My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 206
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ตรงศาลาต่างทั้งหลายต่างก็จ้องมองไปยังกรงที่ได้เห็น
“หนีเร็ว! นั่นมันมหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในปฐพี ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า! “
“ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน? “
“พวกเจ้ายังจะยืนเฉยไปเพื่ออะไรกัน? รีบหนีเร็วเข้า! “
ในตอนนั้นผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็ได้รู้แล้วว่าสาวน้อยที่พิชิตชั้นเก้าของเจดีย์ลอยฟ้าได้อย่างง่ายดายคือใคร หญิงสาวที่มาจากตระกูลอันสูงศักดิ์อย่างงั้นหรอ? ช่างไร้สาระอะไรแบบนี้! ในขณะนี้ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวไปกว่าวายร้ายที่แกล้งทำเป็นคนดีไปได้!
ผู้ฝึกยุทธตาขาวทั้งหลายได้แต่คุกเข่าลง พวกเขาไม่มีความกล้ามากพอที่แม้แต่จะคิดเคลื่อนไหว
เพียงแค่เวลาสั้นๆ ผู้ฝึกยุทธมากกว่าครึ่งก็ได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีผู้ฝึกยุทธที่กล้าหาญพอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หลบอยู่หลังเสาอยู่
ในขณะเดียวกันเยี่ยนซานในตอนนี้กำลังวิ่งตรงไปที่ป่า
ลู่โจวยังคงยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของเจดีย์ลอยฟ้า ด้วยสถานที่ที่อยู่สูงทำให้ตัวเขามีทัศนวิสัยที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าเยี่ยนซานจะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสักแค่ไหน มันก็ไม่อาจที่จะหนีไปจากพลังของลู่โจวได้ ตัวเขาได้โบกมือไปบนอากาศอีกครั้ง ในตอนนั้นเองการ์ดพิเศษก็ได้ถูกใช้ไป กรงผนึกกักขังถึง 2 กรงได้ตรงไปหาเยี่ยนซาน
ถ้าหากนับรวมกับกรงผนึกอันแรก ในตอนนี้เท่ากับว่ามีกรงผนึกถึง 3 กรงแล้ว
ท่านหญิงเจดและฮั๊วยู่จิงที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง
‘นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน? ทำไมเคล็ดวิชานี้ถึงสามารถใช้ได้ไกลถึงขนาดนี้? เวทมนตร์คาถาอย่างงั้นหรอ? ไม่สิ เป็นเคล็ดวิชาลับอย่างงั้นสินะ? หรือบางทีมันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาที่เทพแห่งมือธนูเท่านั้นที่จะรู้ได้? ‘ ฮั๊วยู่จิงเป็นหนึ่งในเทพมือธนูทั้งสามจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่านางจะมีความสามารถในเรื่องของการใช้ธนูมากแค่ไหน แต่เมื่อระดมสมองทั้งหมดคิดทบทวนกับวิชาที่ได้เห็น นางก็ไม่รู้จักเคล็ดวิชานี้อยู่ดี แม้ว่านางจะไม่ได้เรียกเคล็ดวิชามากมายหลายอย่างจนเชี่ยวชาญ แต่จากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นมือธนูฮั๊วยู่จิงไม่เคยที่จะเห็นเคล็ดวิชาอะไรแบบนี้มาก่อน
หมิงซี่หยินดูเหมือนจะอ่านใจของฮั๊วยู่จิงออก “เจ้าจะมาเพื่อสะสางเรื่องเข้าใจผิดที่มีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ ทำไมเจ้าถึงไม่รีบทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ? “
เมื่อได้ยินแบบนั้นหัวใจของฮั๊วยู่จิงก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ท่านหญิงเจดเองก็ถึงกับผงะด้วยความตกใจ
ฮั๊วยู่จิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับไป “ข้าเป็นคนที่มีจิตใจลังเลเอง ได้โปรดให้อภัยกับข้าด้วย ท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวได้โบกแขนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ลืมมันไปซะเถอะ”
แม้ว่าฮั๊วยู่จิงจะเคลื่อนไหวจริงๆ ลำพังนางคงจะใช้ธนูหยุดเยี่ยนซานไม่ได้แน่ ไหวพริบของเยี่ยนซานมันอยู่เหนือเกินความคาดหมายของลู่โจวไปแล้ว
ผนึกกรงกักขังได้พุ่งหาเป้าหมายของมัน ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้วว่าจะใช้การผนึกได้สำเร็จไหม
ในขณะที่ลู่โจวจ้องมองกรงผนึกที่กำลังลอยไปไกล ตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าจะหนีไปได้อย่างงั้นหรอ? “
ลู่โจวได้โบกแขนขึ้น ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงคำรามดังจากที่ใกล้ๆ เจดีย์ลอยฟ้า
ในวินาทีนั้นบี่เอี๊ยนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น มาได้ปรากฏตัวออกมาจากหมู่เมฆ
“สัตว์ขี่ในตำนาน! ” ท่านหญิงเจด, ฮั๊วยู่จิง และทหารทั้งหลายที่อยู่ด้านล่างของเจดีย์ลอยฟ้าต่างก็จับจ้องไปที่บี่เอี๊ยน รูปลักษณ์ของบี่เอี๊ยนรวมไปถึงความเร็วของมันไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่พวกเขาเคยพบมาก่อน
ในทางกลับกันเหล่าศิษย์สาวกของลู่โจวต่างก็เคยชินที่จะได้เห็นสัตว์ขี่ในตำนานซะแล้ว
ลู่โจวได้กระโดดไปที่บี่เอี๊ยนก่อนที่จะไล่ตามเยี่ยนซานไป
“พวกเราจะรอฟังข่าวดีเอง ท่านอาจารย์! ” ศิษย์สาวกทั้งสามของลู่โจวต่างก็พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้ว่าจะใช้การ์ดกรงผนึกกักขังไปถึง 3 ใบ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถจับตัวของเยี่ยนซานได้ไหม ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของความน่าจะเป็นก็ไม่สามารถที่จะพึ่งพาได้ จากประสบการณ์ของลู่โจวที่ดวงซวยมาโดยตลอด เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงตัดสินใจที่จะติดตามไป ในตอนแรกลู่โจวไม่ได้คิดที่จะไล่ตามเยี่ยนซานต่อไปถ้าหากการ์ดกรงผนึกกักขังของเขาใช้ไม่ได้ผล แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนซานแล้วทำให้ลู่โจวเปลี่ยนการตัดสินใจไป
ในฐานะที่เป็นถึงปรมาจารย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า มหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก ลู่โจวจะไม่ยอมปล่อยให้เยี่ยนซานที่พูดแบบนั้นได้หนีรอดไปได้แน่
ด้วยบี่เอี๊ยนที่ลู่โจวมีการที่จะไล่ตามเยี่ยนซานไปจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในตอนนี้กรงผนึกกักขังได้เล็งไปที่เยี่ยนซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าเยี่ยนซานจะฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมมากขนาดไหนแต่การจะเอาชนะบี่เอี๊ยนได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่
ลู่โจวได้ขี่บี่เอี๊ยนก่อนที่จะไล่ตามกรงผนึกทั้งหมดที่กำลังลอยไป
กรงผนึกกรงแรกในตอนนี้ได้ขยายกว้างขึ้นกว่าหลายสิบเมตรแล้ว มันยังไม่หยุดขยายแต่เพียงเท่านั้น กรงผนึกยังคงขยายขนาดต่อไป
บี่เอี๊ยนได้เหาะไปอย่างรวดเร็ว มันตามกรงผนึกกักขังทั้งหมดทันได้ในชั่วพริบตา
ลู่โจวได้สำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวไปด้วยในระหว่างที่ขี่บี่เอี๊ยนอยู่ รอบตัวของเขาเป็นป่ารกทึบจนเกินไป ใบไม้พวกนั้นได้บดบังทัศนวิสัยของตัวเขาเป็นอย่างดี
โชคดีที่ลู่โจวในตอนนี้มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าความดุร้ายของบี่เอี๊ยนที่เคยมีจะไม่ได้ส่งผลอะไรมากกับตัวเขาอีกต่อไป
ลู่โจวค่อยๆ ลดระดับความสูงของตัวเองลงมา
…
ในขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ที่เจดีย์ลอยฟ้าต่างก็มองไม่เห็นกรงผนึกของลู่โจวอีกต่อไป
พวกเขาทุกคนได้แต่รอคอยอย่างเงียบงันต่อไป
…
ในขณะเดียวกันเยี่ยนซานในตอนนี้กำลังพุ่งไปพุ่งมาระหว่างต้นไม้ต่างๆ ตัวเขาได้หัวเราะออกมาเบาๆ “แม้แต่สำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่วผนึกกำลังกัน สำนักใหญ่ทั้งสามก็ไม่อาจที่จะจับตัวข้าได้…ท่านคิดว่าท่านจะจับข้าจากในระยะนั้นได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
ความเร็วของเยี่ยนซานเองไม่ใช่ความเร็วที่เชื่องช้าเลย มันเป็นความเร็วที่อยู่เหนือความคาดหมายของลู่โจวจนน่าตกใจ
หลังจากที่วิ่งไปได้ไกลกว่า 20 ไมล์ เยี่ยนซานก็เริ่มที่จะชะลอความเร็วลง พลังวรยุทธที่เยี่ยนซานมีอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แต่ในแง่ของความเร็วเยี่ยนซานคนนี้สามารถใช้ความเร็วได้เหมือนกับเหล่ายอดฝีมือผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเยี่ยนซานไม่ได้หยุดพักระหว่างทาง ไม่มีทางเลยที่จะมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์คนไหนไล่ตามตัวเขาได้ทัน
พรึ๊บ!
กรงผนึกกักขังกำลังพุ่งเข้าหาเยี่ยนซาน แต่ไม่ทันที่จะได้ผนึกการเคลื่อนไหวของเยี่ยนซานเอาไว้ได้ พลังนั้นก็ได้หายไปซะก่อน
เยี่ยนซานที่เห็นแบบนั้นรู้สึกงุนงง ‘พลังนั่นหายไป? ‘ ตัวเขาที่ยังคงครุ่นคิดถึงพลังที่หายไปในตอนนั้นก็ได้มีพลังแสงสีทองปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เยี่ยนซานที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่นี่มันแปลกจนเกินไป ตัวเขานึกย้อนกลับไปที่เจดีย์ลอยฟ้าที่เพิ่งจะจากมา ปรมาจารย์จากศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็เคยใช้เคล็ดวิชาแบบนี้เหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ได้จางหายไปซะก่อน
“เยี่ยนซาน…” เสียงเรียกอันแหบห้าวได้ไล่ตามหลังของเยี่ยนซานมา ตัวเขาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันกลับไปตามสัญชาตญาณ สิ่งที่ตัวเขาได้เห็นมีเพียงชายชราคนหนึ่งที่กำลังขี่บี่เอี๊ยนกำลังพุ่งตรงมา
“ซวยแล้ว! ” ในตอนนั้นร่างกายของเยี่ยนซานได้เต็มไปด้วยพลังลมปราณ ตัวเขาที่เห็นลู่โจวไล่ตามมารีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
บี่เอี๊ยนที่เห็นเป้าหมายได้คำรามออกมาอย่างสุดเสียง
โฮกกกกกกกกกกกก!
ต้นไม้กว่าหลายต้นได้ล้มลงเพราะเสียงคำรามของบี่เอี๊ยน ในวินาทีนั้นเองคลื่นพลังก็ได้กระแทกเข้ากับหลังของเยี่ยนซานไป
พรึ๊บ!
ทันทีที่ถูกพลัง ที่ริมฝีปากของเขาก็ได้กระอักเลือดออกมา เยี่ยนซินที่ถูกการโจมตีไปได้หายตัวไปในกลางอากาศ
“ขุดดินหนีสินะ!? ” ลู่โจวได้สั่งให้บี่เอี๊ยนหยุด ตัวเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะจับตัวเยี่ยนซาน
กรงผนึกที่ลู่โจวได้ปล่อยออกมาในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะตามตัวเยี่ยนซานเอง
ลู่โจวรู้จักวิชาขุดดินหนีนี้ดี การที่จะขุดดินเพื่อหลบหนีจากการต่อสู้ได้ ความเร็วของคนคนนั้นจะลดลงไปเป็นอย่างมาก และหนำซ้ำการที่จะอยู่ในใต้ดินยังใช้พลังลมปราณปริมาณมากอีกด้วย
ด้วยความสามารถที่บี่เอี๊ยนมี การที่เยี่ยนซานจะหลบหนีไปได้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แม้ว่าเขาจะติดปีกหนีก็ตาม แต่ยังไงซะเยี่ยนซานก็คงจะหนีไม่รอดแน่
กรงผนึกกรงที่สองได้ร่วงลงต่อหน้าลู่โจว มันอยู่ห่างออกไปเพียง 20 เมตรเท่านั้น เมื่อมันร่วงลงสู่พื้น พลังกรงผนึกก็ได้หายไป
กรงผนึกกรงที่สามได้มาถึงในทันที กรงผนึกที่มาถึงเป้าหมายได้ขยายตัวออกจนกว้างขวาง มันได้ขยายตัวออกราวกับตาข่าย ตาข่ายพลังสีทองได้ล้อมเป้าหมายจากทั่วทิศทางได้ ดูเหมือนว่ากรงผนึกกักขังนี้จะใช้ได้ผล
ภาพที่ลู่โจวได้เห็นชวนให้ตัวเขานึกย้อนไปถึงภาพที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ภาพที่ฝานซุยเหวินถูกกรงผนึกกักขังควบคุมตัวเองไว้ ภาพในครั้งนั้นยังคงติดตราตรึงใจลู่โจว
แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะแกร่งกล้าสักแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็คงจะไม่อาจที่จะเทียบกับพลังธรรมชาติได้
ลู่โจวเห็นแล้วว่าจุดที่กรงผนึกกักขังอยู่ที่ไหน จุดที่กรงผนึกกักขังทำงานอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ตัวเขาพบเยี่ยนซานไม่เท่าไหร่
ตาข่ายที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าได้ทำให้ต้นไม้กว่าหลายร้อยต้นล้มลงในทันที ต้นไม้ที่ได้ล้มลงรวมไปถึงเศษซากต่างก็ถูกกรงผนึกกักขังที่เป็นตาข่ายเลื่อนผ่านไป
ไม่นานนักผืนดินแห่งหนึ่งที่ถูกตาข่ายล้อมรอบเอาไว้ก็ได้ปรากฏขึ้นที่ใจกลางป่า
เมื่อตาข่ายพลังสีทองได้จมลงสู่พื้นดิน ในตอนนั้นเองเสียงร้องครวญครางก็ได้ดังขึ้น “อ๊ากกกก! “
กรงผนึกกักขังได้จับเป้าหมายไว้ด้วยพลังของมัน
ลู่โจวได้สั่งให้บี่เอี่ยนร่อนลงสู่พื้น หลังจากนั้นมันก็ได้วิ่งไปหาเป้าหมายอย่างเชื่อฟัง
ลู่โจวเดินไปยังจุดที่กรงผนึกกักขังตกลงมา
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่ถูกพลังของกรงผนึกกักขังพันธนาการเอาไว้ได้คนคนนั้นก็จะถูกผนึกพลังวรยุทธที่เคยมีไปด้วย มันเป็นเหมือนกับฝานซุยเหวิน ดังนั้นลู่โจวจึงไม่ต้องกลัวเยี่ยนซานคิดหนีอีกต่อไป ตัวเขาได้อดทนรออย่างใจเย็นในขณะที่ลูบเคราไปด้วย
ร่างของเยี่ยนซานค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ยังคงร้องครวญครางไม่หยุด
ลู่โจวที่เห็นเยี่ยนซานเป็นฝ่ายที่เริ่มพูดขึ้น “เยี่ยนซาน เจ้าพยายามที่จะหนีข้าอยู่อย่างงั้นสินะ? “
เยี่ยนซานไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมา ตัวเขาได้แต่ร้องไห้ต่อไปเท่านั้น
ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองขึ้น ในตอนนั้นเองบี่เอี๊ยนก็ได้คำรามออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนที่มันจะวิ่งไปที่พื้นด้วยกรงเล็บอันแหลมคม
บี่เอี๊ยนได้ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะขุดเยี่ยนซานออกมาจากพื้นดินทั้งหมดได้
เมื่อบี่เอี๊ยนแยกเขี้ยวใส่เยี่ยนซาน ตัวเขาก็ได้แต่ตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมาอีก
“ไม่ ไม่…ท่านผู้อาวุโส! ได้โปรดเมตตาข้าด้วย! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะท่านผู้อาวุโส! ” เยี่ยนซานได้แต่ร้องขอความเมตตาออกมา เมื่อเห็นมหาวายร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยืนอยู่ใกล้ๆ เยี่ยนซานก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ตัวเขาไม่เคยรู้สึกถึงความกลัวที่มีมากมายถึงขนาดนี้ในตลอดชีวิต แม้ว่าเยี่ยนซานอยากที่จะเคลื่อนไหวมากแค่ไหนสุดท้ายแล้วตัวเขาก็ไม่อาจที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าพลังของกรงผนึกกักขังจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรูปร่างของเป้าหมายเอง
“พาเจ้านี้ไปด้วย” บี่เอี๊ยนที่ได้รับคำสั่งแบบนั้นได้อุ้มเยี่ยนซานขึ้นมาด้วยขากรรไกรทั้งสองข้างของมัน
…
ในตอนนั้นเองทุกคนนอกเหนือจากหมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่เจดีย์ลอยฟ้า
หลังจากนั้นไม่นานท่านหญิงเจดก็ได้พูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสอายุมากแล้ว การที่จะจับหนูที่คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างเยี่ยนซานได้คงจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหน่อยอย่างงั้นหรอ? “
หมิงซี่หิยนได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอก ความสามารถของท่านอาจารย์ข้าเหนือล้ำกว่าผู้ใด ท่านน่ะจะต้องตกตะลึงมากกว่าถ้าหากเยี่ยนซานสามารถหลบหนีไปได้”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ได้โปรดยกโทษให้กับข้าด้วยเถอะ”
…
ไม่นานมากนักลู่โจวก็ได้ขี่บี่เอี๊ยนกลับมายังเจดีย์ลอยฟ้าจากทางทิศเหนือ
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่คนคนหนึ่งที่ถูกบี่เอี๊ยนคาบไว้ คนคนนั้นเป็นผู้สืบทอดของสำนักนักล้วง เยี่ยนซานที่เพิ่งจะวิ่งหนีไปไม่ผิดแน่
เมื่อผู้ฝึกยุทธทั้งหมดได้เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกใจ
“เยี่ยนซานถูกจับ! “
“ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของสำนักนักล้วงถูกจับตัวแล้ว! “
แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมีชื่อเสียงในเรื่องของความแข็งแกร่ง แต่ถึงแบบนั้นเยี่ยนซานเองก็มีชื่อเสียงในเรื่องของไหวพริบเช่นกัน เยี่ยนซานคนนี้สามารถหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่มาจากสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่วได้หลังจากที่ไปขโมยของพวกเขามา
ในแง่ของไหวพริบ เยี่ยนซานเป็นคนที่มีไหวพริบมากกว่าฝานซุยเหวิน ผู้นำของเหล่าอัศวินดำซะอีก ฝานซุยเหวินเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง เมื่อมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น ฝานซุยเหวินก็จะสามารถใช้พลังของตัวเองแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย สำหรับเยี่ยนซานแล้วเขาไม่ใช่แบบนั้น ตัวเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แม้ว่าพลังวรยุทธของเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรแต่ถ้าจะพูดในเรื่องของการวางแผนและการแก้ไขปัญหา เยี่ยนซานคนนี้มีเหนือกว่ายอดฝีมือหลายคนมาก
ท่านหญิงเจดลุกขึ้นยืนในทันที
ฮั๊วยู่จิงก็ได้คว้าธนูคู่ใจเอาไว้ข้างกาย
บี่เอี๊ยนได้บินกลับเข้าไปที่เจดีย์ลอยฟ้าก่อนที่จะปล่อยตัวเยี่ยนซานออกมาจากปาก มันไม่ได้สนใจอะไรชีวิตของเยี่ยนซานเลย
แม้แต่ท่านหญิงเจดเองก็ยังรู้สึกกลัวสัตว์ขี่ตัวนี้
“ดูเหมือนกาลเวลาจะทำอะไรท่านไม่ได้สินะ ท่านผู้อาวุโส”
‘พูดแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่? ‘
ที่บนเจดีย์ลอยฟ้า ทั้งต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อต่างก็ไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดที่ได้ยิน แต่สำหรับหมิงซี่หยินตัวเขากลับไม่ได้คิดแบบนั้น คำพูดที่ได้พูดมาเป็นเหมือนกับคำพูดที่ใช้ดูถูกผู้เป็นอาจารย์ของตัวเขาก็ว่าได้
ต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อโค้งคำนับให้กับลู่โจว
ท่านหญิงเจดได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “พลังความแข็งแกร่งของท่านยังอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ เป็นบุญของข้าแล้วที่ได้เห็นกับตาตัวเอง”
ฮั๊วยู่จิงได้คารวะลู่โจวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ลู่โจวเดินไปที่โต๊ะหินตัวหนึ่งก่อนที่จะนั่งลง สายตาของเขาจับจ้องไปที่เยี่ยนซานที่กำลังนอนอยู่บนเพื่อน “เยี่ยนซาน ข้ามีคำถามที่อยากจะถามเจ้า…สิ่งที่เจ้าจะต้องทำมีเพียงตอบคำถามของข้า”
“ได้ ได้เลย…” เยี่ยนซานได้พยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้นก่อนที่จะคุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวเขาในตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เศษเสี้ยวฟากฟ้าที่เหลือในตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาตรงๆ
เยี่ยนซานที่ได้ฟังคำถามได้แต่กลืนน้ำลาย ตัวเขาได้ก้มศีรษะลงก่อนที่จะตอบกลับมา “เศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้ง 3 ส่วนอยู่ที่พระราชสำนัก แต่เศษเสี้ยวสองส่วนอยู่ที่เจดีย์ลอยฟ้า…เศษเสี้ยวฟากฟ้าอีกส่วนอยู่ในมือของม่อหลี่ผู้ที่มาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ และเศษเสี้ยวฟากฟ้าอีกหนึ่งอยู่ในมือของวิหารแห่งความว่างเปล่า…”
เศษเสี้ยวฟากฟ้าที่วิหารแห่งความว่างเปล่ามีเป็นเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่ลู่โจวได้มาจากนักบวชของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ ส่วนเศษเสี้ยวฟากฟ้าอีก 3 ส่วนที่อยู่ในพระราชสำนักต่อไป 1 ในนั้นเจียงอาเฉียนเป็นผู้ที่นำออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หยวนเอ๋อเองได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้ามาจากเจดีย์ลอยฟ้าอีก 2 ส่วนแล้วด้วย เท่ากับว่ายังมีเศษเสี้ยวฟากฟ้ากว่าอีก 3 ส่วนที่ยังไม่รู้ที่อยู่
ลู่โจวได้แต่นั่งลงอย่างเงียบๆ ตัวเขาได้รอให้เยี่ยนซานพูดต่อไป
เยี่ยนซานเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท่านหญิงเจดที่กำลังนั่งอยู่ใกล้ๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมา “ส่วน…เศษเสี้ยว…อะ…อีกสามส่วน…” เยี่ยนซานได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักฟังดูไม่มีความหมาย
หมิงซี่หยินได้เตะไปที่เยี่ยนซาน “หยุดลีลาได้แล้ว! พูดออกมาซะ! “
เยี่ยนซานพึมพำต่อไป “ขะ…ข้าควร…ข้าควรที่จะพูดดีไหม…” เยี่ยนซานรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรที่จะเปิดเผยเท่าไหร่นัก
ในตอนนั้นเองท่านหญิงเจดที่กำลังนั่งอยู่ก็ได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าควรพูดไม่ควรพูดอะไร? “
ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่ท่านหญิงเจดแทน “เจ้ารู้ได้ยังไงกันว่าเจ้านี้ก็คือเยี่ยนซาน? “
หัวใจของท่านหญิงเจดเต้นรั่ว แต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของนางก็ยังเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอยู่ “ข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องของการฝึกยุทธ ข้าไม่รู้หรอก”
เมื่อถึงตอนนี้หมิงซี่หยินก็ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว “เข้าเข้าใจแล้ว”
“อธิบายออกมาซะ”
“ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น จะต้องติดตั้งตะขอทั้งหลาย, ว่าว รวมไปถึงเครื่องมือทั้งหมดที่แม่น้ำเอาไว้ซะก่อน…เนื่องจากเจ้าของเจดีย์ลอยฟ้ามาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เพราะแบบนั้นการที่เจ้านั่นจะร่วมมือกับทางพระราชสำนักคงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เยี่ยนซานเพียงคนเดียวคงจะไม่อาจก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นมาได้ นั่นก็หมายความว่ามีคนที่คอยสนับสนุนเยี่ยนซานอยู่! ” หมิงซี่หยินได้วิเคราะห์เรื่องทั้งหมดออกมา
ท่านหญิงเจดได้ปรบมือก่อนที่จะพูดออกมา “เรื่องนี้มันช่างสมเหตุสมผลยิ่งนัก…ถ้าเช่นนั้นจะเป็นใครไปได้? “
“จะต้องเป็นผู้ที่ผิดใจกับศาลาปีศาจลอยฟ้า คนคนนั้นจะต้องรู้จักเจดีย์ลอยฟ้าเป็นอย่างดีด้วย…”
ในวินาทีนั้นเองจู่ๆ เยี่ยนซานก็ได้กระโดดไปที่นอกหน้าต่าง
ฮั๊วยู่จิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “คิดจะหนีอย่างงั้นหรอ? ไม่ง่ายแบบนั้นหรอก! ” นางได้ง้างสายธนูขึ้น ในตอนนั้นเองพลังลมปราณสีทองก็ได้ก่อตัวกันก่อนที่จะพุ่งไปทางเยี่ยนซาน
ฮั๊วยู่จิงได้ทำเรื่องทั้งหมดเพียงอึดใจเดียว
พรึ๊บ!
เงานับพันของหอกราชันย์ได้ขวางลูกศรลูกนั้นเอาไว้ ต้วนมู่เฉิงได้ตีลังกากลางอากาศก่อนที่จะทำให้ลูกศรพลังลมปราณของฮั๊วยู่จิงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ในขณะเดียวกันสายสะพายนิพพานสีแดงสดก็ได้พุ่งตรงออกไปก่อนที่จะคว้าตัวของเยี่ยนซานเอาไว้ได้
หยวนเอ๋อได้คว้าตัวของเยี่ยนซานที่อยู่กลางอากาศกลับมาได้ “ท่านอาจารย์…นี่มันไม่ได้สุดยอดไปเลยหรอ? “
เป็นเพราะพลังวรยุทธของเยี่ยนซานถูกผนึกเอาไว้ แม้ว่าเขาจะกระโดดหนีออกไปที่นอกหน้าต่างแต่ถึงแบบนั้นเขาจะวิ่งหนีไปได้ยังไงกัน?
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าพยายามที่จะปิดปากเขาอย่างงั้นหรอ? “
ฮั๊วยู่จิงได้ก้าวถอยหลังกลับไป ตัวของนางสั่นไปทั้งตัว “ข้าน้อยไม่กล้า ข้าเพียงแต่อยากช่วยท่านผู้อาวุโสก็เท่านั้น! ” แม้ว่านางจะเป็นเทพแห่งมือธนู แต่ในการต่อสู้ระยะประชิดแบบนี้ต้วนมู่เฉิงสามารถเอาชีวิตนางไปได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้เจดีย์ลอยฟ้าได้เงียบลงอย่างน่าประหลาด และเพราะความเงียบงันทำให้สถานการณ์ทั้งหมดดูตึงเครียดขึ้นมา
แม้แต่ท่านหญิงเจดเองก็ไม่กล้าที่จะหายใจออกมาแรงๆ ในตอนนี้เรื่องทุกอย่างอยู่เหนือความคาดหมายของนางไปหมดแล้ว
ลู่โจวยืนขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปยังขอบเจดีย์ลอยฟ้าในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่ ตัวเขาเหลือบมองไปที่เยี่ยนซานที่กำลังถูกคว้าตัวอยู่ที่กลางอากาศ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อย่างงั้นหรอว่าเจ้าไม่กล้าที่จะพูด? “
หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นมา ในตอนนั้นเองก็ได้มีพลังลมปราณปรากฏขึ้น…
ในตอนนั้นเองมือที่ถือธนูของฮั๊วยู่จิงเริ่มสั่น
“ท่านผู้อาวุโส! ” ฮั๊วยู่จิงได้ตะโกนออกมา
พรึ๊บ!
แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรชายผู้ใช้พลังลมปราณสีเขียวก็ได้ขวางหน้านางเอาไว้ก่อน หมิงซี่หยินได้ซัดฝ่ามือไปที่ฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงที่ได้รับพลังฝ่ามือไปได้หมุนตัวกลางอากาศก่อนที่จะพุ่งหาลู่โจวด้วยธนูที่อยู่ในมือ