My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 215
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ทุกคนรู้สึกสนใจ
ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง, โจวจี้เฟิง, จ้าวยู่, หยวนเอ๋อ และเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราต่างก็มุ่งหน้าไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
แม้แต่ฝานซุยเหวินที่กำลังพักฟื้นตัวเองอยู่ก็ได้เดินออกจากห้องก่อนที่จะจ้องมองไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า แม้ว่าตัวเขาจะมีประสบการณ์รวมไปถึงความรู้มากมายขนาดไหน ฝานซุยเหวินก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นอยู่ดี ตัวเขาได้แต่ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดกับตัวเอง “เป็นไปได้ไหมที่มหาวายร้ายคนนั้นตั้งใจที่จะดูดซับพลังจากม่านพลังไปก็เพื่อที่จะรักษาพลังวรยุทธที่สูญหายของตัวเขากัน? ” จากจุดที่ฝานซุยเหวินอยู่ ตัวเขาสามารถมองเห็นพลังลมปราณทั้งหลายจากม่านพลังภูเขาทองที่ถูกดูดไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
“แก่นแท้ของม่านพลังอย่างงั้นสินะ? ” ในที่สุดฝานซุยเหวินดูเหมือนจะจำได้แล้วว่าคลื่นพลังที่กำลังก่อตัวอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้าคืออะไร
แก่นแท้ของม่านพลังเป็นพลังที่สามารถใช้ควบคุมม่านพลังได้ทั้งหมด ผู้ฝึกยุทธบางคนเลือกที่จะเก็บซ่อนแก่นแท้ของม่านพลังนี้เอาไว้ในที่ที่ลับที่สุดเพื่อไม่ให้ศัตรูทั้งหลายสามารถหามันพบได้ นอกเหนือจากนั้นแก่นแท้ของม่านพลังยังเป็นจุดที่สามารถถ่ายโอนพลังเพื่อปรับปรุงม่านพลังได้
ภูเขาทองเป็นสถานที่ที่มีการปกป้องสุดมหัศจรรย์อยู่ รูปแบบม่านพลังป้องกันของมันทรงพลังจนเกินกว่าที่สิบสุดยอดสำนักจากฝ่ายธรรมะจะสามารถฝ่าไปได้ ฝานซุยเหวินไม่ได้คาดคิดเลยว่าของที่สำคัญแบบนี้จะตั้งอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ไม่ว่าจะยังไงในตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมม่านพลังถึงถูกดูดกลับไปแบบนี้? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลังจากนั้นไม่นานฝานซุยเหวินก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ‘มีใครบางคนทำให้ม่านพลังของภูเขาทองอ่อนกำลังลงสินะ! ‘
ม่านพลังทั้งหลายเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับโลกแห่งยุทธภพ ถ้าหากจะให้ยกตัวอย่างก็คงจะเป็นสำนักเที่ยงธรรม ในตอนนี้สำนักเที่ยงธรรมอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นสำนักเที่ยงธรรมก็ยังสามารถอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะม่านพลังที่มีอยู่ในแท่นบูชาหยกเขียวนั่นเอง
แท่นบูชาทั้งแปดของสำนักหยุนเองก็มีพลังป้องกันเป็นของตัวเอง มันเป็นพลังที่มาจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา
ฝานซุยเหวินไม่อาจที่จะเข้าใจสิ่งที่เห็นได้เลย ‘ศาลาปีศาจลอยฟ้าพยายามที่จะทำอะไรกันแน่? ‘ ถ้าหากม่านพลังหายไปจริง ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะหยุดยั้งเหล่าผู้ฝึกยุทธฝ่ายธรรมะได้ยังไงกัน ถ้าหากเจ้าพวกนั้นทำการโจมตีอีกครั้ง?
ฟรึ๊บ!
แรงสั่นสะเทือนจากคลื่นพลังมีมากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป
ฝานซุยเหวินตัดสินใจที่จะไปดูให้เห็นกับตา ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าเปรียบเสมือนบ้านหลังเดียวที่ตัวเขาเหลืออยู่ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจริงตัวเขาก็คงจะไม่มีที่ให้ไปอีกต่อไป ฝานซุยเหวินต้องฝืนทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ก่อนที่จะพยายามไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากนั้นไม่นานฝานซุยเหวินก็ได้เดินเข้ามาใกล้ศาลาปีศาจลอยฟ้า ‘หืม? ขอทานเฒ่าคนนี้มาทำอะไรที่นี่กัน? ‘
ฝานซุยเหวินเป็นเหมือนกับทุกคน ในสายตาของเขาชายชราคนนี้เป็นเพียงขอทานธรรมดาๆ เท่านั้น ตัวเขาที่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นได้พูดถามออกมา “เจ้าเป็นใครกัน? “
ขอทานเฒ่านอนอยู่บนพื้น ตัวเขาได้หันหลังให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าและฝานซุยเหวิน เมื่อได้ยินเสียงของฝานซุยเหวิน ตัวเขาก็ได้หันหลังกลับมาอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะเหลือบมองฝานซุยเหวิน
ฝานลี่เทียนรู้สึกตกใจมากเมื่อได้เห็นฝานซุยเหวินปรากฏตัว ใบหน้าของฝานซุยเหวินเสียโฉมไปเกือบครึ่ง ใบหน้าของเขาที่ไร้ซึ่งหน้ากากทำให้โฉมหน้าที่แท้จริงดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ในที่สุดฝานลี่เทียนก็ได้ยกขวดเหล้าขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อดื่มเหล้าดีๆ …เหล้าดีๆ ก็เท่านั้น…เจ้าเองอยากจะลองดื่มด้วยกันไหมล่ะ? ” ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้เลย
ฝานซุยเหวินมองไปที่ขอทานเฒ่าก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ” ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เข้าใจง่ายไปกว่าหยวนเอ๋อเลย ใครก็ตามที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้คนคนนั้นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ฝานลี่เทียนได้หัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญหรอก…ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมาสินะ”
“นั่นไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า”
“ข้าได้เดินทางจากทางใต้ขึ้นมาสู่ทางเหนือ ข้าน่ะพบเจอผู้คนมามากมายหลายคน…ชายหนุ่มแบบเจ้าคงจะดีกว่าถ้าอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่เข้าหาผู้คนอย่างไม่เป็นมิตรแบบนั้น” ขอทานชราได้แนะนำฝานซุยเหวินในฐานะที่เป็นคนแก่คนเฒ่า
ฝานซุยเหวินขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าล่ะทำไมถึงเลือกจะเรียกข้าว่าชายหนุ่มกันล่ะ? “
“หืม? ” ฝานลี่เทียนหรี่ตาลงก่อนที่จะมองไปยังฝานซุยเหวิน
ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมา “ผู้น้อยอย่างข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอง ข้าจะไม่ถือสาเรื่องนี้กับเจ้าก็แล้วกัน”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
ทั้งสองต่างก็จ้องหน้ากันชั่วครู่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของกันและกันก่อนที่จะมองไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าในท้ายที่สุด
เวลาไม่เคยคอยใคร ในตอนนี้รูปลักษณ์ของพวกเขาทั้งคู่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว เพราะแบบนั้นการที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถจำกันและกันได้จึงไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าแปลกอะไร แม้ว่าขอทานชราจะดูเป็นเหมือนกับคนธรรมดาๆ แต่ฝานซุยเหวินก็ไม่กล้าที่จะประมาทชายชราคนนี้
ในตอนนั้นเองคลื่นพลังยังคงวนเวียนอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า
เหล่าสาวกทั้งหลายต่างก็จ้องมองสิ่งนี้ด้วยความสับสน
“ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านเป็นผู้ทรงความรู้มากที่สุด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ” ต้วนมู่เฉิงชี้ไปยังกระแสพลังลมปราณที่อยู่ด้านบน
คิ้วของฮั๊ววู่เด๋าขมวดเข้าหากันก่อนที่ตัวเขาจะได้พูดอะไรออกมา “มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับแก่นแท้ของม่านพลังยังไงล่ะ! “
“นับตั้งแต่ที่สำนักเที่ยงธรรมและสำนักดาบสวรรค์มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ในตอนนั้นท่านอาจารย์ก็ได้ใช้พลังของตัวเองทั้งหมดเพื่อฟื้นฟูแก่นแท้ของม่านพลังนี่…ถ้าหากเป็นพลังของท่านอาจารย์เองมันก็ควรจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแบบนี้สิ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมา
เมื่อพูดถึงสำนักดาบสวรรค์ โจวจี้เฟิงที่อยู่ไม่ไกลมากก็ได้แต่ลำบากใจ ในตอนนี้ตัวเขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวเขายังได้เห็นลู่โจวฟื้นฟูม่านพลังทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
หยวนเอ๋อไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร “จะต้องไม่เป็นไรแน่แม้ว่าม่านพลังจะสลายหายไป…ยังไงซะพวกสำนักฝ่ายธรรมะก็ไม่กล้าที่จะบุกมาหาพวกเราแน่! “
คนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกแบบหยวนเอ๋อ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่ดูเป็นกังวล
จ้าวยู่ในตอนนั้นได้พูดเป็นคนต่อมา “ท่านอาจารย์ยังคงเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่…บางทีพวกเราอาจจะทำอะไรไม่ได้เลยก็ได้”
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายที่ศิษย์น้องสี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าหากศิษย์น้องสี่อยู่เขาจะต้องแสดงความคิดเห็นดีๆ ออกมาแน่”
แม้ว่าหมิงซี่หยินจะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์แต่ถึงแบบนั้นความคิดเห็นของเขาก็ยังถือว่าเป็นความคิดเห็นที่ดี
ในขณะที่เหล่าสาวกทั้งหมดกำลังคุยกัน ในตอนนั้นเองคลื่นพลังที่มารวมตัวกันก็ได้ขยายใหญ่ยิ่งขึ้น มันได้ดูดซับพลังจากม่านพลังไปเป็นจำนวนมากแล้วนั่นเอง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? “
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมา “เห็นทีพวกเราจะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้แล้ว! พวกเราจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับท่านปรมาจารย์ได้ทราบ! “
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฮั๊ววู่เด๋าถือว่าเป็นผู้อาวุโสในบรรดาสาวกทั้งหมด ตัวเขาได้เดินพาทุกคนไปที่ห้องโถงใหญ่ คนอื่นๆ ได้เดินตามฮั๊ววู่เด๋ามาติดๆ พวกเขาทั้งหมดได้เดินผ่านทางที่ดูมืดสลัวก่อนที่จะมาถึงประตูหน้าห้องลับ
ห้องลับยังคงถูกปิดผนึกเป็นอย่างดี ประตูห้องลับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บเสียงส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่ในตอนนี้ไม่มีทางเลยที่ห้องลับจะไม่ได้ยินเสียงพลังที่มารวมตัวกันเหนือศาลาปีศาจลอยฟ้าได้
ทุกๆ คนต่างก็โค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน
“ท่านปรมาจารย์”
“ท่านอาจารย์”
แม้ว่าที่ด้านนอกห้องลับจะส่งเสียงทักทายไปดังแค่ไหน แต่ภายในห้องลับก็ยังคงเงียบเช่นเดิม
ทุกๆ คนต่างก็สบตากัน “ท่านอาจารย์? ” ต้วนมู่เฉิงพยายามส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ฮั๊ววู่เด๋าเดินไปที่ประตูของห้องลับก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาอย่างสุดเสียง “ข้าฮั๊ววู่เด๋ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะพบท่าน” ฮั๊ววู่เด๋าได้ขยายเสียงของตัวเองด้วยพลังลมปราณ แม้ว่าจะมีประตูหินกั้นขวางตัวเขาเอาไว้ แต่ภายในห้องลับนั่นจะต้องได้ยินเสียงทุกอย่างของตัวเขาได้อย่างชัดเจนแน่
แต่ไม่ว่าจะยังไงลู่โจวก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรอ? “
“ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วท่านอาจารย์จะไปอยู่ที่ไหนได้? ที่ศาลาทางทิศตะวันออก, ทิศตะวันตก, ทิศเหนือ และทิศใต้ต่างก็มีคนคอยเดินตรวจตราทำความสะอาดอยู่ทั้งวัน ไม่มีทางเลยที่คนพวกนั้นจะไม่เห็นท่านอาจารย์ได้ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดแสดงความคิดเห็นขึ้น
ฮั๊ววู๋เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “พวกเรามาสงบสติอารมณ์กันก่อน ข้าพอจะตรวจสอบเรื่องนี้ได้”
ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองมามากพอจะสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ใกล้กับตัวเองได้ มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวรยุทธที่แกร่งกล้าเกินกว่าผู้ตรวจสอบมากจนเกินไปที่เลือกจะเก็บซ่อนพลังของตัวเองเท่านั้นที่ไม่อาจจะตรวจสอบเจอได้
และเนื่องจากฮั๊ววู่เด๋าเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธสูงที่สุดแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเหมาะแล้วที่จะรับหน้าที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวคงจะไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้
ฮั๊ววู่เด๋าได้วางมือลงบนประตูหินห้องลับ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ใช้พลังลมปราณที่มีถ่ายโอนไปที่ประตูที่อยู่ตรงหน้า ด้วยการสัมผัสจากระยะประชิดแบบนี้ตัวเขาจะต้องรู้ได้แน่ว่ามีใครอยู่ในห้องลับบ้างไหม
ฮั๊ววู่เด๋าหลับตาลง หูทั้งสองข้างของตัวเขากระตุกเล็กน้อย
พลังลมปราณของตัวเขากำลังไหลเข้าไปในห้องลับ
ภายในห้องลับมันทั้งเงียบสงบและดูอบอุ่น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องลับห้องนี้
ฮั๊ววู่เด๋ายังคงตรวจสอบห้องต่อไป ในตอนนั้นเองตัวเขาก็รู้สึกถึงพลังอันทรงพลังที่กำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว มันเป็นพลังที่เชื่อมต่อกับพลังที่อยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า
ฮั๊ววู่เด๋าลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะดึงฝ่ามือกลับ!
“ผู้อาวุโสฮั๊ว สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกมาอย่างร้อนใจ
“ท่านปรมาจารย์…บางทีท่านปรมาจารย์อาจจะกำลังแย่! “
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกใจ
โดยปกติแล้วผู้ฝึกยุทธมักจะเก็บตัวเองฝึกฝนอย่างสันโดษเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองให้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเดิมจนมีพลังเพิ่มขึ้นได้ มีคนมากมายที่ไม่อาจที่จะไปถึงขั้นนั้นได้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่ล้มเหลวมักจะมีสภาพที่ไม่สู้ดี
ผู้ฝึกยุทธที่ไม่อาจจะก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้ส่วนมากแล้วคนพวกนั้นก็จะได้รับผลเสียที่ติดตัวตามมา เส้นพลังลมปราณ, จุดตันเถียนของผู้ฝึกคนนั้นจะได้รับความเสียหาย บางทีในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคนคนนั้นอาจจะเป็นอัมพาตไปตลอดทั้งชีวิต หรือบางทีถ้าหากแย่กว่านั้นผู้ฝึกยุทธคนนั้นอาจจะสูญเสียพลังวรยุทธที่ตัวเองมีทั้งหมดไปและอาจที่จะอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้!
“เป็นไปไม่ได้! ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านไม่ควรด่วนสรุปแบบนั้น! ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างขุ่นเคือง
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาตรงๆ “ภายในห้องเต็มไปด้วยความผันผวนของพลังลมปราณ…ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของม่านพลังทั้งหมดที่กำลังลงมาบรรจบกันที่ห้องลับแห่งนี้ ที่ที่เป็นแก่นแท้ของม่านพลัง! ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าเองก็ลองตรวจสอบห้องนั้นดูได้! “
ต้วนมู่เฉิงเป็นคนแรกที่เดินไปที่ประตู ตัวเขาได้ตรวจสอบห้องลับก่อนที่จะพบว่าสิ่งที่ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง พลังลมปราณภายในห้องผันผวนเกินกว่าที่จะอธิบายได้…นี่เป็นสัญญาณของผู้ฝึกยุทธที่กำลังแย่!
“ศิษย์พี่สาม พวกเราจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ! พวกเราจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้! ” จ้าวยู่รู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
ต้วนมู่เฉิงได้เกาหัวของตัวเขา สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ประตูหินที่อยู่ตรงหน้า ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นได้แต่ส่ายหัว
ฮั๊ววู่เด๋าได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “ในตอนนี้พวกเรามีสองทางเลือกด้วยกัน”
“ทางเลือกอะไรอย่างงั้นหรอ? “
“ทางเลือกแรก พวกเราทุกคนช่วยกันทำลายประตูห้องลับก่อนที่จะรวมพลังกันเพื่อทำให้พลังที่ผันผวนเสถียรอีกครั้ง แม้ว่าพลังที่อยู่ในห้องจะเป็นพลังของทานปรมาจารย์เพียงคนเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันเลยว่าพวกเราจะสามารถทำสำเร็จได้ ทางเลือกที่สองก็คือการรอต่อไป มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ผู้ฝึกยุทธที่กำลังแย่จะสามารถฝึกฝนตัวเองได้สำเร็จจนสามารถก้าวข้ามผ่านพลังที่ตัวเองมีและรอดจากสถานการณ์ที่เป็นเหมือนกับบททดสอบแบบนี้ แต่โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ไม่ได้มีมากมายอะไรเลย”
หยวนเอ๋อเป็นคนแรกที่พูดขึ้น “แล้วพวกเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะ? รีบพังประตูกันเถอะ! ศิษย์พี่เร็วเข้า! “
ฮั๊ววู่เด๋าได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อไป “ถ้าหากเป็นแบบนี้แล้วพวกเราก็มาเลือกทางเลือกแรกกันเถอะ ผู้ที่มีพลังวรยุทธต่ำกว่าขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์รีบถอยออกไปซะ! ” ฮั๊ววู่เด๋าเองก็เห็นด้วยกับทางเลือกแรก
ต้วนมู่เฉิงได้พูดขึ้น “ข้าเองก็เห็นด้วย” ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ได้ถอยออกไป ในสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้การที่พวกนางจะอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเป็นภาระเท่านั้น
แต่ถึงแบบนั้นจ้าวยู่ก็ไม่ได้ถอยออกไป นางได้เลือกที่จะพูดขึ้นมาแทน “ข้าจะอยู่ที่นี่” นางรู้ดีว่าถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เป็นอาจารย์ ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็จะถึงวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน
ไม่ว่าทุกๆ คนจะมีความคิดเห็นแบบไหน ท้ายที่สุดแล้วความจริงนี้ก็ยังคงเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
เมื่อผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลายจากไป เสียงพลังผันผวนก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงที่ดังขึ้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าพลังที่อยู่ภายในห้องกำลังทรงพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ฝานซุยเหวินและฝานลี่เทียนต่างก็สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
ฝานซุยเหวินได้มองไปที่พลังทั้งหมดที่มาบรรจบกัน ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังค้นพบสิ่งใหม่แล้ว “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ยอมแพ้ให้กับการแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์แม้ว่าจะผ่านมาสักกี่ปีสินะ…”
ฝานลี่เทียนได้เหลือบมองไปที่เขาก่อนที่จะพูดออกมา “มีเกิด, มีแก่ มีเจ็บและมีตาย ยังไงซะวัฏจักรนี้ก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้…มีผู้ที่ต้องการหลีกหนีความจริงมานักต่อนักแล้ว แต่ท้ายที่สุดพวกเขาต่างก็พบจุดจบเดียวกัน…”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเปิดใจกว้างกับเรื่องนี้ซะจริงนะ แล้วทำไมเจ้าไม่กระโดดลงหน้าผาไปเพื่อจบชีวิตตัวเองซะเลยล่ะ? ” ฝานซุยเหวินชี้ไปยังหน้าผาที่อยู่ใกล้ๆ
“ได้โปรดอย่าจริงจังนักเลย ข้าในตอนนี้ก็ได้เหมือนกับตายไปแล้ว แต่ในทางกลับกันเจ้าน่ะยังหนุ่มยังแน่น เจ้าน่ะยังมีหนทางอีกยาวไกล เมื่ออายุเจ้าใกล้เคียงกับข้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ แม้ว่าจะสูญเสียพลังไปแต่ตัวเขาไม่ได้สูญเสียประสบการณ์ที่ผ่านมา
ฝานซุยเหวินได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าวของเขา “ในตอนที่ข้ามีอำนาจสูงสุด ในตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำไป”