My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 213
จ้าวยู่และหยวนเอ๋อต่างก็ตกใจ
ขอทานเฒ่าที่สกปรกไปทั้งตัวคนนี้แท้จริงแล้วคือยอดฝีมือผู้เก่งกาจที่สุดในสำนักแห่งความบริสุทธิ์?
สีหน้าของฝานลี่เทียนยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไป “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงอะไรกัน….สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงการได้ดื่มเหล้ารสเลิศก็เท่านั้น”
“เจ้าจะไม่ยอมรับจริงๆ อย่างงั้นสินะ? ” ลู๋โจวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ว่าสีหน้าของฝานลี่เทียนจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาแต่ร่างกายของเขาก็ได้สั่นไปทั้งตัว
เมื่อสบตากัน ฝานลี่เทียนถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตัวเขาจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป ภายในใจของเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ฝานลี่เทียนได้นิ่งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหัวและพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าเป็นแค่ขอทาน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่…”
เมื่อเห็นแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้โบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์จะเอาชนะเขาให้ได้แล้วจะทำให้เขาต้องสารภาพออกมาเอง”
ลู่โจวไม่ได้คาดคิดว่าฝานลี่เทียนจะสารภาพอะไรออกมาเร็วๆ นี้แน่ สิ่งนี้ลู่โจวได้คาดคิดเอาไว้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าฝานลี่เทียนคนนี้ไปเจออะไรในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ด้วยตัวตนรวมเข้ากับสถานะที่ฝานลี่เทียนมี การที่ตัวเขาหลีกเลี่ยงชีวิตในโลกอันแสนวุ่นวายคงไม่ใช่เรื่องยากเลย เสื้อผ้าของตัวเขาแทบที่ขาดจนใส่ไม่ได้ สภาพของเขาในตอนนี้ดูสะบักสะบอมเป็นอย่างมาก เพียงแค่จะหาอาหารกินในแต่ละมื้อได้ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว การที่ฝานลี่เทียนตัดสินใจปลอมตัวเขามาในศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยใช้สภาพแบบนี้ก็คงจะไปหวังให้ตัวเขาอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดคงจะเป็นไปไม่ได้ การที่ตัดสินใจเดินทางมาศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยที่ไม่มีพลังวรยุทธได้ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
ลู่โจวได้พูดต่อไป “ไม่สำคัญว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ในตอนนี้ข้าได้ยินมาว่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ สำนักนั่นคงจะต้องสูญหายไปจากโลกไม่ช้าก็เร็วแน่” น้ำเสียงของลู่โจวทั้งฟังดูเย็นชาและฟังดูสงบเยือกเย็นในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงนี้เป็นน้ำเสียงที่เหมาะกับมหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกแล้ว แม้ว่าโลกใบนี้จะต้องถูกทำลายไป ยังไงซะมันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี
ฝานลี่เทียนเบิกตากว้าง ตัวเขาขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นานสุดท้ายแล้วเขาก็ได้พูดอะไรออกมา “ยังไงซะสิ่งที่ข้าต้องการที่สุดก็คือเหล้ารสเลิศ ไม่ว่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์จะเป็นยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวข้า” ตัวเขาได้ยกขวดเหล้าขึ้นมาก่อนที่จะเทมันลงไปในปาก
“เหล้ารสเลิศ! ” ฝานลี่เทียนได้ดื่มสุราอย่างร่าเริงโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่ได้สนเรื่องของสำนักแห่งความบริสุทธิ์จริงๆ
ลู่โจวได้พูดต่อไป “ม่อหลี่และยู่ฮงยีต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สำนักแห่งความบริสุทธิ์ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่…เจ้าไม่คิดเป็นกังวลเลยอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่” ครั้งนี้น้ำเสียงของฝานลี่เทียนหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ หลังพูดจบตัวเขาก็เริ่มดื่มอีกครั้ง
ฝานลี่เทียนจะไม่สนใจเรื่องราวของสหายเก่าแก่เลยอย่างงั้นหรอ? นี่ไม่เหมือนกับนิสัยที่ฝานลี่เทียนเคยมีเลย สิ่งนี้ทำให้ลู่โจวรู้สึกงุนงง ตัวเขารู้จักนิสัยของฝานลี่เทียนในอดีตดี การที่เขาจะมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้อาจจะถูกเปิดเผยตัวตนเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วทำไมฝานลี่เทียนจึงตัดสินใจที่จะมาอีกล่ะ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พวกกลัวตาย ฝานลี่เทียนในตอนนี้ได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร้ค่าไปซะแล้ว
“จับตาดูเขาเอาไว้” ลู่โจวได้สั่งการขึ้น
ฝานลี่เทียนได้ยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอบคุณ…สำหรับเครื่องดื่มดีๆ…”
ลู่โจวกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
หยวนเอ๋อที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่เข้าใจเลย นางได้เดินตามผู้เป็นอาจารย์ไปก่อนที่จะถามออกมา “ท่านอาจารย์…ขอทานเฒ่าคนนี้เป็นฝานลี่เทียนจริงๆ อย่างงั้นหรอ!? “
ลู่โจวที่ได้ยินคำถามนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับไป “ถ้าเขาเจ้านั่นบอกไม่ใช่ เขาก็ไม่ใช่…”
ลู่โจวกลับไปที่ห้องลับที่ซ่อนอยู่ ในตอนนี้ตัวเขาได้ทิ้งหยวนเอ๋อที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกอย่างสับสนต่อไป
“เอ่อ…แล้วสรุปเจ้านั่นใช่หรือไม่ใช่กันแน่นะ? ” หยวนเอ๋อได้แต่มองไปที่ท่านอาจารย์ที่กำลังเดินจากไป
“หรือว่าข้าจะเป็นพวกสมองทึบเหมือนกับศิษย์พี่แปดกัน? “
ที่ด้านในห้องลับ
ลู่โจวได้นั่งขัดสมาธิก่อนที่จะเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งหมดที่มีออกมาไว้ข้างหน้า ในตอนนี้มีเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้ง 5 ชิ้นและธนูฟากฟ้าอีก 1 คัน
ถ้าหากลู่โจวต้องการที่จะทำภารกิจให้เสร็จสิ้น ตัวเขาจะต้องถอดเศษเสี้ยวจากฟากฟ้าออกมาจากธนูฟากฟ้าให้ได้ซะก่อน ลู่โจวจะต้องใช้เครื่องรางขัดเกลาซึ่งในตอนนี้มีเหลืออยู่เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น
ลู่โจวได้เปิดเมนูอุปกรณ์ในระบบขึ้นมา ตัวเขาได้ศึกษาข้อมูลเฉพาะของเครื่องรางขัดเกลา ตัวเขาไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของมันเท่าไหร่
เครื่องรางขัดเกลาสามารถรีเซตอาวุธที่เคยมีเจ้าของครอบครองมาก่อนได้ บางทีมันอาจจะใช้แยกส่วนธนูฟากฟ้าให้กลายเป็นเศษเสี้ยวฟากฟ้าได้ด้วย การที่จะรู้ความจริงได้ก็คงจะมีแต่ต้องทดลองเท่านั้น
“มีแต่ต้องลองดูสินะ” ลู่โจวได้ยกแขนขึ้นมา ในตอนนั้นเองเครื่องรางขัดเกลาก็ได้ปรากฏขึ้น
ด้วยพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ในระดับแรกที่ลู่โจวมี การที่จะทำให้อาวุธที่มีลอยขึ้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ธนูฟากฟ้าได้ลอยขึ้นมาตรงหน้าของเขา เครื่องรางแห่งการขัดเกลาได้ลอยไปที่ธนูฟากฟ้าที่อยู่ตรงหน้า
พรึ๊บ!
เครื่องรางขัดเกลาได้ลุกเป็นไฟ เปลวไฟสีแดงเข้มได้ปกคลุมไปทั่วธนูฟากฟ้าทั้งคัน
เปลวไฟที่ดูเป็นเอกลักษณ์นี้ได้ปล่อยความร้อนแผดเผาออกมา
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงความร้อนจากตรงหน้า เขาต้องใช้พลังลมปราณเพื่อสร้างม่านพลังสำหรับป้องกันตัวเอง ถึงแม้ว่าจะใช้พลังแล้วแต่ลู่โจวก็สามารถกันพลังความร้อนได้ส่วนเดียวเท่านั้น ตัวเขายังสัมผัสได้ถึงพลังงานความร้อนที่ไหลผ่านม่านพลังออกมา ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่สามารถที่จะสร้างม่านพลังที่แข็งแกร่งพอจะกันพลังความร้อนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลู่โจวไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องทนรับพลังมันต่อไป
‘ถ้าเป็นความร้อนระดับนี้ต้องทนได้แน่’
เปลวไฟยังคงแผดเผาไปที่ธนูฟากฟ้า เปลวไฟค่อยๆ เปลี่ยนสีจากสีแดงเข้มจนเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินเข้ม เมื่อถูกความร้อนอันร้อนระอุธนูฟากฟ้าก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงไป
ลู่โจวได้ใช้พลังลมปราณของตัวเองห่อไปที่ธนูฟากฟ้า การสกัดเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ลู่โจวคิด ตั้งแต่ที่เริ่มกระบวนการสกัด ลู่โจวยังไม่ได้เห็นของชิ้นไหนที่ดูเหมือนกับเศษเสี้ยวฟากฟ้าปรากฏตัวออกมาเลย
ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ลู่โจวได้แต่รอต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
พลังที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องรางขัดเกลาดูแปลกมาก…พลังของมันจะคงอยู่ต่อไปตราบใดที่ลู่โจวยังไม่ยกเลิกการใช้ พลังของมันดูไม่อ่อนแรงลงเลย
กระบวนการขัดเกลาครั้งล่าสุดได้ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงด้วยกัน
ธนูฟากฟ้าเริ่มเปลี่ยนจนกลายเป็นสีแดงมากยิ่งขึ้น
“หืม? ” ลู่โจวสังเกตเห็นถึงวัสดุส่วนใหญ่ที่กำลังถูกหลอมละลายไป มันถูกหลอมด้วยพลังเปลวไฟที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นแบบนั้นลู่โจวก็รีบถอยออกมาจากพลังเปลวไฟ
พรึ๊บ!
โลหะที่ติดอยู่บนธนูถูกหลอมละลายจนกลายเป็นของเหลวไป โลหะที่ถูกหลอมเหลวไหลลงสู่พื้นก่อนที่จะแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เศษเสี้ยวฟากฟ้า 3 ชิ้นไม่สามารถสร้างอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้! “
ไม่มีทางที่วิธีการหลอมอาวุธแบบธรรมดาๆ เข้ากับวัตถุดิบระดับต่ำจะสามารถใช้วัสดุพวกนี้สร้างอาวุธที่ดีได้
และเพราะการใช้วัตถุดิบระดับต่ำทำให้ลู่โจวสามารถแยกเศษเสี้ยวฟากฟ้าได้ง่ายขึ้น วัตถุดิบระดับต่ำไม่สามารถที่จะทนต่อความร้อนสูงได้ พวกมันจะถูกพลังจากเปลวไฟแผดเผาก่อนที่จะละลายเป็นสิ่งแรก
วัตถุดิบทั้งหลายที่ใช้ธนูได้ถูกหลอมเหลวต่อไป
สองชั่วโมงได้ผ่านไปภายในพริบตา
โชคดีที่ลู่โจวทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มามากแล้ว เพราะแบบนั้นในตอนนี้จิตใจของตัวเขาจึงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะต้องรอการขัดเกลานานแค่ไหนแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
พรี๊บ!
ของเหลวที่ถูกหลอมหยดสุดท้ายได้ร่วงลงมา ลู่โจวได้โบกแขนออกมาเบาๆ ในตอนนั้นเองพลังความร้อนของเครื่องรางขัดเกลาก็ได้จางหายไป ที่ตรงหน้าของลู่โจวเหลือเพียงเศษเสี้ยวฟากฟ้า 3 ชิ้นลอยอยู่
“ติ้ง! ได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้า x3 ได้รับรางวัลแต้มบุญ 300”
“ติ้ง! เสร็จสิ้นภารกิจรวบรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้า ได้รับรางวัลแต้มบุญ 1,000”
“จะหลอมรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้าเลยไหม? ” เมื่อเห็นคำถามแบบนั้นลู่โจวก็ได้พยักหน้า
เศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งแปดชิ้นเคยเป็นเพียงแค่ของชิ้นเดียวในตอนแรก ในตอนที่จีเทียนเด๋าเพิ่งจะได้รับมา จีเทียนเด๋าในตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นแค่ของธรรมดาๆ ดูเหมือนว่าคนอย่างจีเทียนเด๋าเองก็เคยทำพลาดมาเหมือนกัน
“ผสมผสานเลย”
เศษเสี้ยวทั้งหมดที่กำลังลอยอยู่ได้ผสานกันจนกลายเป็นหนึ่ง
ลู่โจวได้แต่จ้องมองของชิ้นนั้นด้วยความตกใจ
‘มันจะกลายเป็นอะไรกันแน่นะ? ‘