถงใหญ่แล้วเช่นกัน
มีทหารที่สวมใส่ชุดแตกต่างกัน 2 ชุดติดตามเหวยซู่หยานมาอย่างใกล้ชิด ทหารทั้งหมดล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาทั้งหมดได้เดินกันอย่างพร้อมเพรียงกันจนมาถึงห้องโถงใหญ่ได้
เหวยซู่หยานได้ปรากฏตัวขึ้น ที่มือของเขามีกระบี่ติดประดับตกแต่งอยู่ แม่ทัพคนนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำที่ดูหนัก ส่วนด้านหลังของเขาถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีแดง สายตาของเหวยซู่หยานดูเปล่งประกายและเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะมาที่นี่โดยที่ไร้ความกลัว ทุกๆ ก้าวที่เหวนซู่หยานก้าวเดินไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป เขาก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและมีพลัง
เหล่าสาวกศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งหลายเมื่อได้เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกใจ ท้ายที่สุดแล้วคนส่วนมากที่มีโอกาสมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้มักจะอยู่ไม่สุขไม่ก็มองๆ รอบๆ อย่างไม่สบายใจ บางคนถึงกับก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวด้วยใบหน้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าฝานซุยเหวิน ผู้นำของเหล่าอัศวินดำเองก็ดูมีท่าทีที่น่าเกรงขามน้อยลง แต่ถึงแบบนั้นเหวยซู่หยานกลับไม่เป็นอะไรเลย สิ่งนี้พิสูจน์ได้อย่างดีว่าแม่ทัพหลวงคนนี้มีจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน ยิ่งสุขุมและเยือกเย็นมากเท่าไหร่ เหวยซู่หยานก็จะยิ่งดูพิเศษขึ้นมาอย่างแท้จริง
“แม่ทัพเหวย…นี่เป็นการมาที่ฉลาดมาก” หมิงซี่หยินรีบพูดต่อไป “บอกความจริงมาซะ เจ้าน่ะมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อที่จะมาหาพวกเราที่เป็นศัตรูแบบนี้ทำไมกัน? สำหรับเจ้าการที่จะรอให้พวกเราบุกไปโจมตีก่อนคงจะได้เปรียบกว่าแท้ๆ “
เหวยซู่หยานยังมีสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมา “ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ข้าน่ะได้ทำผิดไปแล้ว เพราะงั้นข้าก็เลยจะต้องมาที่นี่ก็เพื่อแบกรับผลกรรม”
“เจ้าพูดได้เหมือนกับใครสักคนที่ข้าเคยรู้จัก…ถ้าจะให้พูดตามตรงเจ้าน่ะดูเหมือนจะมาจากสำนักฝ่ายธรรมะ…เจ้าน่ะมาจากสำนักไหนกันแน่? ” หมิงซี่หยินได้ถามขึ้น
“ข้าไม่เคยเข้าร่วมสำนักไหน”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวเองให้ดูสูงส่งหรอก….เจ้าน่ะมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาขอขมา เจ้าน่ะควรเลิกทำแบบนั้นได้แล้ว”
“ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น ท่านหมิงซี่หยิน”
ลู่โจวได้จ้องมองไปที่เหวยซู่หยานก่อนที่จะลูบเคราตัวเอง
เหวยซู่หยานที่เข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ได้คุกเข่าลงก่อนที่จะคารวะลู่โจว เหวยซู่หยานได้ทำความเคารพอย่างไม่ลังเล ในตอนที่ตัวเขาคุกเข่าเพื่อคารวะมันดูจริงใจมากกว่าจะไม่เต็มใจ ทหารทั้ง 20 คนที่ตามมาเองก็คุกเข่าลงก่อนที่จะทำตามเช่นกัน พวกทหารทั้งหมดเคลื่อนไหวได้อย่างพร้อมเพรียงกันราวกับว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นถึงกับผงะ ชายผู้มีเกียรติยศอันสูงส่งกับเต็มใจที่จะทำความเคารพแบบนี้ นี่มันไม่ดูแปลกเกินไปอย่างงั้นหรอ?
ในความคิดถ้าหากหมิงซี่หยินเป็นแม่ทัพเหวยซู่หยานตัวเขาก็คงจะไม่ทำแบบนี้แน่ แม้ว่าตัวเขาจะเอาชนะศัตรูไม่ได้แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็เลือกที่จะวิ่งหนีไป ตัวเขาจะไม่ยอมจำนนให้ใครยกเว้นอาจารย์
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหวยซู่หยานจะทำตัวแบบนี้ นี่แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าทำไมชายคนนี้สมควรที่จะกลายเป็นแม่ทัพหลวงที่บัญชากองทัพใหญ่ทั้ง 3 กองทัพได้
‘แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาได้ทำให้ท่านอาจารย์ขุ่นเคืองใจและนอกจากนี้เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้ที่ลงมือสังหารญาติพี่น้องของศิษย์น้องยี่เทียนซินอีก บาปนี้ไม่อาจที่จะให้อภัยได้’
“คนบาปเหวยซู่หยานคนนี้มาที่นี่ก็เพื่อชดใช้บาปแล้ว”
“เหวยซู่หยาน? ” ลู่โจวพูดออกมาเบาๆ
เหวยซู่หยานเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะจ้องมองหน้าของลู่โจวตรงๆ ตัวเขาได้ผสานมือกันก่อนที่จะพูดออกมา “เหวนซู่หยานคนบาปคนนี้มาเพื่อชดใช้บาปตามที่สัญญา! ” เหวยซู่หยานได้พูดซ้ำออกมาอย่างเด็ดขาและโผงผาง!
นอกเหนือจากลู่โจวแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็พูดคุยแปลกเปลี่ยนความเห็นกัน
‘ยอมรับผิดแต่โดยดีอย่างงั้นเนี่ยนะ? ‘
‘เจ้านี่ไม่แม้แต่จะอ้อนวอนขอความเมตตา! ‘
‘นี่มันช่างไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ‘
‘การที่เหวยซู่หยานยอมอดทนจนมาถึงที่นี่เป็นกับดักเหมือนกับกับดักที่เหล่าลูกหลานของสิบคนทรงทำขึ้นไหมนะ? ‘
ลู่โจวในตอนนั้นเองได้ลุกขึ้นก่อนที่จะก้าวเดินลงจากบันไดอย่างช้าๆ ในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้
หมิงซี่หยินในตอนนั้นเองก็ได้ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “ท่านอาจารย์ ขอให้ศิษย์ได้พูดอะไรก่อนเถอะ”
“ฮืม? “
“ศิษย์คิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม