My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 188
ร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่กำลังถูกร่างอวตารสัตตะดวงดาวแห่งวิญญาณเข้าแทนที่
ในเวลาเดียวกันนั้นลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงพลังพิเศษได้ พลังนั้นกำลังเอ่อล้นออกมาจากเส้นพลังลมปราณทั้งแปด
สำหรับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครู การที่จะพัฒนาวรยุทธของตัวเองไปให้ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้จะต้องพึ่งพาทั้งการควบคุมอารมณ์ การพัฒนาทั้งร่างกายแล้วก็จิตใจ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนนั้นสามารถควบคุมทุกอย่างได้จริง คนคนนั้นก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ไป
โดยปกติแล้วการที่สำนักใดสำนักหนึ่งจะมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ คนคนนั้นมักจะเป็นเพียงคนเดียวจากศิษย์สาวกกว่า 100 คนด้วยกัน ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์จะเรียนรู้จักวิธีการควบคุมตนรวมไปถึงวิธีการฝึกตนที่แท้จริงต่อไป ในเวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็จะเข้าสู่โลกของการฝึกยุทธที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกยุทธศักดิ์สิทธิ์จะมีทั้งพลังรวมไปถึงการควบคุมตัวเองที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูในทุกๆ ด้าน
ในตอนที่พลังของลู่โจวเพิ่มสูงขึ้น ในตอนนั้นเองพลังงานบางส่วนก็ได้หลุดรอดออกมาจากห้องลับก่อนที่จะเข้าสู่ห้องโถงใหญ่และกระจายออกไปโดยรอบ
เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายต่างก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังที่กำลังหลุดรอดมาจากห้องโถงใหญ่
ซู่ฮ่องกงที่สัมผัสถึงพลังได้แต่ถามออกมาอย่างสงสัย “ศิษย์พี่ มีใครบางคนกำลังเดินพลังลมปราณขั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่ใช่หรอ? “
หมิงซี่หยินเคยชินกับเรื่องนี้ไปซะแล้ว “ไม่จำเป็นจะต้องตื่นตระหนกไปหรอก ท่านอาจารย์ก็ทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ”
ซู่ฮ่องกงได้แต่เกาหัวอย่างงุนงง ตัวเขานึกถึงภาพที่เคยได้เห็นในวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะสงสัยถึงวิธีการฝึกฝนและพลังวรยุทธที่ผู้เป็นอาจารย์มี อาจารย์ของเขาสามารถใช้พลังพุทธองค์ทองคำเพื่อป้องกันพลังฝ่ามือได้ อีกทั้งยังสามารถใช้สุดยอดพลังฝ่ามือไร้ปรานีได้อีกด้วย แม้ว่านักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะผสานพลังกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่อาจที่จะต้านพลังของผู้เป็นอาจารย์ได้ จากสถานการณ์ทั้งหมดที่ได้เห็นทำให้ซู่ฮ่องกงไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรกับผู้ที่เป็นอาจารย์คนนี้ได้อีก
“ศิษย์พี่สี่ ท่านอาจารย์มอบอาวุธให้กับท่านเมื่อไหร่กัน? ” ซู่ฮ่องกงได้ถามออกมาอย่างสงสัย
หมิงซี่หยินยกแขนขวาขึ้นมา ในตอนนั้นเองเคียวพื้นพิภพของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะเริ่มหมุนตัวเอง
ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความอิจฉา “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าข้าจะได้เป็นเจ้าของอาวุธดีๆ กับเขาเมื่อไหร่”
“เจ้าก็มีเสื้อคลุมวิถีเซนไม่ใช่หรอไงกัน? ว่าแต่ยังไงก็ตามเถอะศิษย์ต้องแปด” หมิงซี่หยินได้เดินมาก่อนที่จะเอามือตบไปทางด้านหลังของซู่ฮ่องกง
“อะไรงั้นหรอศิษย์พี่”
“ประลองกับข้าซะ”
“ฮะ? ศิษย์พี่สี่ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องล้อเล่นแบบนี้เลย ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ไหนเลยข้าจะไม่สู้กับท่านผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้…โอ๊ย ศิษย์พี่…โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย…”
…
ภายในห้องลับของศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากที่ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปจนถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ลู่โจวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้ว่าพลังทุกอย่างจะเพิ่มขึ้นแต่มันก็ยังไม่เพิ่มถึงเท่าเดิม เดิมทีร่างของจีเทียนเด๋ามีพลังมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว แต่เพราะอายุขัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกที และเพราะแบบนั้นเองทำให้ลู่โจวถึงได้มีพลังเพียงเท่านี้ ในตอนนี้ตัวเขาจะต้องเร่งพัฒนาพลังวรยุทธที่มีควบคู่ไปกับการเพิ่มอายุขัยของตัวเอง
“เหลืออีก 5,955 วันอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้เปิดหน้าร้านค้าขึ้นมาก่อนที่จะซื้อการ์ดพลังชีวิต “ใช้งานการ์ดพลังชีวิต”
เมื่ออายุขัยของลู่โจวเพิ่มมาอีกครั้ง ตัวเขาก็มีอายุขัยที่มีอยู่ในระบบเป็น 6,255 วัน ในตอนนี้เท่ากับว่าลู่โจวจีมีอายุขัยเหลือทั้งหมด 17 ปีด้วยกัน
ลู่โจได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเหยียดทั้งแขนและขา ในตอนนี้ตัวเขาไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอะไร สำหรับคนที่มีชีวิตยืนยาวกว่าพันปีการที่อายุขัยจะเพิ่มมาสัก 1 ปีก็คงจะไม่ได้แตกต่างอะไร
ในที่สุดลู่โจวก็เข้าใจ ที่ตอนแรกระบบใจดีกับตัวเขาเป็นเพราะลู่โจวเพิ่งจะมายังโลกแห่งนี้ เมื่อเวลาผ่านไปทั้งประสบการณ์และพลังวรยุทธที่ตัวเขามีก็จะเพิ่มสูงขึ้น แน่นอนว่าการที่จะได้ของดีจากระบบที่เป็นเหมือนกับตอนแรกจึงยากขึ้นตามไปด้วย
‘เศษเสี้ยวฟากฟ้า? ของชิ้นนี้ไม่ใช่ขยะที่จีเทียนเด๋าเคยทิ้งไปก่อนหน้านี้หรอกหรอ? ‘ ลู่โจวได้นึกถึงตอนที่ซู่เหลียวพยายามที่จะโจมตีตัวเขาด้วยเศษเสี้ยวจากฟากฟ้า
เศษเสี้ยวฟากฟ้าเป็นชิ้นส่วนของอาวุธชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแหลมคมเป็นอย่างมาก แม้แต่เศษเสี้ยวเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นก็สามารถเจาะทะลุผ่านม่านพลังป้องกันได้ เพราะแบบนั้นมันจึงเหมาะที่จะเป็นอาวุธสำหรับการสังหารยอดฝีมือนั่นเอง ลู่โจวเพิ่งจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้จากความทรงจำที่จีเทียนเด๋าเคยมี
แต่ถึงจะพยายามนึกมากสักแค่ไหนความทรงจำของตัวเขาก็เลือนรางเกินไปอยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมันดูล้วนว่างเปล่า จีเทียนเด๋าเคยได้รับเศษเสี้ยวทั้ง 8 ชิ้นมาด้วยวิธีการอันลึกลับ หลังจากที่พบว่าเศษเสี้ยวทั้งหมดไม่ได้มีค่าอะไรตัวเขาก็ได้โยนเศษเสี้ยวทั้งหมดทิ้งไปราวกับขยะไร้ค่า
แต่ในมุมของคนนอกต่างก็มองของสิ่งนี้เป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่า ของที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีมักจะเป็นของที่เป็นสมบัติล้ำค่าอยู่เสมอๆ ไม่แปลกที่คนนอกจะมองเจ้าของสิ่งนี้ว่าเป็นอาวุธล้ำค่า
ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเศษเสี้ยวฟากฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ มันมีลักษณะยาวและมีรูปร่างที่ดูผิด ขอบของมันดูแหลมคม ถ้าหากจะมองว่ามันคล้ายกับเศษแจกันที่แตกหักก็คงจะไม่ใช่อะไรที่พูดเกินจริงเลย
ลู่โจวได้ใช้พลังลมปราณที่มีเพื่อตรวจสอบระดับของเศษเสี้ยวฟากฟ้าชิ้นนี้
“นี่มันไม่ใช่สมบัติระดับโลกด้วยซ้ำไป…” ถ้าหากตัดสินจากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว ลู่โจวก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจีเทียนเด๋าถึงได้โยนเจ้าของสิ่งนี้ทิ้งไปเมื่อหลายปีก่อน
หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็สังเกตเห็นภารกิจใหม่ ภารกิจเก็บรวบรวมเศษเสี้ยวจากฟากฟ้าทั้งหมด (1/8)
ใบหน้าของลู่โจวเปลี่ยนไปเป็นสิ้นหวัง การจะหาเศษเสี้ยวจากฟากฟ้าที่เหลืออีก 7 ชิ้นก็ไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร
‘แล้วฉันจะไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ยังไงกัน? ‘ ลู่โจวได้แต่ส่ายหัวตัวเอง ตัวเขาได้สาปแช่งระบบอยู่ภายในใจก่อนที่จะปิดมันไปอย่างไม่ไยดี
เมื่อออกจากห้องลับไป ลู่โจวก็สังเกตเห็นจ้าวยู่ที่กำลังรีบตรงมาหาเขา
จ้าวยู่ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดอย่างเร่งรีบ “ท่านอาจารย์…ศิษย์น้องเล็ก! นาง…”
“นางสร้างปัญหาอีกแล้วอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามออกไปในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่ เขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้ารังแกหยวนเอ๋อ ศิษย์จากศาลาปีศาจลอยฟ้าได้
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ศิษย์น้องเล็กได้กินดอกแมกโนเลียสีดำทั้งสองดอกไปในคราวเดียว! ตอนนี้นางก็เลยดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ค่ะ”
“…”
“ถ้าหากศิษย์น้องยี่ยังคงใช้พลังของนางได้ พลังของนางจากเคล็ดวิชาคลื่นสีครามจะสามารถทำให้สมุนไพรอย่างดอกแมกโนเลียสีดำใช้ได้ง่ายกว่านี้แน่…” จ้าวยู่ได้พูดขึ้น
ลู่โจวขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้ไม่คิดจะให้ข้าได้พักผ่อนเลยอย่างงั้นสินะ” ลู่โจวประเมินความกระตือรือร้นที่หยวนเอ๋อมีพลาดไป แม้ว่าหยวนเอ๋อจะดูเกียจคร้านในบางเวลาแต่ถึงแบบนั้นเธอก็เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ
หลังจากที่หยวนเอ๋อได้รับดอกแมกโนเลียสีดำมา เธอก็รีบกลับไปยังศาลาทางทิศใต้ก่อนที่จะกินดอกแมกโนเลยทั้งสองดอกไปในคราวเดียว ปัญหาที่จ้าวยู่บอกมีเพียงอย่างเดียว ดอกแมกโนเลียสีดำเป็นสมุนไพรที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ การที่จะกินดอกแมกโนเลียสีดำผู้ที่ต้องการกินควรจะแบ่งกินมันทีละน้อยในหลายๆ มื้อ การจะกินดอกแมกโนเลียสีดำมันก็เหมือนกับการดื่มไวน์ ผู้ที่ต้องการจะดื่มไวน์จะต้องค่อยๆ จิบไวน์ไปทีละนิดเพื่อดื่มด่ำกับรสชาติของมัน การที่ดื่มไวไปมักจะทำให้ผู้ที่ดื่มไม่ได้อะไรนอกจากความเมา หยวนเอ๋อที่กินดอกแมกโนเลียทั้งหมดไปในคราวเดียวอาจจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาก็เป็นได้!
…
ในขณะเดียวกันที่ศาลาทางทิศใต้
ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, ซู่ฮ่องกง และคนอื่นๆ ต่างก็กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่โจวจี้เฟิง, ฝานซง หรือแม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ได้มารออย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮั๊ววู่เด๋าที่รออยู่นานได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ดอกแมกโนเลียสีดำให้ผลที่แสนน่ากลัว…แต่ข้าคิดว่าหยวนเอ๋อเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มากพอ ข้าเชื่อว่านางจะต้องผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนี้ไปได้แน่”
“ผู้อาวุโสฮั๊วพูดถูกแล้ว…แต่ถึงแบบนั้นแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย แต่โอกาสนั้นมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ พวกเราควรจะคิดหาวิธีระงับผลของดอกแมกโนเลียสีดำให้กับศิษย์น้องเล็กเอาไว้ นางยังเด็กมากนัก หยวนเอ๋อยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ความยากลำบากมามากนักในชีวิต ข้ากังวลว่านางอาจจะเอาตัวเองไม่รอดเพราะมีความมุ่งมั่นไม่มากพอ” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น
“แล้วพวกเราควรจะทำยังไงกัน? ” ต้วนมู่เฉิงได้คว้าไหล่ของหมิงซี่หยินเอาไว้
“ศิษย์พี่…ไม่จำเป็นจะต้องคว้าตัวข้าแบบนั้นหรอก ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน? ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างไร้เดียงสา
“ข้าพอจะรู้อยู่…” ยี่เทียนซินได้เดินทางมาด้วยเช่นกัน เธอในตอนนี้ให้ผู้ฝึกยุทธหญิงอีก 2 คนพยุงตัวเอาไว้
“เจ้ารู้วิธีอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินได้ถามอย่างร้อนใจ
“พลังคลื่นสีครามของข้าสามารถลดทอนพลังของสมุนไพรนั้นได้…” ยี่เทียนซินพูดขึ้น
จากชื่อของเคล็ดวิชาที่ยี่เทียนซินใช้ คลื่นสีครามเป็นพลังที่มีต้นกำเนิดมาจากน้ำ น้ำถือเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง
“แต่พลังวรยุทธที่เจ้ามียังไม่ฟื้นฟูตัวเอง…ถ้าหากเจ้าฝืนเดินพลังในตอนนี้ เจ้าจะฟื้นฟูพลังวรยุทธของตัวเองต่อไปได้อย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกไป
ยี่เทียนซินได้ถามกลับไป “แล้วท่านมีทางอื่นอย่างงั้นหรอ? “
ไม่มีใครตอบกลับไป
ทุกๆ คนได้แต่หลีกทางให้กับยี่เทียนซิน เธอได้เปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสต่ออะไร ก่อนที่จะเดินเข้าห้องไปยี่เทียนซินก็ได้หันกลับมาหาทุกคน “อย่าลืมซะล่ะ นางเองก็เป็นศิษย์น้องของข้าเช่นกัน”
ยี่เทียนซินที่เข้าไปในห้องก็ได้ปิดประตู
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา พวกเขาทั้งหมดได้แต่เดินอยู่หน้าห้องอย่างร้อนใจ
“ทำไมท่านอาจารย์ถึงยังไม่มาอีกล่ะ? ” หมิงซี่หยินรู้สึกเป็นกังวลในขณะที่มองไปรอบๆ ตัว
ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ไม่ต้องกังวลไปศิษย์พี่ ศิษย์พี่ห้าได้ไปแจ้งเรื่องนี้กับท่านอาจารย์แล้ว ท่านอาจารย์น่ะอายุมากแล้ว การที่ขาของท่านจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา”