My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 203
ยู่เฉิงไห่ได้หันกลับมาก่อนที่จะเดินไปยังสุดขอบของรถม้าลอยฟ้า ตัวเขาได้จ้องมองไปยังหุบเขาผิงตูที่อยู่สุดสายตา
เมื่อพวกเขาเห็นผู้เป็นเจ้าสำนักเงียบลง สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับจีเทียนเด๋าอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดีว่าเจ้าสำนักคนนี้เป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า และผู้เป็นเจ้าสำนักเองมีพลังที่ไม่อาจที่จะหยั่งรู้ได้ ถ้าหากพวกเขาทุกคนไม่ได้ถูกส่งไปยังเมืองอันยางก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสพูดถึงเรื่องศาลาปีศาจลอยฟ้ากับผู้เป็นเจ้าสำนักแน่
ฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้านึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ ในตอนนั้นเองตัวเขาจึงตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโสฝากข้อความอะไรบางอย่างมาให้คุณด้วย…”
“มันคืออะไรกัน? “
“ถ้าหากท่านรู้สึกผิด ท่านก็ควรที่จะมาขอโทษเป็นการส่วนตัว” ฮั๊วจงหยางได้พูดคำพูดที่ตัวเขาได้รับฝากมา ในขณะเดียวกันนั้นเองหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น ตัวเขาไม่แน่ใจเลยว่ายู่เฉิงไห่จะโกรธไหมเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
สีหน้าของยู่เฉิงไห่ไม่ได้เปลี่ยนไป มันยังคงดูสงบและเยือกเย็นเช่นเคย “จะให้ข้าไปยอมแพ้กับอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน? “
“พวกเราจะติดตามท่านไปจนตายเอง! ” สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ยู่เฉิงไห่ได้แต่พยักหน้าด้วยความตกใจ “พวกเจ้ารู้ไหมว่าใครกันแอบอ้างเป็นพวกเราชาวสำนักอเวจี? “
ฮั๊วจงหยางได้ตอบกลับมา “เจ้าพวกนั้นอยู่ที่เมืองอันยางในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น รถม้าลอยฟ้าที่พวกเขามีเองก็ดูคล้ายกับพวกเรามาก นอกเหนือจากยอดฝีมือที่อยู่ในรถม้า คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธไร้พลัง”
ไปยู่ชิงได้พูดขึ้นต่อ “แต่เจ้าตัวปลอมนั่นมีทักษะในการเลียนแบบกระบวนท่าของท่าน เจ้าตัวปลอมสามารถใช้แสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดที่ดูคล้ายกับของท่านได้ ท่านเจ้าสำนัก…ในตอนที่พวกเราไปถึง เจ้านั่นก็กำลังใช้เวทมนตร์คาถาอีกด้วย บางทีเจ้าตัวปลอมอาจจะเป็นผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาที่ทรงพลังก็เป็นได้”
ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา “ใช่ม่อหลี่ จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์รึเปล่า? “
“เป็นความจริงที่ม่อหลี่จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์จะเก่งกาจกว่าเจ้าสำนักคนอื่นๆ ก็ตาม…แต่ถึงแบบนั้นเจ้านั่นก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทมนตร์คาถา ข้าได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาที่ทรงพลังคนหนึ่งอาศัยอยู่ในพระราชสำนัก” ฮั๊งจงหยางได้พูดออกมา
“มีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง…” ไปยู่ชิงพูด “ม่อหลี่จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์อาจจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับทางพระราชสำนักก็เป็นได้ บางทีที่รถม้าลอยฟ้านั่นอาจจะมียอดฝีมืออยู่ในนั้นมากกว่าหนึ่งคนด้วยกัน! “
การคาดเดานี้มีเป็นเหตุเป็นผลเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นจะอาศัยเพียงแค่การคาดเดาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าหากพวกเขาคำนวณผิดพลาดแม้แต่เพียงเล็กน้อย มันอาจจะส่งผลต่อแผนการของสำนักอเวจีก็เป็นได้
สำนักอเวจีได้วางแผนทีละขั้นอย่างรอบคอบเพื่อที่จะไปถึงจุดหมายให้ได้ พวกเขาได้เลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก่อนที่จะยิ่งใหญ่เหมือนกับในปัจจุบันได้ การที่จะมาผิดพลาดให้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนล้มเหลวไปแบบนี้เป็นเรื่องที่ยู่เฉิงไห่จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ฮั๊วจงหยางได้พูดเสนอขึ้น “ท่านเจ้าสำนักให้เวลาข้าสามวัน ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ให้กับท่านเอง”
“ดีมาก” หลังจากพูดจบยู่เฉิงไห่ก็ได้หันไปมองแทบหุบเขาที่เป็นทิศทางที่จะนำไปสู่เจดีย์ลอยฟ้า ถ้าหากฮั๊วจงหยางไม่ได้พูดอะไรเกินจริงไป แต่ละชั้นของเจดีย์ลอยฟ้าจะมีรูปแบบการป้องกันเป็นของตัวเองอยู่ การที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายหวังที่จะครอบครองสมบัติไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
…
เจดีย์ลอยฟ้าที่มีคนพูดถึงไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองอันยาง มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอันยาง มันเป็นสรวงสวรรค์สำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ใกล้กับหุบเขาเก้าท่วงทำนอง ที่แห่งนั้นไม่ได้รับการปกป้องจากเมืองไหน วิวทิวทัศน์ของเจดีลอยฟ้าที่อยู่ใกล้กับหุบเขาเก้าท่วงทำนองเป็นอะไรที่น่าหลงใหลมาก มันเป็นเหมือนกับสรวงสวรรค์อันแสนสงบสุขสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อน
เมื่อลู่โจวและสาวกทั้งสามใกล้ที่จะถึงเจดีย์ลอยฟ้า ในตอนนั้นเองอากาศที่อยู่รอบตัวของพวกเขาก็ผันผวนเร็วมากยิ่งขึ้น ทุกๆ คนต่างก็สนใจวิวทิวทัศน์ที่อยู่รอบข้าง ทั้งภูเขา, ป่าไม้ รวมไปถึงแม่น้ำที่เงียบสงบ…ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแมลง, ปลา รวมไปถึงนกนานาชนิด
หมิงซี่หยินถามออกมาด้วยความสับสน “เจ้าเจียงอาเฉียนพยายามที่จะถ่วงเวลาพวกเรารึเปล่า? “
ต้วนมู่เฉิงได้พูดตอบกลับมา “เจ้าคิดว่าเจ้านั่นจะกล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? “
หมิงซี่หยินได้พยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “เจียงอาเฉียนเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะไม่ใช่พวกทำอะไรโง่ๆ แน่ เจดีย์ลอยฟ้าเป็นสถานที่อันน่าแปลกตา…ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็ควรจะระวังตัวเองเอาไว้” ในขณะเดียวกันหมิงซี่หยินก็ได้ใช้ความคิดต่อไป ‘ยังไงซะท่านอาจารย์ก็อยู่ที่นี่ด้วย มีอะไรที่จะต้องกลัวกัน? ‘
“ดูนั่นสิ นั่นมันเจดีย์ลอยฟ้า! “
เจดีย์ลอยฟ้าตั้งอยู่สูงตระหง่านเด่นชัดในสายตาของเหล่าสาวกทั้งหมด
“ตามที่คาดเอาไว้ เจดีย์ลอยฟ้าสูงมากจริงๆ ด้วยสินะ” หมิงซี่หยินไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เมื่อตัวเขาเหลือบมองไปที่เจดีย์ลอยฟ้า หมิงซี่กยินก็รู้ถึงความสูงของมันได้ดี
ลู่โจวเองเคยมาที่นี่หลายครั้งจากความทรงจำ แม้ว่าจะเคยมาหลายครั้งแล้วแต่ความทรงจำที่จีเทียนเด๋ามีก็ยังดูพร่ามัวไม่ชัดเจนอยู่ดี
หมิงซี่หยินได้เหลือบมองไปที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างสับสน พวกเขาทั้งหมดได้บินมาถึงที่เจดีย์ลอยฟ้าด้วยความเร็วที่เชื่องช้ามาก ความเร็วระดับนี้มันไม่เหมาะสมเลยกับผู้ที่มีพลังวรยุทธถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรผู้เป็นอาจารย์อยู่ดี ตัวเขาได้แต่คิดว่าด้วยอายุที่มากขึ้นของท่านอาจารย์คนนี้ การที่จะเดินทางด้วยความเร็วที่ไม่หวือหวาอะไรคงจะเป็นอะไรที่สะดวกสบายกับร่างกายมากกว่า ยังไงซะท่านอาจารย์คนนี้ของพวกเขาก็สามารถล่วงหน้ามาก่อนได้ถ้าหากเลือกที่จะขี่สัตว์ขี่ในตำนานอย่างวิซซาร์ด
ในตอนนั้นเองมีใครบางคนพุ่งเข้ามา ชายคนนั้นได้จับกิ่งไม้ที่อยู่เหนือพวกเขาเอาไว้
เสียงหัวเราะเบาๆ ได้ดังขึ้น “เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอกับทุกท่านแบบนี้ ข้าคิดถึงพวกท่านมาจริงๆ เจียงอาเฉียน ชายผู้ทั้งสง่างามและหล่อเหลาพร้อมที่จะรับใช้ทุกท่านแล้ว”
เจียงอาเฉียนได้ถือดาบของเขาเอาไว้ก่อนที่จะยืดร่างกายด้วยท่าทางที่เกียจคร้าน
ลู่โจวได้เหลือบมองเขาอย่างใจเย็น ตัวเขาในตอนนี้ยังคงเอามือไขว้หลังเช่นเดิม “ความอดทนของข้าเองก็มีจำกัดเหมือนกันนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทั้งตัวของเจียงอาเฉียนก็ได้สั่นไปทั้งตัว “เอาล่ะ ข้าจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้ เห็นไหม? ข้าน่ะเชื่อฟังพวกท่านจริงๆ ” เจียงอาเฉียนได้กระโดดลงไปก่อนที่จะไปยังศาลาที่อยู่ใกล้ที่สุด “ท่านผู้อาวุโสพวกเราจะ? “
ทุกคนได้เดินตรงไปยังศาลาแห่งหนึ่ง เจียงอาเฉียนในตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการใช้แขนเสื้อเช็ดม้านั่งทั้งหมดไป “เชิญนั่งก่อนเถอะ ท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย ตัวเขาได้นั่งลงในทันที
ในตอนแรกเจียงอาเฉียนตั้งใจที่จะนั่งตรงข้ามลู่โจว แต่เมื่อตัวเขาเห็นสายตาของลู่โจว เจียงอาเฉียนก็เลือกที่จะยืนเคียงข้างแทน ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะพิงด้วยซ้ำไป เสาทั้งหมดล้วนแต่ถูกหมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อจับจองไปหมดแล้ว
ลู่โจวที่เห็นวิวทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ดวงตาของเขาได้เหลือบมองเจียงอาเฉียนอยู่
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นยังไม่หยุดสั่น “ท่านผู้อาวุโส…ได้โปรดหยุดใช้สายตาแบบนี้จ้องมองข้าสักทีเถอะ ข้าเองก็รู้สึกผิดเป็นเหมือนกัน”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “พูดในสิ่งที่เจ้าต้องการมาซะ”
เจียงอาเฉียนได้ทิ้งท่าทีทั้งหมดก่อนหน้านี้ไปก่อนที่จะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อที่จะนั่งตรงหน้าของลู่โจว “เรื่องแรกข้าอยากที่จะขอบคุณที่ช่วยหลี่จิงยี่ให้กับข้า ท่านผู้อาวุโส”
“หลี่จิงยี่เป็นผู้หญิงของเจ้าอย่างงั้นหรอ? “
“นางเป็นเพื่อนของข้าเอง”
“แล้ว…เจ้ามีแผนจะตอบแทนเรื่องนี้ยังไงกันล่ะ? ” ลู่โจวได้หรี่ตาลงเพื่อที่จับจ้องไปที่เจียงอาเฉียนราวกับว่าตัวเขาเป็นเพียงแค่เหยื่อ
เจียงอาเฉียนได้แต่กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ตัวเขาได้สั่นไปทั้งตัว หลังจากนั้นเขาได้หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะ
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องที่กล่องใบนั้น
วันนี้ช่างเป็นวันที่แสนประหลาด ทุกๆ คนต่างก็มอบกล่องให้แก่กันและกัน
กล่องของเจียงอาเฉียนนั้นดูสวยงามเกินกว่าสิ่งไหน “เชิญท่านผู้อาวุโสเปิดเถอะ”
ลู่โจวได้โบกแขนก่อนที่จะเปิดกล่องขึ้นมา “เศษเสี้ยวฟากฟ้า” ของที่อยู่ภายในกล่องเป็นของที่ลู่โจวกำลังตามหาอยู่ มันคือหนึ่งในเศษเสี้ยวฟากฟ้านั่นเอง ชิ้นส่วนชิ้นนี้มันดูโค้งงอและดูสะบักสะบอมกว่าชิ้นที่ตัวเขาได้ครอบครองมาก
ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่เมนูภารกิจที่อยู่ในระบบ ค้นหาเศษเสี้ยวจากฟากฟ้า (2/8) …
เมื่อหมิงซี่หยิน ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อเห็นเศษเสี้ยวฟากฟ้า ทั้งหมดต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเจียงอาเฉียนจะมีความสามารถที่เหนือความคาดหมาย
“นี่คือของที่ข้าได้มาจากโกดังเก็บของจากพระราชวัง ในตอนที่ข้าไปเยือนที่นั่นครั้งแรกข้าได้พบกับเศษเสี้ยวฟากฟ้าชิ้นนี้ถูกทิ้งเอาไว้ ในตอนแรกข้าไม่ได้คิดว่ามันจะวิเศษอะไร แต่เมื่อได้ยินมาว่าท่านกำลังมองหาของสิ่งนี้อยู่ ข้าก็เลยกลับไปที่โกดังเพื่อที่จะหยิบเศษเสี้ยวชิ้นนี้มาให้กับท่าน แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวอยู่ดี แม้ว่าจะเป็นแค่เศษเสี้ยวแต่มันก็สามารถใช้เป็นอาวุธได้อย่างง่ายดาย มันมีพลังในการเจาะทำลายม่านพลังป้องกันและยังทำร้ายศัตรูในยามที่คับขันได้อีกด้วย” เจียงอาเฉียนได้พูดขึ้น
ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะเก็บเศษเสี้ยวฟากฟ้าไป “ติ้ง! ได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้า ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 100 “
การที่พบของชิ้นนี้อยู่ที่โกดังของทางพระราชสำนักได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ
‘นี่เป็นลาภลอยสินะ หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงเองได้สังหารกบฏทั้งหมดที่เมืองอันยางไป เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงได้แต้มบุญมาด้วย ในตอนนี้ตัวเขาได้แต้มบุญมากว่า 1,900 แต้มแล้ว’
ลู่โจวได้ถามออกมา “แล้วเยี่ยนซานอยู่ที่เจดีย์ลอยฟ้ารึเปล่า? “
เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม “เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกับท่าน…ทุกๆ คนต่างก็บอกว่าศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างสีวู่หยาได้ทิ้งสมบัติชิ้นหนึ่งเอาไว้ที่เจดีย์ลอยฟ้า สมบัติชิ้นนั้นนั่นก็คือถุงมือไหมยักษ์ ถุงมือไหมยักษ์เป็นของที่เยี่ยนซานชื่นชอบมากกว่าสิ่งไหน เดิมทีของชิ้นนี้ตกอยู่ในมือของสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่ว เยี่ยนซานมักจะภาคภูมิใจในความสามารถหัวขโมยของเขามาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเขากลับขโมยของชิ้นนี้มาไม่ได้ เมื่อวันเวลาผ่านไปของชิ้นนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ของชิ้นนี้ตกอยู่ในมือของสีวู่หยานั่นเอง ท่านผู้อาวุโส…ท่านไม่ใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะ?
ลู่โจวไม่ได้ปฏิเสธ ตัวเขาได้พยักหน้าให้อย่างตรงไปตรงมา
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่เกาหัว ตัวเขาพูดอะไรไม่ออก
ลู่โจวได้จ้องไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง “แล้วทำไมเจ้าถึงเรียกข้ามาที่นี่กัน? “
“ข้าน้อยไม่ ไม่กล้าแม้แต่จะคิด” เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับมาก่อนที่จะยืดหลังตรง
หมิงซี่หยินและคนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก การพบกันกับเจียงอาเฉียนในตอนนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งวันแล้ว แล้วเมื่อไหร่กันชายคนนี้จะพูดเข้าเรื่องหลักสักที?
“ท่านผู้อาวุโส…ข้าอยากที่จะรู้ว่าท่านจะเลือกฝ่ายไหนกันแน่? “
“หืม? “
เจียงอาเฉียนได้โบกมือ ในตอนนั้นเองก้อนกรวดจำนวนหนึ่งก็ได้บินเข้าหาตัวเขาก่อนที่จะร่วงลงต่อหน้า “นี่คือองค์ชายองค์ที่หนึ่ง, องค์ชายองค์ที่สอง และองค์ชายองค์ที่สาม ไม่สิ นี่ไม่ต้องนับก็ได้…องค์ชายองค์ที่สี่, องค์ชายองค์ที่ห้า…และท่านหญิงเจด”
ลู่โจวได้เหลือบมองก้อนกรวดทั้งห้าที่อยู่บนโต๊ะ ในตอนนั้นเขาก็ได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส “พูดต่อสิ”
เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไป “ข้าไม่คิดว่าท่านจะเลือกอยู่ฝ่ายองค์ชายองค์ที่หนึ่งแน่ เพราะท่านไม่เคยพบเขามาก่อน ส่วนคนขององค์ชายคนที่สองอย่างม่อหลี่ต่างก็มองเห็นท่านเป็นเสี้ยนหนาม องค์ชายองค์ที่สี่ถูกเนรเทศไปยังดินแดนอันห่างไกลและยังไม่ได้รับการให้อภัยให้กลับมา องค์ชายองค์ที่ห้าเป็นคนที่อ่อนโยนมากที่สุด แต่ถึงแบบนั้นเขากลับไม่มีค่าอะไร และท่านหญิงเจดเคยดูหมิ่นศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อน เอ๊ะ! ดูเหมือนท่านจะไม่มีทางเลือกเลยสินะ ท่านผู้อาวุโส! เช่นนั้น…ตราบใดที่ท่านไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทางพระราชสำนัก ท่านก็คงจะไม่ลำบากอะไรแน่”
“…”
เจียงอาเฉียนได้ใช้ความคิดของตัวเองวิเคราะห์ตัวเลือกทั้งหมดก่อนที่จะเลือกทางออกให้สำหรับลู่โจว
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาในท้ายที่สุด “พระราชสำนักในตอนนี้กำลังตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนได้ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง “พลังอำนาจของพระราชสำนักในตอนนี้กำลังรั่วไหลออกไปที่ด้านนอก…เมืองอันยางถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นดี”
“เจ้าน่ะออกมาจากพระราชสำนักมาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงต้องยุ่งเรื่องของเมืองอันยางด้วย? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“อืม…” เจียงอาเฉียนได้เอามือเกาหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “อย่างที่ข้าได้เคยพูดไป หลี่จิงยี่ถือเป็นสหายข้า เพราะแบบนั้นข้าคงจะนิ่งดูดายปล่อยนางตายคงไม่ได้”
“ถ้าหากหลี่จิงยี่ตาย เหวยซู่หยานเองก็จะต้องตายไปด้วย กองทัพหลวงทั้ง 3 กองทัพก็คงจะขาดผู้นำ เมื่อถึงตอนนั้นองค์ชายองค์ที่สองจะต้องปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวออกมาจนทำให้เหล่าราชวงศ์ทั้งหลายต้องสูญหายไปแน่ และเมื่อถึงตอนนั้นจริงโลกใบนี้ก็จะตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง…ข้าคิดว่าเจ้าน่ะเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะอยู่บนบัลลังก์องค์จักรพรรดิ” ลู่โจวได้พูดออกมา
เมื่อเจียงอาเฉียนได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็รีบโบกมือก่อนที่จะตอบกลับมา “ตัวข้าไม่ได้คิดที่จะทะเยอทะยานแบบนั้น…สิ่งที่ข้าโหยหานั้นง่ายแสนง่าย ข้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และต้องการที่จะใช้ดาบเท่านั้น”
หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋อต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ สุดท้ายแล้วคนคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่น่านับถือแต่อย่างใด
ลู่โจวเหลือบไปเห็นดาบที่อยู่ในอ้อมแขนของเจียงอาเฉียน “นั่นคีตะมังกรสินะ? “
เจียงอาเฉียนได้ถอยหลังกลับไป แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตัวเขาได้วางคีตะมังกรลงบนโต๊ะตัวเดิม
ฝักของมันได้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่ง และเมื่อแกะผ้าออก ลวดลายมังกรที่ถูกสลักเอาไว้อย่างสวยงามก็ได้เปิดเผยให้กับทุกคนให้เห็นบนฝักดาบตีตะมังกร
ชิ๊ง!
ดาบที่ถูกชักออกมาเปล่งประกายสว่างไสว
เจียงอาเฉียนชื่นชมดาบเล่มนี้เป็นอย่างมาก ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขากำลังหลงใหลในดาบเล่มนี้มากแค่ไหน
ท้ายที่สุดแล้วสามผู้คลั่งไคล้ดาบก็ยังเป็นผู้คลั่งไคล้ดาบอยู่วันยังค่ำ
“ดาบที่ดีสินะ” ลู่โจวพยักหน้า
เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับมา “ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน…ข้าไม่เคยเห็นดาบเล่มนี้มาก่อนในชีวิต…”
“แล้วมันคมไหม? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ความคมของมันน่ะหรอ…” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ “ในการทดสอบความคม ข้าได้สูญเสียอาวุธที่มีระดับใกล้เคียงระดับสรวงสวรรค์ไปทั้งหมด อาวุธระดับโลกเมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธชิ้นนี้พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะไร้ค่า”
“งั้นก็ดีแล้ว” ลู่โจวได้ยกมือขึ้น ดาบที่งดงามดูละเอียดอ่อนได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของตัวเขา
อาวุธนิรนามได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมแสงจางๆ มันถูกปกคลุมไปด้วยพลังงาน
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นรีบเก็บดาบคีตะมังกรตัวเองในทันที หลังจากนั้นเขาก็ได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่จำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกท่านผู้อาวุโส ถ้าหากอาวุธทั้งสองชิ้นหักไป…ข้าว่ามันน่าจะไม่คุ้มซะเปล่าๆ “
“ลืมมันไปซะเถอะ” ลู่โจวไม่ได้บังคับเจียงอาเฉียน ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบดาบเล่มนั้นอย่างแท้จริง และเมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้เรียกอาวุธนิรนามกลับไป
ลู่โจวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง ตัวเขาได้จ้องมองไปที่เจดีย์ลอยฟ้า
ในตอนนั้นเองมีกลุ่มผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งกำลังลอยไปบนอากาศ พวกเขาทั้งหมดกำลังบินไปที่เจดีย์ลอยฟ้าผ่านอีกฟากของแม่น้ำเก้าท่วงทำนอง
เจียงอาเฉียนได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมองไปยังผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่อยู่บนนั้น “พวกเขามาแล้ว…พวกเราไปดูกันเถอะ”
หมิงซี่หยินเห็นก็เห็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน “ท่านอาจารย์ พวกเขาทั้งหมดมากันเยอะน่าดู ท่านอาจารย์อาจจะเปลืองแรงไป ถ้ายังไงให้ศิษย์ล่วงหน้าไปก่อนไหม? “
“ไม่เป็นไร” ลู่โจวได้ส่ายหัว
เยี่ยนซานเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง หมิงซี่หยินคงจะไม่สามารถจับเจ้านั่นได้ด้วยความสามารถจากตัวเขาคนเดียว ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้นเยี่ยนซานสามารถที่จะหลบหนีจากทั้งสามสำนักใหญ่ไปได้แม้ว่าจะถูกล้อมก็ตาม
พลังวรยุทธที่เยี่ยนซานมีไม่ได้มากมายอะไร เขาเป็นเพียงหัวขโมยที่ไม่ได้ชื่นชอบการต่อสู้อะไรนัก ลู่โจวได้หันออกไปก่อนที่จะเดินออกจากศาลา ตัวเขาได้เดินไปยังเจดีย์ลอยฟ้าผ่านเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า เมื่อหมิงซี่หยินและเจียงอาเฉียนเห็นแบบนั้นพวกเขาก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ลงก่อนที่เดินตามไป
…
ในขณะนั้นเองผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็ได้มารวมตัวกันที่หน้าเจดีย์ลอยฟ้า มีผู้ฝึกฝนตั้งแต่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จนไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์
จากพื้นดินที่อยู่หน้าเจดีย์ลอยฟ้าทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ไม่สามารถที่จะมองเห็นเจดีย์ลอยฟ้าที่ตั้งตระหง่านได้ มันกินพื้นที่สูงจนเสียดฟ้า
“มีข่าวลือมาว่ามีดาบสั้นเล่มหนึ่งถูกเก็บไว้ที่ชั้นเก้าของเจดีย์ลอยฟ้า ข้าน่ะสงสัยจริงๆ ว่าใครจะได้มันมา”
“ให้คนที่มีความสามารถที่สุดก็แล้วกัน…ใครก็แล้วแต่เป็นผู้ที่มีสมองมากที่สุดที่จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคของเจดีย์ทั้งเก้าชั้นไปได้คนคนนั้นก็จะได้ของล้ำค่าไป ข้าเคยได้ยินมาว่ายอดฝีมือจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เคยมาที่เจดีย์ลอยฟ้าแห่งนี้จนถึงชั้นเจ็ดก่อนที่จะถูกขับไล่ออกไป ในทางกลับกัน ที่แห่งนี้ยังเคยมีผู้ฝึกยุทธมหาราชครูที่เคยไปถึงชั้นเก้าเพื่อรับสมบัติมาได้”
ผู้ฝึกยุทธทุกคนต่างก็มองไปที่เจดีย์ลอยฟ้า
ในขณะนั้นเองผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนได้กระเด็นลอยออกมาจากเจดีย์ลอยฟ้า พวกเขาได้แต่กระอักเลือดก่อนที่จะล้มลง
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะมาถึงได้แต่ถอยห่างออกไป พวกเขาไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจอะไรกับผู้ท้าชิงที่ล้มเหลวพวกนั้น
เจียงอาเฉียนส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ข้าจะบอกความลับกับท่าน…บนเจดีย์ลอยฟ้าน่ะไม่มีดาบสมบัติอะไรนั่นหรอก แต่ที่บนนั้นมี…เศษเสี้ยวฟากฟ้าต่างหาก…ที่นั่นมีเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งหมด 2 ชิ้นด้วยกัน แม้ว่าเศษเสี้ยวฟากฟ้าจะไม่ใช่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้ง 2 ชิ้นที่มีสามารถที่จะหลอมรวมกันใหม่ได้…ถ้าหากหลอมรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งหมด มันจะต้องได้อาวุธระดับสรวงสวรรค์มาแน่”
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาได้มองไปรอบๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมารวมตัวกันถึงขนาดนี้ได้…
ในเวลาเดียวกัน ในตอนนั้นเองมีผู้ฝึกยุทธอีกหลายคนที่กระเด็นออกมาจากเจดีย์ชั้น 6 และ ชั้น 7
เหล่าผู้เฝ้าสังเกตการณ์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “ข้าว่าคงจะไม่มีใครไปถึงชั้นเก้าภายในปีนี้ได้แน่”
เมื่อเห็นแบบนั้นสีหน้าของเจียงอาเฉียนก็ได้เปลี่ยนไป “ท่านผู้อาวุโส ทำไมท่านไม่ลองท้าชิงเจดีย์ลอยฟ้าแห่งนี้ดูซะล่ะ? ข้าแน่ใจเลยว่ามันคงจะไม่ได้ยากอะไรสำหรับท่านแน่ถ้าหากจะฝ่าไปถึงชั้นเก้า”
ลู่โจวหันไปมองก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อตามหาดาบสั้นที่ว่าอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่ ไม่ ไม่ ท่านกำลังเข้าใจข้าผิดไป ในตอนนี้พวกเรากำลังพูดถึงเจดีย์ลอยฟ้าชั้นเก้าต่างหาก…ที่นั่นมีเศษเสี้ยวฟากฟ้ารอท่านอยู่ถึง 2 ชิ้นด้วยกัน พวกมันล้วนแต่เป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย…” เจียงอาเฉียนได้หยุดพูดไปกลางคันในตอนที่ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ กำลังจ้องมองเขา “เอ่อ ข้าว่าข้าคงจะพูดเสียงดังไปหน่อย พวกเจ้าอย่าได้ถือสาข้าเลย…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นความวุ่นวายครั้งใหม่ก็ได้เกิดขึ้นทันที…
“ของที่ว่าคือเศษเสี้ยวฟากฟ้า! “
“สมบัติล้ำค่าคือเศษเสี้ยวฟากฟ้า! “