My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 171
ซู่ฮ่องกงได้แต่กลืนน้ำลาย ตัวเขาได้แต่จ้องมองไปยังทางเข้าขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้วมันคือทางเข้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ทุกคนต่างก็รู้สึกเกรงกลัว
ซู่ฮ่องกงจำไม่ได้เลยว่าตัวเขาเคยฝันถึงสถานที่แห่งนี้บ่อยแค่ไหน ในตอนที่ตัวเขายังอยู่ที่นี่ ความรู้สึกที่ซู่ฮ่องกงมีมันเต็มไปด้วยความรู้สึกย้อนแย้ง
ในท้ายที่สุดซู่ฮ่องกงก็ได้เดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่
ซู่ฮ่องกงได้ก้าวเดินเร็วขึ้น ตัวเขารู้ดีว่าผู้เป็นอาจารย์คนนี้เกลียดคนชักช้าเหนือสิ่งอื่นใด หมิงซี่หยินยังคงเดินตามหลังตัวเขามาติดๆ เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านเสาขนาดใหญ่ทั้งสองต้นไปในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็ได้อยู่ตรงใจกลางห้องโถงใหญ่ ซู่ฮ่องกงที่มาถึงได้เงยหน้าขึ้น
ตัวเขาก็ได้พบกับชายชราคนหนึ่งที่ดูมีชีวิตชีวา เขาคนนี้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของห้องโถงใหญ่ สายตาของเขาดูลึกล้ำยิ่งกว่าผืนมหาสมุทร
ซู่ฮ่องกงรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นการจ้องมองของลู่โจว ตัวเขาได้คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์! ขอให้ท่านมีชีวิตที่ยืนยาวเป็นพันเป็นหมื่นปี! “
เมื่อได้ยินแบบนี้ตาของหมิงซี่หยินก็กระตุกในทันที
ลู่โจวได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าศิษย์ทรยศ”
“ท่านอาจารย์…ศิษย์อธิบายได้ ศิษย์ไม่ได้คิดทรยศท่านเลย! ศิษย์ก็แค่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องจากที่นี่ไป! ได้โปรดให้อภัยศิษย์ด้วยท่านอาจารย์! ” ซู่ฮ่องกงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังออกมา
ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หิยน หยวนเอ๋อ และจ้าวยู่ เหล่าสาวกทั้งหมดที่เพิ่งจะมาถึงจ้องมองไปที่ซู่ฮ่องกง
“ไม่มีทางเลือกอย่างงั้นหรอ? “
“ศิษย์ถูกศิษย์พี่เจ็ดหลอก! “
“แล้วทำไมถึงมีเจ้าเพียงคนเดียวที่โดนหลอก” คำพูดของลู่โจวมีความหมายชัดเจนสำหรับลูกศิษย์คนอื่นๆ นอกเหนือจากหยวนเอ๋อที่เป็นเด็กที่ใสซื่อแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ที่พอจะหลงกลสีวู่หยาได้ก็คงจะมีแต่ซู่ฮ่องกงเท่านั้น
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้จ้องไปที่ซู่ฮ่องกงด้วยสายตาที่ผิดหวัง
ซู่ฮ่องกงได้พูดตอบกลับมาด้วยเสียงดังฟังชัด “หัวใจของศิษย์บริสุทธิ์เหมือนกับสายน้ำ ท่านอาจารย์ได้โปรดตัดสินอย่างเป็นธรรมด้วย! “
ลู่โจวได้วางมือของตัวเองไว้ที่หลังก่อนที่จะเดินหาซู่ฮ่องกง
ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นได้แต่สั่นไปด้วยความกลัว ตัวเขาได้แต่ก้มหน้าลงเพราะกลัวที่จะต้องสบตากับลู่โจว
“เจ้าแปด…ไม่ใช่เจ้าอยากที่จะให้ข้าตายเร็วๆ หรอกอย่างงั้นหรอ? “
เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสั่นมากกว่าเดิม ตัวเขาได้แต่ก้มหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ศิษย์ไม่กล้าแม้แต่จะคิด! “
ลู่โจวส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของจีเทียนเด๋าในตอนนั้น จีเทียนเด๋าได้สรรหาเหล่าศิษย์สาวกที่มีพรสวรรค์มาแล้วกว่าหลายคน แล้วทำไมจีเทียนเด๋าถึงเลือกศิษย์คนที่แปดให้เป็นซู่ฮ่องกงคนนี้ได้ ศิษย์ที่ขี้ขลาดเหมือนหนูคนนี้
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เจ้าได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองโดยมีเจ้าเจ็ดช่วยสินะ…แม้ว่าเจ้าจะก่อเรื่องน้อยแต่ถึงแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าก็จะต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เจ้าก่อ” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
สิ่งที่ลู่โจวพูดเป็นความจริง แม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้อยากที่จะแบกรับปัญหาทั้งหมด แต่ถึงแบบนั้นคนนอกก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของตัวเขา เป็นความผิดของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี และเพราะแบบนั้นเองศาลาปีศาจลอยฟ้าจึงมีชื่อเสียงไม่ดีมากขึ้น จีเทียนเด๋าได้ติดบัญชีดำเพราะเหตุนี้เช่นกัน
“ศิษย์ผิดไปแล้วท่านอาจารย์! ” ในที่สุดซู่ฮ่องกงก็ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ
“ติ้ง! สั่นสอนซู่ฮ่องกงสำเร็จ ได้รับรางวัล: 100 แต้มบุญ”
“สีวู่หยามีแผนอะไรในตอนนี้กันแน่? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
สีวู๋หยาเป็นผู้นำสำนักแห่งความมืด ทำไมเขาถึงต้องพยายามปลุกปั้นพายุตลอดเวลา? ซู่ฮ่องกงและสีวู่หยาสนิทกันมากที่สุด บางทีซู่ฮ่องกงอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นได้
“ศิษย์พี่เจ็ดไม่เคยเล่าอะไรให้ศิษย์ได้ฟังเลย ศิษย์ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ศิษย์พี่…สนิทกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่เจ็ดได้พบกับศิษย์พี่ทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง ศิษย์ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกศิษย์พี่คุยกันเลยแม้แต่น้อย” ซู่ฮ่องกงได้ตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วทำไมวันนั้นเจ้าไปที่แท่นบูชาหยกเขียวกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง
“ศิษย์พี่เจ็ดไม่อยากให้วิหารปีศาจร่วมมือกับสำนักเที่ยงธรรม…ศิษย์พี่ตั้งใจที่จะแยกสำนักแห่งความมืดออกมาจากสำนักทางใต้ เพราะแบบนั้นศิษย์พี่ก็เลยเข้าขัดขวางเจ้าพวกนั้น”
ลู่โจวจ้องไปที่ศิษย์คนที่แปด เขารู้จักศิษย์แต่ละคนดี วรยุทธที่ซู่ฮ่องกงมีอยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แล้วการฝึกฝนของตัวเขาเองก็ยังมีข้อบกพร่องอีกด้วย
ซู่ฮ่องกงไม่เหมือนกับศิษย์สาวกคนอื่นๆ ลู่โจวจำได้ดีว่าซู่ฮ่องกงเลือกที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาสายฟ้าหายนะทั้งเก้า แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชา 2 ขั้นสุดท้าย และเพราะแบบนั้นซู่ฮ่องกงจึงไม่อาจที่จะก้าวข้ามตัวเองจนเพิ่มพูนพลังวรยุทธของตัวเองไปสู่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็บอกว่าศิษย์น้องคนนี้ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะซู่ฮ่องกงมีข้อบกพร่องในการฝึกฝนตัวเองมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าเหล่าศิษย์สาวกต่างก็ถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ลู่โจวรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นค่าความจงรักภักดีของซู่ฮ่องกงเหลืออยู่ที่ 5%
นี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่แตกต่างจากยี่เทียนซินมาก ยี่เทียนซินเก็บงำความแค้นและความเกลียดชังที่มีต่อผู้เป็นอาจารย์จนออกจากที่แห่งนี้ไป แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกลียดลู่โจวอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังไม่ได้รับการยอมรับให้กลับกลายเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้ง
แม้ว่าซู่ฮ่องกงจะออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแต่เขาก็ยังคงมีค่าความจงรักภักดีอยู่ที่ 5% ถ้าหากเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าซู่ฮ่องกงยังคงรู้สึกภักดีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด
“ถ้าหากรู้ตัวเองว่าผิด…เจ้าก็ไปอยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนเพื่อสำนึกผิดซะ” ลู่โจวได้พูดขึ้นมาพร้อมกับโบกแขนไปด้วย
ซู่ฮ่องกงตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขาจำได้ดีถึงสิ่งที่ศิษย์พี่สี่ได้เตือนเอาไว้ตลอดการเดินทาง อาจารย์ในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงคิดว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังลองเชิงตัวเขาอยู่ ซู่ฮ่องกงที่คิดได้แบบนั้นกัดฟันก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์! ศิษย์คนนี้ได้ทำผิดร้ายแรง! ได้โปรดลงโทษศิษย์สถานหนักด้วยเถอะ”
ทุกคนต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินแบบนี้
‘เจ้านี่ไม่พอใจเมื่อได้รับโทษสถานเบาอย่างงั้นหรอ? ‘
แม้ว่าจะเป็นการลงโทษสถานเบา แต่ถึงแบบนั้นถ้ำแห่งเงาสะท้อนก็ไม่ใช่ที่ที่จะอยู่ได้อย่างสะดวกสบายเลย ภายในนั้นทั้งเหน็บหนาวและมืดมิด ยิ่งอยู่ภายในถ้ำแห่งเงาสะท้อนมากขึ้นเท่าไหร่ความเหน็บหนาวก็จะยิงซึมซับเข้าไปยังกระดูกของคนคนนั้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องเดินพลังลมปราณอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอีกครั้ง การเดินลมปราณเป็นเวลานานก็ถือว่าเป็นการทรมานตัวเองดีๆ นี่เอง
นอกเหนือจากยี่เทียนซิน ลู่โจวไม่เคยลงโทษศิษย์ของตัวเองสถานหนักมาก่อน
“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องแปดได้ทำผิดร้ายแรงไปแล้ว ได้โปรดลงโทษเขาสถานหนักด้วยเถอะ”
“ศิษย์เองก็เห็นด้วย เขาสมควรแล้วที่จะถูกลงโทษสถานหนัก”
“ศิษย์พี่แปดหน้าด้านอยู่แล้ว ถ้ำแห่งเงาสะท้อนคงจะเป็นบทลงโทษที่เบาเกินไป! ท่านอาจารย์…ทำไมท่านไม่หักขาของศิษย์พี่ออกมาเพื่อในอนาคตศิษย์พี่จะได้วิ่งหนีไปไหนไม่ได้อีก? ” หยวนเอ๋อแนะนำออกมา
‘เดี๋ยวก่อนนะ’ ซู่ฮ่องกงรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา ‘ศิษย์น้องเล็กเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาและมีจิตใจที่บริสุทธิ์…ทำไมศิษย์น้องถึงได้โหดร้ายกับข้าได้ล่ะ? ‘
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ซ่อมแซมภูเขาทอง เฆี่ยนอีก 50 ครั้ง และไปสำนึกตัวเองในถ้ำแห่งเงาสะท้อน3 ปี โดยที่ผนึกพลังวรยุทธเอาไว้! “
“ฮะ? ” ซู่ฮ่องกงเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้พูดผิดไป เดิมทีการลงโทษในตอนแรกซู่ฮ่องกงจะต้องสามารถผ่านมันไปได้อย่างสบายๆ แต่ในเวลานี้จะต้องใช้เวลาในถ้ำแห่งเงาสะท้อนถึง 3 ปีโดยที่ถูกผนึกพลังวรยุทธเอาไว้ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการลงโทษที่ช่างโหดร้าย! ซู่ฮ่องกงได้แต่กังวลว่าตัวเองจะถูกแช่แข็งตายภายในถ้ำอันเหน็บหนาว
“อะไรกัน? เจ้ามีอะไรที่จะพูดอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้น
ซู่ฮ่องกงโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ศิษย์ยอมรับการลงโทษแต่โดยดี! “
“พาเจ้านี่ออกไปได้แล้ว”
“ครับท่านอาจารย์”
หมิงซี่หยินเดินไปหาซู่ฮ่องกงก่อนที่จะตบไหล่ตัวเขา “ไปได้แล้ว! “
ซู่ฮ่องกงไม่ได้ขยับไปไหน
“ไปได้แล้วเจ้าโง่! เจ้าจะให้ข้าลากตัวเจ้าออกไปอย่างงั้นสินะ? “
หมิงซี่หยินได้ทำท่ายกมือขึ้น ในตอนนั้นเองพลังลมปราณของเขาก็ได้ปกคลุมร่างกายของซู่ฮ่องกงเอาไว้ก่อนที่ซู่ฮ่องกงจะลอยขึ้น ตัวเขาถูกลากออกจากห้องโถงใหญ่ไป
ในตอนที่ทั้งสองคนมาที่ด้านหลังของภูเขา ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องกงก็เริ่มที่จะหอบหนัก “ท่านอาจารย์ไม่ทุบตีข้าอย่างงั้นหรอ? ท่านอาจารย์ไม่ได้ทุบตีข้า! ศิษย์พี่…ข้ากำลังฝันไปรึเปล่า? “
หมิงซี่หยินกลอกตากลับไปมองก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้ากำลังกลัวอยู่อย่างงั้นสินะ? “
“แน่นอนว่าข้ากลัว…อารมณ์ของท่านอาจารย์น่ะ…ข้าไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะมีอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน”
“เจ้าถือว่าโชคดีมากแล้ว! ถ้าหากเจ้าลองร้องขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ตามที่ข้าได้บอก ท่านอาจารย์ก็คงจะไม่ลงโทษเจ้าสถานหนักหรอก! ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร “แต่สำหรับบาปที่เจ้าได้ทำลงไป การใช้เวลาในถ้ำแห่งเงาสะท้อนโดยที่ผนึกพลังวรยุทธเอาไว้คงจะเป็นการลงโทษสถานเบาอยู่ดี”
“ศิษย์พี่สี่พูดถูกแล้ว ขอบคุณที่ช่วยให้ข้าไม่ให้ถูกลงโทษสถานหนักกว่านี้ ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ตลอดไป! ” ซู่ฮ่องกงได้พูดขึ้น
เมื่อทั้งสองคนกำลังคุยกันถึงเรื่องบทลงโทษ ในตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้พบกับฝานซง ฝานซงในตอนนี้กำลังถือเคล็ดวิชาหยางทั้งหกอยู่ในมือ และเมื่อเห็นซู่ฮ่องกงเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ากลัว “ศิษย์พี่สี่ พวกเรามีผู้มาเยือนคนใหม่อีกแล้วอย่างงั้นหรอ? “