My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 183
เหล่าสาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้ล่าถอยกลับไปอีกครั้ง
ซู่เหลียว, ซู่ฝาน และซู่ไห่ต่างก็เดินถอยกลับเช่นกัน
หมิงซี่หยินเข้าใจว่าแล้วว่าอาจารย์ของเขากำลังหมายถึงอะไร ตัวเขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ศิษย์จะเป็นผู้ทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าพวกนี้เอง…” หมิพร้อมเพรียงกันซี่หยินใช้ปลายเท้าของตัวเองแตะไปที่พื้นอย่างเบาๆ ในตอนนั้นเขาก็ได้กระโจนเข้าหานักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ทั้งๆ ที่ตัวของหมิงซี่หยินนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณ!
‘ฮืม? ‘ เมื่อนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เห็นหมิงซี่หยิน พวกเขาทั้งหมดก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้ต่างจากนักบวชคนอื่นๆ และเพราะแบบนั้นเหล่านักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป ในเวลาเดียวกันนั้นเองพวกเขาทั้งสี่ก็ได้ถอยห่างมากขึ้น
พลังลมปราณรอบตัวของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้เพิ่มสูงขึ้น พวกเขาทั้งหมดต่างก็ผลักฝ่ามือไปที่ด้านหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน!
พลังจากนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ปล่อยพลังออกมา พลังของหมิงซี่หยินก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้
หมิงซี่หยินได้ขมวดคิ้ว ตัวเขาได้ยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะผลักพลังของสี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์กลับไป “ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้”
นี่เป็นครั้งแรกที่หมิงซี่หยินจะต้องปะทะกับพลังลมปราณอันซับซ้อนแบบนี้ พลังลมปราณอันซับซ้อนเป็นพลังที่เกิดจากการโจมตีผสานอย่างพร้อมเพรียงกันของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
การผสานพลังลมปราณแบบนี้ไม่เหมือนกับการใช้บทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์โจมตี การจะผสานพลังลมปราณเพื่อโจมตีได้จะต้องให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ใช้วิธีเทคนิคนี้ฝึกฝนกันจนเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ซะก่อน เพียงแค่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ขยับฝ่ามืออย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งหมดก็สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีอันทรงพลังออกมาได้ การที่พวกเขาทั้งสี่คนสามารถคิดค้นเทคนิคโจมตีแบบนี้ได้โดยใช้แค่การขยับฝ่ามือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ
กงเหวินยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ …ดูเหมือนท่านจะไม่ใช่มดปลวกอย่างงั้นสินะ ท่านผู้เจริญทำไมท่านถึงต้องเข้าข้างเหล่าวายร้ายด้วยล่ะ? “
สี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์รู้สึกได้ถึงพลังวรยุทธที่หมิงซี่หยินมี พลังของเขาดูไม่ธรรมดาเลย
“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการเถียงกับพวกนักบวชหัวโล้นแบบเจ้านี่แหละ! ” หมิงซี่หยินที่พูดเสร็จก็ได้กระทืบเท้าลงบนพื้น
ตู๊ม!
รอยเท้าอันเฉียบคมได้ถูกทิ้งอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้า หมิงซี่หยินที่กระทืบเท้าเสร็จก็ได้กระโจนเข้าร่วมการต่อสู้อันดุเดือด
เหล่าสาวกนักบวชคนอื่นๆ ได้แต่ถอยกลับมา
แม้ว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้น แต่ถึงแบบนั้นนักบวชกว่า 20 คนจากวิหารแห่งความว่างเปล่ายังไม่ได้ขยับไปไหน พวกเขาทั้งหมดยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอฟังคำสั่งต่อไป
“เข้ามา! ” กงจือได้ขยับตัวจากมุมที่เคยยืนอยู่ก่อนที่จะซัดพลังฝ่ามือเข้าใส่หมิงซี่หยิน
นักบวชศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนที่เหลือเองก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนไหวกันได้อย่างสอดคล้องราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าหมิงซี่หยินจะเก่งกาจสักแค่ไหนตัวเขาก็มีมือเพียงคู่เดียวเท่านั้น ตัวเขาไม่อาจที่จะปัดป้องพลังโจมตีได้ทั้งหมด หมิงซี่หยินถูกพลังฝ่ามือฟาดไปที่ไหล่ และในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้กระเด็นถอยหลังกลับไป หมิงซี่หยินไม่อาจที่จะป้องกันตัวเองได้ทัน!
หมิงซี่หยินขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่พลังฝ่ามือที่ซัดเข้าใส่ตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไร กล้ามเนื้อและกระดูกภายในร่างกายส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก
ต้วนมู่เฉิงเองควงหอกราชันย์อยู่ก่อนแล้ว ตัวเขาดูอยากที่จะเข้าร่วมการต่อสู้นี้มาก
ต้วนมู่เฉิงได้พูดขึ้น “นักบวชทั้งสี่นี่อย่างงั้นหรอ? “
“อมิตาภพุทธ ทำไมท่านจึงจะต้องดื้อดึงทำสิ่งที่ผิดต่อไปด้วยท่านผู้เจริญ? ” กงเหวินได้ถามออกมาในขณะที่เหยียดฝ่ามือตรง
“เจ้าเองก็ดื้อรั้นไม่ต่างกันหรอก” หมิงซี่หยินได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง ตัวเขาได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนเหลือไว้แต่ภาพติดตา
เคียวพื้นพิภพได้ปรากฏขึ้นมาบนมือของหมิงซี่หยินกลางอากาศ ตัวเขาได้ใช้เคียวพื้นพิภพฟาดฟันไปที่กงเหวินอย่างรุนแรง
เหล่าผู้เฝ้ามองต่างก็มองเห็นเพียงแค่ภาพเงาที่ขยับเขยื้อนไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น เสียงของการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเสียงปะทะกันระหว่างของมีคมและพลังลมปราณนั่นเอง
กงเหวินไม่คาดคิดมาก่อนว่าหมิงซี่หยินจะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงและเกรี้ยวกราดขนาดนี้ ตัวเขาไม่สามารถที่จะยืนอยู่ที่เดิมได้อีกต่อไป กงเหวินเริ่มถอยหลังกลับไปเรื่อยๆ เพื่อรับมือจากการโจมตี เมื่อถอยไปไกลกว่าได้ระยะหนึ่งกงเหวินก็ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะพลิกตัวลงสู่พื้น
หมิงซี่หยินสามารถไล่ตามโจมตีได้ติดๆ แต่เมื่อไล่ตามเพื่อโจมตีต่อไปในตอนนั้นเองนักบวชศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ก็ได้รุมใช้ฝ่ามือโจมตีตัวเขา หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ล่าถอยกลับไป
“ช้าไป” พลังฝ่ามือของกงจือได้ห่อหุ้มไปด้วยพลังลมปราณ มันทรงพลังมากกว่าฝ่ามือครั้งก่อน
“ฝ่ามือแห่งความว่างเปล่า! “
นักบวชทั้งสามคนได้ดันฝ่ามือไปด้านหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
หมิงซี่หยินได้ใช้เคียวพื้นพิภพของเขาสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้
แคล๊ง!
ในตอนนั้นเองเสียงอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดก็ได้ลอยมาจากที่ด้านหลัง เสียงนั้นได้ลอยผ่านศีรษะของหมิงซี่หยินไป และเพราะแบบนั้นเองหมิงซี่หยินจึงเลือกที่จะถอยไปข้างหลังแทน
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ถอยกลับไปตั้งรับในรูปแบบเดิมอีกครั้ง ทุกๆ คนต่างก็ยืนอยู่ในมุมของตัวเองราวกับว่าไม่เคยที่จะขยับไปไหนมาก่อน
“ท่านผู้เจริญ อาตมาน่ะให้โอกาสท่านแล้วแต่ท่านก็ยังจะไม่ยอมรับฟัง ท่านน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับพวกเราหรอกนะ” กงเหวินได้พูดออกมาในขณะที่จ้องมองไปที่หมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินไม่ได้คาดหวังว่าตัวเขาจะสามารถเอาชนะนักบวชทั้งสี่อย่างพร้อมเพรียงกันได้ แม้ว่าตัวเขาจะมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างเคียวพื้นพิภพก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นการจะรับมือกับยอดฝีมือทั้งสี่พร้อมๆ กันก็คงเป็นอะไรที่ยากอยู่ดี
แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็พบว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไป แม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นถึงยอดฝีมือทั้งสี่แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับเห็นช่องว่างมากมายในการต่อสู้ หรือว่านี่จะเป็นกับดักกันแน่?
กงเหวินไม่ได้สนใจหมิงซี่หยินแต่อย่างใด ตัวเขาได้หันไปมองซู่จิ้งและลู่โจวที่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลัง
เมื่อเห็นซู่จิ้งมีท่าทีที่อ่อนแอไป กงเหวินก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ซู่จิ้ง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะป้องกันการโจมตีในครั้งนั้นไปได้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะทำร้ายเจ้าเข้าให้แล้ว ถ้าหากเจ้าไม่ดื้อรั้นตั้งแต่แรกเรื่องของพวกเราก็คงจะไม่เป็นแบบนี้”
ในตอนนั้นเองซู่จิ้งกำลังถูกเหล่านักบวชสาวกพยุงตัวอยู่ สภาพของเขาดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
กงเหวินหันไปดูลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส เจ้านั่นเสนออะไรให้กับท่านกันเพื่อแลกกับความช่วยเหลือครั้งนี้กัน? “
“อืม เจ้าอาวาสซู่จิ้งสัญญาว่าจะมอบดอกแมกโนเลียสีดำให้กับข้ารวมไปถึงเสื้อคลุมวิถีเซนอีกด้วย ข้อเสนอที่ดีแบบนี้ไหนเลยข้าจะปฏิเสธได้ลงคอ” ลู่โจวตอบความจริงกลับไป
“ดอกแมกโนเลียสีดำ? ” ดวงตาของกงเหวินเบิกกว้างขึ้นก่อนที่จะเหลือบไปมองซู่จิ้ง “ซู่จิ้ง เจ้าน่ะบ้าไปแล้วอย่างงั้นหรอ ถ้าหากเจ้าคิดที่จะมอบสมบัติล้ำค่าให้กับคนนอกจริง ทำไมเจ้าถึงไม่มอบมันให้กับข้ากัน? “
ซู่จิ้งได้สาปแช่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแรง “เจ้าน่ะมันปีศาจร้าย” ถึงแม้ว่าจะพูดออกมาเบาๆ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ซู่จิ้งสามารถทำได้มากที่สุดแล้ว
กงเหวินได้หันกลับมาหาลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ท่านน่ะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไหนเลยจะต้องแสวงหาสมบัติล้ำค่าแบบนั้นด้วย ให้ทางอาตมา ทางวิหารแห่งความว่างเปล่าเก็บสมบัติชิ้นนั้นเอาไว้เองไม่ดีกว่าหรอ? ทำไมท่านผู้อาวุโสไม่มอบให้กับพวกเรา พวกเราเองก็จะได้สมหวังไปด้วย? “
“แล้ววิหารแห่งความว่างเปล่าต้องการดอกแมกโนเลียสีดำไปเพื่ออะไรกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาตรงๆ
“ท่านเคยได้ยินเรื่องของปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าไหมท่านผู้อาวุโส? ” กงเหวินได้ถามออกมาอย่างหยิ่งผยอง
“ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกัน”
“สำนักหยุนไม่อยากให้ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ดอกแมกโนเลียนั่นไป ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เป็นเหมือนกับสำนักฝ่ายอธรรม เหล่าผู้ฝึกยุทธจากสำนักฝ่ายธรรมะมากมายหลายคนต้องการที่จะกำจัดศาลาปีศาจลอยฟ้าทิ้งซะ วิหารแห่งความว่างเปล่าเองจะไม่ยอมปล่อยให้ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนั้นได้ดอกแมกโนเลียนั่นไปหรอก! ” กงเหวินได้พูดขึ้น
“วิหารแห่งความว่างเปล่าของพวกเจ้าไม่เคยยุ่งเรื่องทางโลกมาโดยตลอด แล้วทำไมเจ้าจะต้องการสร้างศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอย่างไม่แยแส
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ใช้การตายของกงซุนเพื่อที่จะต่อต้านวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ พวกเขาไม่ยอมที่จะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชน ความจริงที่ว่ากงซุนได้ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าสังหารไป
“พระพุทธองค์ทรงเมตตา พวกอาตมามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะลงโทษศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ก่อกรรมทำเข็ญมาแล้วนับไม่ถ้วน” กงเหวินได้ตอบกลับไปอย่างชอบธรรม
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า “ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ข้าเองก็ต้องการดอกแมกโนเลียสีดำเช่นกัน”
สีหน้าของกงเหวินเริ่มแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น “ท่านผู้อาวุโส อาตมาจะให้โอกาสท่าน…ถ้าหากท่านคิดที่จะปฏิเสธอยู่แบบนี้ เห็นทีท่านก็คงจะต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมเดียวกันชาววิหารทางเลือกแห่งสวรรค์”
เหล่านักบวชทั้ง 20 คนจากวิหารแห่งความว่างเปล่าได้ผสานมือขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนนั้นเองเสียงที่ฟังดูน่ารำคาญที่คล้ายกับแมลงอันน่ารำคาญก็ได้ดังขึ้น
“นี่มันบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์สินะ? ” ภาพในตอนนี้ทำให้ลู่โจวอดคิดถึงภาพบนแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย
แต่ถึงจะฟังดูคล้ายกันแต่บทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ที่ถูกปล่อยออกมาจากนักบวชทั้ง 20 คนดูทรงพลังกว่าในตอนที่เผชิญหน้ากับกงซุนอย่างชัดเจน
พลังอันลึกลับได้ทำให้ท้องฟ้าปั่นป่วน เสียงอันดังกึกก้องที่ฟังคล้ายกับเสียงของแมลงได้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงสวดพระสูตรได้ดังไปทั่วทั้งโถงแห่งพลัง
พลังวรยุทธของนักบวชวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไม่ได้ลึกล้ำตั้งแต่แรก นักบวชส่วนมากมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เหล่าสาวกนักบวชทั้งหลายคงจะไม่สามารถต้านทานพลังบทสวดนี้ได้อย่างแน่นอน
ลู่โจวยังคงยืนนิ่ง ตัวเขาไม่ได้สะทกสะท้านต่อเสียงบทสวดเลยแม้แต่น้อย ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะพลังพิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง
จ้าวยู่และผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ ต่างก็ถอยกลับไปยังห้องโถงแห่งพลัง จ้าวยู่ได้ปลดปล่อยพลังออกมาจากฝ่ามือของตัวเอง พลังของเธอที่รวมเข้ากับพลังของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงสามารถสร้างม่านพลังป้องกันขึ้นมาได้
ต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะแบบนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก
เหล่าสาวกนักบวชของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้แต่คุกเข่าลงก่อนที่จะเอามือกุมหัวของตัวเองเอาไว้
ซู่เหลียว, ซู่ฝาน และซู่ไห่แทบที่จะยืนต่อไปอีกไม่ไหว สีหน้าของพวกเขากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่
ต้วนมู่เฉิงรู้สึกรำคาญเมื่อต้องได้ยินเสียงสวด เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ต้วนมู่เฉิงได้กระแทกหอกราชันย์ลงบนพื้นก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “ช่างเป็นนักบวชหัวโล้นที่น่ารำคาญซะจริง! ” ต้วนมู่เฉิงที่พูดเสร็จก็ได้เดินพลังของตัวเองไปที่หอกราชันย์ก่อนที่จะปลดปล่อยพลังนั้นออกไป
ต้วนมู่เฉิงได้ตั้งตัวตรงก่อนที่จะใช้มือข้างเดียวที่ถือหอกราชันย์อยู่แทงไปที่นักบวชทั้งหลายที่กำลังสวดพระสูตรอยู่
“เปล่าประโยชน์! ” สี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มออกเคลื่อนไหว พวกเขาทั้งหมดใช้ฝ่ามือของตัวเองกลางม่านพลังขึ้นมา พลังจากฝ่ามือของพวกเขาทั้งหมดได้หลอมรวมกันจนกลายเป็นม่านพลังขนาดใหญ่ก่อนที่จะป้องกันการโจมตีทั้งหมดของหอกราชันย์เอาไว้
หอกราชันย์ที่ถูกหยุดไม่ได้หมดฤทธิ์อยู่แค่นั้น หอกราชันย์ได้แยกตัวออกเป็นสิบเล่มก่อนที่จะทำลายม่านพลังไป
“หืม? “
‘เกิดอะไรขึ้น? ‘
‘ทำไมพวกเราป้องกันการโจมตีไม่ได้กัน? ‘
การประลองฝีมือของต้วนมู่เฉิงกับฮั๊ววู่เด๋าไม่ใช่อะไรที่เปล่าประโยชน์เลย แม้ว่าทักษะที่ต้วนมู่เฉิงพัฒนาขึ้นมานี้จะไม่สามารถทำลายพลังผนึกตราประทับทั้งหกได้ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่กับม่านพลังป้องกันของสี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์!
หมิงซี่หยินเองรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่นานหลังจากที่ถูกโจมตีกลับมา เมื่อเห็นว่าต้วนมู่เฉิงรุดหน้าไปไกลแล้วหมิงซี่หยินก็ได้ยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้น “อย่าลืมข้าซะล่ะเจ้าพวกนักบวช…”