My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 179
ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกสับสนมาก หลังจากนั้นเขาก็ได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้น “วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหนกันเพื่อที่จะท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้? “
“บางทีเจ้าพวกนั้นอาจจะเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาก็ได้” หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมา
วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไม่สามารถเทียบเคียงอะไรกับวิหารแห่งความว่างเปล่าได้เลย ยิ่งช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีนักบวชปรมาจารย์ชาวพุทธที่มาจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์เกิดขึ้นเลย พวกเขามีเพียงยอดฝีมือผู้ที่มีพลังวรยุทธถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเป็นเหล่าผู้ฝึกยุทธหน้าใหม่ซะหมด พวกเขาไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับวิหารแห่งความว่างเปล่าซะด้วยซ้ำไป ในฐานะที่เป็นหนึ่งในวิหารชาวพุทธทั้งที่ยิ่งใหญ่แล้ว วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ตอนนี้เหลือเพียงชื่อเสียงเดิมที่เคยมีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงความต้องการมากมายแบบนี้บอกได้อย่างชัดเจนว่าวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์หมดหนทางไปมากเพียงใด
ด้วยเหตุนี้เองหมิงซี่หยินจึงไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมพวกเขาถึงได้มั่นใจอะไรแบบนั้น สิ่งที่เขาพอจะคิดได้มีเพียงคนพวกนั้นโง่เขลาจนเกินไป
“ท่านอาจารย์ ข้ายินดีที่จะพาศิษย์พี่สามไปที่วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์เพื่อกำจัดนักบวชหัวโล้นพวกนั้นเอง พวกเราจะแสดงให้เห็นว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเราไม่อาจที่จะลบหลู่ได้” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างข้องใจ
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก
ต้วนมู่เฉิงได้คว้าหอกราชันย์เอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมาเช่นกัน “ศิษย์น้องแปดได้ไปตามคำสั่งของท่านอาจารย์ เท่ากับว่าเขาเป็นตัวแทนของศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนี้ศิษย์น้องกำลังมีภัย ข้าในฐานะศิษย์พี่และเป็นส่วนหนึ่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะนิ่งเฉยไม่ได้ ศิษย์ยอนดีที่จะไปกับศิษย์น้องสี่เพื่อจัดการกับนักบวชหัวโล้นพวกนั้นให้เหลือแต่ฝุ่นเอง! “
ฮั๊ววู่เด๋ายิ่งพูดไม่ออก
จ้าวยู่เองก็พูดออกมาเช่นกัน “ศิษย์เองก็เคยทำบาปมาในอดีต ศิษย์ยินดีที่จะไถ่บาปด้วยการทำภารกิจนี้เอง ศิษย์จะช่วยศิษย์พี่ทั้งสองให้อย่างสุดความสามารถ ศิษย์จะกวาดล้างวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์เองท่านอาจารย์! “
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็รู้สึกสับสน เขาได้คารวะก่อนที่จะถามออกมา “วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไปเอาความมั่นใจจากที่ไหนกันถึงกล้าท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้? “
“บางทีเจ้าพวกนั้นก็แค่อาจจะโง่เขลาเบาปัญญาก็เท่านั้น” หมิงซี่พูดขึ้น
ฮั๊ววู่เด๋าถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง
มีเพียงหยวนเอ๋อที่กำลังเล่นเส้นผมของตัวเองเพียงเท่านั้น เพราะแบบนั้นแล้วเธอก็คงจะไม่เข้าร่วมด้วย
ฮั๊ววู่เด๋าไม่รู้เลยว่าลู่โจวกำลังคิดอะไรอยู่กั้นแน่ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็สับสนกับสิ่งที่ศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้ารู้สึก ในวันนี้ตัวเขาเพิ่งจะรู้สึกว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้โหดเหี้ยมสมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ได้ยินมาในอดีต
แม้ว่าฮั๊ววู่เด๋าจะไม่ได้รังเกียจอะไรสำนักฝ่ายอธรรมแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะสังหารผู้อื่นเพียงเพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง วิธีการแบบนี้มันไม่รุนแรงเกินไปอย่างงั้นหรอ?
ฮั๊ววู่เด๋าได้มองไปที่ลู่โจว
ลู่โจวเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตัวเขาอาจจะห้ามปรามเหล่าสาวกทั้งหมดเอาไว้ได้ แต่ในเวลานี้ดูเหมือนจะเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะทำตัวให้เหมือนกับจีเทียนเด๋าในอดีต
อย่างไรก็ตามในตอนนี้วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เพราะแบบนั้นก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้
“วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์และวิหารแห่งความว่างเปล่าต่างก็เดินบนเส้นทางเดียวกัน เจ้าวิหารแห่งความว่างเปล่ากงหยวนได้เก็บตัวเองเพื่อที่จะฝึกฝนมาอย่างสันโดษเป็นเวลานานมาแล้ว ว่ากันว่าเขาเพิ่งจะก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดไปได้เมื่อไม่นานมานี้…ถ้าหากทั้งสองวิหารผนึกกำลังรวมกันจริงๆ เมื่อนั้นเจ้าแปดก็คงจะไม่สามารถที่จะกลับมาที่นี่ได้อีกต่อไป” ลู่โจวได้พูดขึ้น
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็สบสายตากัน
“ท่านอาจารย์ พวกเราไม่กลัวความตาย”
“ข้าด้วย! “
“ข้าเองก็เห็นด้วย! “
ต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่ต่างก็เห็นด้วย
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ในครั้งนี้…เห็นทีข้าก็คงจะต้องไปเยี่ยมที่วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ด้วยตัวเองซะแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ท่านเองก็จะไปด้วยอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินรู้สึกตกใจมาก และเมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้ประจบผู้เป็นอาจารย์ในทันที “ถ้าหากท่านอาจารย์เดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง นักบวชหัวโล้นพวกนั้นก็คงจะต้องถูกจัดการไปโดยแค่ใช้ฝ่ามือเดียวแน่” ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่รีบพูดประจบลู่โจวในตอนที่ซู่ฮ่องกงไม่อยู่ตอนนี้ เขาก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ลู่โจวได้แต่มองไปที่หมิงซี่หยินอย่างไม่แยแสอะไร ในตอนนี้ตัวเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเมนูภารกิจเพิ่มภารกิจใหม่ขึ้นมา ภารกิจคือการหาดอกแมกโนเลยสีดำ รางวัลภารกิจคือแต้มบุญ 1,500 ถ้าหากหาดอกแมกโนเลียอีกดอกมาได้ตัวเขาจะมีแต้มบุญมากพอที่จะสามารถซื่อพลังร่างอวตารใหม่ได้
ไม่กี่เดือนที่แล้วที่ลู่โจวเพิ่งจะมาถึงโลกแห่งนี้ ตัวเขาก็ได้พบกับความทรงจำเข้า ความทรงจำที่จีเทียนเด๋าใช้ฝึกฝนตัวเอง แม้แต่จีเทียนเด๋าผู้ที่เป็นถึงปรมาจารย์เองก็ยังไม่ได้ฝึกฝนตัวเองเร็วถึงเพียงนี้
และด้วยเหตุนี้เองลู่โจวจึงมุ่นมั่นที่จะไปตามหาดอกแมกโนเลียสีดำมากกว่าเดิม
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
รถม้าล่องเมฆาของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อในตอนนี้มารออาจารย์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
“ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านน่ะอายุมากแล้ว ขาของท่านก็คงจะไม่ได้ดีในอย่างที่เคยเป็น ท่านคงจะพักผ่อนอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าจะดีกว่านะ” ลู่โจวได้พูดกับฮั๊ววู่เด๋า หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หันหลังก่อนที่จะขึ้นรถม้าไป
ใบหน้าของฮั๊ววู่เด๋าตกตะลึงมาก ตัวเขาเองรู้สึกได้ถึงคำพูดที่ดูแปลกไป ‘ข้าอายุมากแล้วก็จริง แต่ข้าคิดว่าท่านอายุมากกว่าข้าอีกนะ ท่านปรมาจารย์…’ ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นแบบนั้นท่านปรมาจารย์ ข้าจะรอฟังข่าวดีที่นี่เอง”
หมิงซี่หยินได้สะกิดต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่สาม…ท่านรู้ไหมถ้าหากควบคุมรถม้าลอยฟ้าจะได้ประโยชน์มากแค่ไหนกัน? “
“หืม? “
“การควบคุมรถม้าลอยฟ้าจะทำให้ผู้ควบคุมฝึกที่จะเดินพลังลมปราณตามที่ใจต้องการ เมื่อต้องการที่จะเร่งความเร็ว ผู้ควบคุมก็ต้องใช้พลังลมปราณที่มากกว่าเดิม ถ้าหากท่านควบคุมมันได้นานมากพอ มันก็จะเป็นผลดีกับความอดทนของตัวผู้คุมเอง นอกจากนี้วิวทิวทัศน์ในตอนที่มองไปยังข้างทางยังสุดยอดเหนือคำบรรยายอีกด้วย” หมิงซี่หยินได้ให้เหตุผลขึ้นมา
“มันยอดเยี่ยมแบบนั้นเลยหรอ? “
“แน่นอนศิษย์พี่…ข้าไม่เคยโกหกท่านหรอก ศิษย์พี่สาม การที่ศิษย์พี่ใหญ่ควบคุมรถม้าลอยฟ้าคันนี้มาถึง 10 ปีมันจะต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น
“ที่เจ้าพูดมามันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี” ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าก่อนที่จะตบไปบนบ่าของหมิงซี่หยิน หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “แต่ว่านะศิษย์น้อง พลังวรยุทธที่เจ้ามียังด้อยกว่าข้า เพราะงั้นนี่จะต้องเป็นประโยชน์กับเจ้าแน่ๆ “
หมิงซี่หยินถึงกับพูดไม่ออก ในตอนนี้ตัวเขากำลังรู้สึกแบกรับภาระเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว
นอกเหนือจากศิษย์ทั้ง 4 คน ผู้ฝึกยุทธหญิงกว่าหลายสิบคนก็ขึ้นรถม้ามาด้วยเช่นกัน
1 ชั่วโมงต่อมา
รถม้าลอยฟ้าก็ได้มาถึงดินแดนทางตะวันตกของมณฑลจิ้ง
หมิงซี่หยินสามารถควบคุมความเร็วของรถม้าได้อย่างมั่นคง มันได้ลอยไปตามท้องฟ้าอย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง
“ท่านอาจารย์ พวกเราอยู่ที่หุบเขาแห่งความกระจ่างแล้ว วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์อยู่ที่จุดสูงสุดของหุบเขานี้เอง”
“ช้าลงซะ”
หมิงซี่หยินได้หันไปมองคนอื่นๆ “ศิษย์พี่สาม, ศิษย์น้องเล็ก ข้าควบคุมรถม้าลอยฟ้าเป็นยังไงบ้าง? “
หยวนเอ๋อได้ยกนิ้วให้ก่อนที่จะตอบกลับมา “ศิษย์พี่สี่ท่านควบคุมรถม้าได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ท่านน่ะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว! “
“นี่ช่างเป็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ศิษย์น้องสี่ เจ้าสามารถควบคุมรถม้าได้สมบูรณ์แบบแบบนี้ได้โดยควบคุมมันแค่สองครั้งเท่านั้น” ต้วนมู่เฉิงเองก็กล่าวชมเชย
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเหลือบมองหมิงซี่หยิน “ถ้าหากเป็นแบบนี้เจ้าจงเป็นนายท้ายผู้ควบคุมรถม้าลอยฟ้าซะนะ…”
คำพูดของลู่โจวไม่ได้ทำให้หมิงซี่หยินดีใจขึ้นเลย
…
ในขณะเดียวกัน
ที่ทางเข้าหุบเขาแห่งความกระจ่าง
“ท่านเจ้าอาวาส! รถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ที่นี่แล้ว! “
เสื้อคลุมของชาวพุทธรวมไปถึงไม้เท้าที่อยู่ในมือ ชายผู้นี้ก็คือเจ้าอาวาสของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้ลดลูกประคำอธิษฐานลงก่อนที่จะหยุดสวดพระสูตร “ให้สาวกของพวกเราทักทายแขกคนสำคัญนั่นซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงระฆังบนภูเขาก็ได้ดังก้องไปทั่วหุบเขาแห่งความกระจ่าง
ก๊อง! ก๊อง! ก๊อง!
เสียงของระฆังได้ทำให้เหล่าศิษย์สาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มารวมตัวกันหน้าโถงแห่งพลัง
เหล่าสาวกบางคนก็ถือไม้เท้าเอาไว้ บางคนก็มากันตัวเปล่า แต่ถึงแบบนั้นเหล่าสาวกทุกคนต่างก็สวมคลุมนักบวชเอาไว้
มีเพียงนักบวชไม่กี่คนเท่านั้นที่สวมใส่คลุมชาวพุทธเอาไว้
เหล่าศิษย์สาวกต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นรถม้าล่องเมฆาลอยมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไม่ได้มีของอะไรแบบนั้น
ในตอนนี้เจ้าอาวาสซู่จิ้งได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่โถงแห่งพลัง
“ท่านเจ้าอาวาส! “
เหล่าศิษย์สาวกจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ต่างก็พูดทักทายผู้เป็นเจ้าอาวาสอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซู่จิ้งเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นไปตามที่ข้าได้คาดการณ์เอาไว้”
“ท่านเจ้าอาวาส ศาลาปีศาจลอยฟ้ามากันแล้ว…พวกเราควรจะทำยังไงกันดี? “
ซู่จิ้งได้มองไปยังเหล่านักบวชก่อนที่จะพูดออกมา “แขกผู้มาเยือนของเราถือเป็นจอมวายร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในโลกใบนี้ นอกเหนือจากซู่เฉิง, ซู่ฝาน และซู่ไห่ ให้ทุกคนอยู่เงียบๆ ไปก่อน”
เหล่าสาวกต่างก็พยักหน้าตอบรับ
รถม้าล่องเมฆากำลังเคลื่อนตัวลงมา พลังที่ไหลเวียนอยู่รอบรถม้าทำให้เหล่านักบวชรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ในตอนที่รถม้ายังไม่ลงมาถึงพื้น ซู่จิ้งก็ได้ยกแขนขึ้นมาก่อนที่จะขยายเสียงของเขาให้กลายเป็นคลื่นเสียงไป “ข้าเจ้าอาวาสวิหารแห่งนี้มีนามว่าซู่จิ้งขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน” เสียงของเขาได้ทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะลอยตรงมาที่รถม้าลอยฟ้า
หมิงซี่หยินขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกไป “ท่านอาจารย์ นักบวชหัวโล้นพวกนี้เป็นพวกหน้าซื่อใจคดจริงๆ! เจ้าพวกนั้นกล้าทักทายพวกเราแบบนี้ได้ยังไงกัน? ” เมื่อได้ยินข่าวการจับกุมตัวของศิษย์น้องแปดของตัวเอง หมิงซี่หยินก็คิดเอาไว้แล้วว่านักบวชพวกนี้เจ้าเล่ห์ การทักทายแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการเยาะเย้ยออกมาตรงๆ
“ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”