My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 182
คลื่นเสียงได้พุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากสุดขอบฟ้า
หน้าต้นไม้เบื้องหน้าโถงแห่งพลัง ในตอนนั้นเองเสียงดังกึกก้องก็ได้ลอยมาจากตรงนั้น
ซู่จิ้งและเหล่าสาวกของเขาต่างก็ออกมาจากห้องโถงก่อนที่จะเงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า “นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อยู่ที่นี่แล้วอย่างงั้นหรอ? “
“นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวเดินออกมาเช่นกัน
จ้าวยู่, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อตามมาติดๆ
ซู่จิ้งได้พูดตอบกลับมา “กงจือ, กงเหวิน, กงชี และกงจาง…พวกเขาทั้งสี่ล้วนแต่เป็นสุดยอดฝีมือของวิหารแห่งความว่างเปล่า พวกเขาทั้งหมดมีฝีมือเป็นลองแค่กงหยวนเจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น ถ้าหากอาตมาจำไม่ผิดพวกเขาทั้งหมดได้ฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เมื่อนานมาแล้ว”
‘ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ผู้ใช้ร่างอวตารดอกบัว 4 กลีบ? ไม่เลว’ การที่จะฝึกยุทธไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เหมือนกับการไปยังเขตแดนที่อันตรายที่สุดในยุทธภพ
ในวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ ซู่จิ้งเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ มีสาวกนักบวชกว่า 1,000 คนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีนักบวชคนไหนเลยที่ฝึกฝนจนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้
ในตอนนี้วิหารแห่งความว่างเปล่าได้ส่งยอดฝีมือทั้งสี่ผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มา ความเหลื่อมล้ำระหว่างทั้งสองวิหารมีมากจนเกินไป! ไม่น่าแปลกใจเลยที่วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์จะยอมตัดสินใจเป็นมิตรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อที่จะจัดการกับวิหารแห่งความว่างเปล่า สุดท้ายแล้วความตายก็ไม่ได้รักษาเกียรติยศของผู้ตายเอาไว้ได้
ในขณะที่พวกเขาได้พูดออกมา บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยคลื่นเสียงอีกครั้ง
เหล่าสาวกที่อยู่ในโถงแห่งพลังต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เหล่าสาวกผู้อ่อนแอทั้งหลายได้แต่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะต้านทานพลังคลื่นเสียงเอาไว้
“กงชีและกงจางอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้เอ่ยชื่อออกมา ‘ทำไมชื่อของเจ้าพวกนี้ดูปัญญาอ่อนซะจริง’ ใครที่เป็นคนตั้งชื่อพวกนี้คงจะต้องเป็นอัจฉริยะมากแน่ๆ
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งกับพวกที่อ่อนแออยู่ด้วยสินะ ในหมู่นักบวชหัวโล้นพวกนั้นมียอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้ง 8 อยู่ด้วยอย่างงั้นหรอ? “
ซู่จิ้งได้ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “นักบวชศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นหรอก นักบวชผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 5 กลีบ ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดมีพลังร่างอวตารดอกบัว 2 กลีบ กงชีเป็นผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 3 กลีบ ส่วนกงจางเป็นผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 5 กลีบ…”
“ถ้าหากไม่มีอะไรข้าจะรับมือกับสองคนนั้นเอง” หมิงซี่หยินแทบที่จะเก็บความตื่นเต้นต่อไปอีกไม่ไหว
“ท่านผู้เจริญ ท่านมีพลังวรยุทธขั้นไหนกัน? ” ซู่จิ้งได้ถามออกมา
“ข้ามีพลังร่างอวตารดอกบัว 2 กลีบ”
“อันที่จริงแล้วนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะไม่แข็งแกร่งถ้าหากต้องแยกจากกัน พวกเขาทั้งหมดจะแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อร่วมมือกัน ถ้าหากร่วมมือกันนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็คงจะแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 7 กลีบ” ซู่จิ้งได้อธิบายออกมา
“เจ้าพวกนั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินเผลอพูดออกมาอย่างตกใจ
ซู่จิ้งเริ่มอธิบายออกมาด้วยความวิตกกังวล “เมื่อพวกนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่รวมพลังกัน พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยพลังฝ่ามือที่ทรงพลังที่สุดของวิถีพุทธได้…อาตมาเคยต่อสู้กับพวกเขาทั้งสี่คนมาครั้งหนึ่งแล้ว อาตมาในตอนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ไม่มีใครหน้าไหนที่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีหรือเกียรติยศอีกต่อไป ซู่จิ้งได้ถึงผ้าคลุมที่ตัวเขาสวมใส่ออกมา ในตอนนัน้เองเปิดเผยให้เห็นรอยฝ่ามือแห่งความโกรธเกรี้ยวที่อยู่บนหน้าอกของตัวเขา
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นแบบนั้น
ซู่จิ้งได้ละทิ้งพลังความแข็งแกร่งรวมไปถึงวรยุทธทั้งหมดไปแล้ว ตัวเขาได้แสดงเจตจำนงที่แท้จริงออกมา ในตอนนี้ตัวเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปถึงแม้ว่าจะมีรอยแผลอยู่บนหน้าอกของตัวเองก็ตามที
“เจ้า…” หมิงซี่หยินได้แต่ยกนิ้วให้กับผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสคนนี้ “ข้ารู้สึกเกลียดชังพวกนักบวชมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้ารู้สึกชื่นชม”
“ท่านผู้อาวุโสจี ท่านจะยอมรับพวกเราไหม? ” ซู่จิ้งได้ถามออกมา ที่จริงแล้วชีวิตเหล่าสาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มีมากกว่า 1,000 ชีวิต ถ้าหากลู่โจวได้พ่ายแพ้ขึ้นมา ชีวิตของคนทั้งหมดก็จะจบลงตรงนี้
แม้ว่าซู่จิ้งจะเคยได้ยินมาว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นมหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก แต่ในตอนนี้คำที่เคยได้ยินมามันไม่สำคัญอีกต่อไป อายุขัยของปรมาจารย์คนนี้ใกล้ที่จะหมดลงไปทุกที ยิ่งอายุมากขึ้นพลังวรยุทธที่มีก็เริ่มที่จะเสื่อมถอยลง เขาไม่แน่ใจว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนี้จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมไหม
หมิงซี่หยินได้พูดขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจวตอบกลับ “พลังวรยุทธที่อาจารย์ข้ามียากแท้ที่จะหยั่งถึงได้…แม้ว่าท่านอาจารย์จะอายุมากแล้วแต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ได้อย่างกังวลไปเลย บางทีท่านอาจารย์ยังไม่ต้องที่จะทำอะไรด้วยซ้ำไป ข้าคิดว่าศิษย์พี่สามและข้าจะต้องรับมือได้แน่”
ซู่จิ้งพูดต่อไป “ในตอนนี้ข้ารู้สึกโล่งใจมากแล้ว…ข้าหวังว่าพวกเราจะไม่มีศัตรูร่วมกันอีกต่อไป”
ในตอนนั้นเองคลื่นเสียงที่มาจากขอบฟ้าก็เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น “ซู่จิ้ง นี่ก็ผ่านไปกว่า 3 วันแล้ว เจ้ามีคำตอบแล้วรึยัง? “
รถม้าลอยฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้นมา
ในตอนนั้นเองนักบวช 4 คนก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาทั้งหมดได้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับพลังฝ่ามือที่มี เหล่านักบวชทั้งสี่เริ่มลอยลงมาอย่างช้าๆ นักบวชอีกหลายคนเองก็ค่อยๆ ลอยลงมาเช่นกัน
เหล่านักบวชสาวกที่อยู่ในโถงแห่งพลังในตอนนี้เริ่มล่าถอยกลับไป พวกเขาได้เคลื่อนที่ไปด้านหลังเรื่อยๆ จนติดมุมห้อง
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่รวมไปถึงนักบวชอีกทั้ง 20 ชีวิตได้ลงมาที่ใจกลางลานของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ ทั้งสี่คนได้ยืนอยู่คนละมุมของลานบูชา เมื่อได้สบตานักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่ดูคล้ายคลึงกัน การที่จะแยกใครสักคนออกได้จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่ถึงแบบนั้นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ไม่ได้เป็นหนุ่ม คิ้วของเขารวมไปถึงหนวดเคราและรอยเหี่ยวย่นบอกได้อย่างชัดเจนว่านักบวชพวกนี้มีอายุมากแล้ว
กงเหวินเป็นผู้ที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน “ซู่จิ้ง”
ลู่โจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้เหลือบมองไปที่เขา
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ เห็นได้ชัดว่าวิหารแห่งความว่างเปล่าไว้ใจให้นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่มาจัดการกับวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มากแค่ไหน
“ซู่เหลียว, ซู่ฝาน, ซู่ไห่” ซู่จิ้งได้เรียกพรรคพวก
“ท่านเจ้าอาวาส! ” ทั้งสามได้โค้งคำนับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้าขอฝากเรื่องความปลอดภัยของเหล่าสาวกวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไว้กับพวกเจ้าด้วย” ซู่จิ้งได้พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ต้องห่วงท่านเจ้าอาวาส ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้เหล่าสาวกปลอดภัย”
“ในตอนนี้ข้าก็ตายอย่างสงบได้แล้ว”
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้จ้องมองซู่จิ้งอย่างเหยียดหยาม
กงเหวินเป็นผู้หัวเราะเยาะเย้ยก่อนที่จะพูดขึ้น “ซู่จิ้ง เจ้ายอมแพ้ก่อนที่จะมอบดอกแมกโนเลียสีดำและเสื้อคลุมวิถีเซนมาให้พวกเราจะดีกว่า นับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของวิหารแห่งความว่างเปล่า เหตุใดกันเจ้าถึงจะต้องดื้อรั้นขนาดนี้ด้วย? “
“เจ้ามันปีศาจร้าย! ” ซู่จิ้งได้พูดสาปแช่งออกมา
“เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างงั้นสินะ? “
“เจ้าน่ะมันชั่วช้ายิ่งกว่าปีศาจร้าย พวกเจ้าน่ะรังแกได้แม้กระทั่งผู้ที่ไร้ทางสู้” ซู่จิ้งหมดความอดทนอีกต่อไป การใช้เหตุผลกับคนพวกนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเขารู้สึกดีขึ้นเลย เพราะแบบนั้นซู่จิ้งจึงเริ่มใช้คำพูดเพื่อเปิดฉากโจมตีก่อน
ในท้ายที่สุดชื่อในนาม ‘ซู่’ นับว่ามีความผู้อาวุโสมากกว่าชื่อในนาม ‘กง’
แต่ถึงแบบนั้นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ไม่มีใครที่จะสนใจเรื่องความอาวุโสภายใต้ชื่ออีกต่อไป
กงเหวินหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้าคิดเอาไว้ตลอดว่าเวลา 3 วันนี้เจ้าจะคิดได้และยอมจำนนซะ ข้าน่ะแปลกใจจริงๆ ทำไมเจ้ายังถึงดื้อรั้นแบบนี้กัน! “
กงจือได้พูดออกมาอย่างห้วนๆ “ถ้าหากเป็นแบบนี้ก็ส่งเจ้านั่นไปตามทางซะเถอะ อย่าให้พวกเราต้องเสียความพยายามไปอย่างเปล่าประโยชน์เลย”
ซู่จิ้งกำลังโต้เถียงกลับไป แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ได้เดินออกไปด้านหน้าซะก่อน
“เจ้าต้องการดอกแมกโนเลียสีด้วยอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวเริ่มสักถามขึ้นมา
กงเหวินได้หันไปจ้องมองลู่โจว ในที่สุดตัวเขาก็สังเกตเห็นลู่โจวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้วย
ซู่จิ้งยืนอยู่ด้านข้าง เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ถ้าหากพวกเจ้าต้องการดอกแมกโนเลียสีดำ เห็นทีพวกเจ้าจะต้องจัดการกับศาลาปีศาจลอยฟ้าให้ได้ซะก่อน…”
กงเหวินได้จ้องไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ซู่จิ้ง เจ้าไปขอความช่วยเหลือมาอย่างงั้นสินะ? “
“อันที่จริงแล้วข้าไปมา…” ซู่จิ้งได้พูดต่อไป “กงเหวิน พวกเจ้าทั้งสี่จะไม่สามารถออกจากที่แห่งนี้ได้อีกต่อไป! “
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ก้าวไปด้านหน้า นักบวชอีก 20 คนเองก็เดินตามมาเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดได้ผสานฝ่ามือกัน ในตอนนั้นเองเสื้อคลุมของเหล่านักบวชก็เริ่มกระพือขึ้น
พลังลมปราณรอบตัวของเหล่านักบวชเริ่มพุ่งสูงขึ้น
“แสดงให้ข้าเห็นทีว่าคนแบบไหนกันที่จะช่วยเจ้าได้…” กงเหวินพูดขึ้น
กงเหวินได้ประเมินพวกเขาทั้งหมดแล้วมีชายชราคนหนึ่งที่สภาพทรุดโทรม, ชายหนุ่มอีก 2 คนที่ดูไม่เอาไหน, เด็กสาวและเหล่ากลุ่มผู้ฝึกยุทธที่ดูอ่อนแอ เมื่อเห็นแบบนั้นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ก็แทบที่จะลงไปกลิ้งพื้นพร้อมกับหัวเราะออกมา
ที่ซู่จิ้งทนต่อความเจ็บปวดมาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าทำได้ดีมากแล้ว ในขณะที่แบกรับบาดแผลเอาไว้ในตอนนี้ตัวเขาก็ไม่สามารถที่จะทนได้อีกต่อไป เขาได้ก้าวถอยกลับมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสจี เห็นทีข้าจะต้องทำให้ท่านต้องลำบากซะแล้ว”
ซู่เหลียว, ซู่ฝาน และซู่ไห่ต่างก็ตกตะลึง
“ข้าจะจัดให้อย่างสาสม! ” ลู่โจวได้พูดในขณะที่ลูบเคราอยู่ ลู่โจวได้ตั้งใจพูดออกมาให้เสียงดังกว่าปกติ เขาตั้งใจที่จะให้ซู่จิ้งและทั้งสี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำพูดของตัวเขา