My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 218
สีวู่หยาได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจ “ในสิบสุดยอดสำนักแห่งฝ่ายธรรมะทั้ง 10 นอกเหนือจากสำนักหมู่ดาวทั้งเจ็ดและสำนักดวงใจที่ไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรสำนักฝ่ายอธรรมดูเหมือนว่าสำนักที่มีแนวโน้มที่จะลุกขึ้นสู้คงจะมีเพียงสำนักฝ่ายธรรมะอย่าง สำนักดาบสวรรค์, สำนักเที่ยงธรรม, สำนักแห่งความบริสุทธิ์และสำนักเซียนสวรรค์ทุกสำนักล้วนแต่มีรากฐานมาจากวิถีแห่งเต๋า ส่วนวิหารแห่งความโชคดี, สำนักย่อยเฮ้งชู, สำนักย่อยเจ่งคาง, สำนักย่อยต้วนลิน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีรากฐานมาจากวิถีขงจื๊อ สำนักที่มาจากวิถีขงจื๊อส่วนมากจะมีแนวคิดที่นุ่มนวลและอ่อนโยนมากกว่า โดยปกติแล้วพวกเขามักจะไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับสำนักฝ่ายอธรรม จะมีก็แต่สำนักที่มาจากวิถีแห่งเต๋าเท่านั้นที่ขัดแย้งกับสำนักฝ่ายอธรรมเรื่อยมา” สีวู่หยาได้หยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไป
“ผู้อาวุโสแห่งสำนักเที่ยงธรรมอย่างจางฉิวชูและจางชุนไหลต่างก็ได้ตายจากไปเพราะฝีมือของศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าสำนักดาบสวรรค์อย่างลั่วจางเฟิงเองก็ถูกท่านอาจารย์สังหารด้วยกระบวนท่าเพียงกระบวนท่าเดียวที่หุบเขาทอง สำนักแห่งความบริสุทธิ์ในตอนนี้ก็ไม่มีเวลามากพอเพราะต้องรับมือกับศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนสำนักเซียนสวรรค์เองก็ยังไม่ได้รีบเคลื่อนไหวอะไร ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่สำนักเที่ยงธรรมและสำนักดาบสวรรค์จะเป็นฝ่ายเริ่มบุกโจมตีก่อน แต่ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักเที่ยงธรรมอย่างจางหยวนฉานเป็นผู้ที่ขี้ขลาดยิ่งกว่าไหนๆ จางหยวนฉานเคยพบกับเจ้าวิหารปีศาจอย่างเร็นบู้ผิงที่แท่นบูชาหยกเขียวเพื่อเจรจาขอร่วมมือกัน ในตอนนี้เร็นบู้ผิงได้ตายจากไปแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จางหยวนฉานจะกลัวเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหวได้”
ยู่เฉิงไห่ไม่เข้าใจคำพูดของสีวู่หยา ตลอดเวลากว่าหลายปีในการบริหารสำนักอเวจี ถ้าหากตัวเขามีลูกน้องที่คอยรายงานข่าวทั้งหมดที่ว่ามานี้อยู่เป็นประจำในตอนนี้ยู่เฉิงไห่ในฐานะเจ้าสำนักคงจะหมดแรงจนตายไปซะก่อนแล้ว
“พูดเข้าเรื่องได้แล้ว “
“สำนักดาบสวรรค์ไงล่ะศิษย์พี่” สีวู่หยาได้พูดต่อไป
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ลั่วฉางเฟิง เจ้าสำนักดาบสวรรค์ได้ตายจากไปแล้ว ยอดฝีมืออย่างโจวจี้เฟิงจากสำนักดาบสวรรค์เองก็ทรยศก่อนที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไป สำนักดาบสวรรค์คงจะเคียดแค้นศาลาปีศาจลอยฟ้าจนเข้ากระดูกดำแน่”
“อดีตเจ้าสำนักดาบสวรรค์อย่างลั่วซิงกงได้เก็บตัวฝึกฝนตัวเองมากกว่าหลายปีแล้ว การจากไปของผู้ที่เป็นลูกชายของเขาจะต้องทำให้อดีตเจ้าสำนักคนนี้นั่งไม่ติดแน่ ลั่วซิงกงคงจะไม่นิ่งดูดายต่อไปแน่นอน” สีวู่หยาได้พูดเสริมออกมา
“เจ้านั่นคงจะโทษใครเรื่องนี้ไม่ได้ เจ้านั่นน่ะเป็นคนหาเรื่องก่อนเอง”
ในตอนที่ภูเขาทองถูกบุกโจมตี ในตอนนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่โจวจะสามารถเอาชนะคนทั้งหมดจนขับไล่ทุกๆ คนออกไปจากภูเขาทองได้ ลั่วฉางเฟิงผิดเองที่ไปยั่วยุลู่โจวมากเกินไป เพราะแบบนั้นเขาจึงจะต้องตายเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง สุดท้ายลั่วฉางเฟิงจึงต้องแบกรับโทษด้วยตัวเองไป
“ท่านกำลังวางแผนที่จะเคลื่อนไหวอีกแล้วสินะศิษย์พี่ใหญ่? ” สีวู่หยาได้ถามออกมาอีกครั้ง
แต่ยู่เฉิงไห่ยังคงเงียบ
สีวู่หยาเองก็ไม่ได้คาดหวังที่จะได้ฟังคำตอบ ตัวเขาพอจะคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของผู้เป็นศิษย์พี่ได้อยู่บ้าง ในตอนที่วังจันทราของยี่เทียนซินถูกวิหารปีศาจบุกโจมตี ในตอนนั้นยู่เฉิงไห่ก็ไม่ได้ลงมือที่จะทำอะไรเลย ยี่เทียนซินได้หลอกลวงผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่จะทรยศเขาในท้ายที่สุด เพราะแบบนั้นเองยู่เฉิงไห่จึงไม่ได้ตัดสินใจที่จะช่วยนาง แต่ไม่ว่าจะยังไงในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ยู่เฉิงไห่ก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เป็นไปไม่ได้เลยที่ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้จะไม่ได้เคลื่อนไหวทำอะไร ในท้ายที่สุดแล้วสีวู่หยาก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านกำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกอย่างงั้นหรอศิษย์พี่ใหญ่? “
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าน่ะเป็นคนที่ใจกว้างมาโดยตลอด แม้ว่าศิษย์พี่รองของเจ้าจะฆ่าคนของข้าไปมากมายสักแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยที่จะตำหนิอะไรเขา ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เรากำลังพูดถึงท่านอาจารย์กันอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะทอดทิ้งผู้เป็นอาจารย์หรือไงกัน? ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น
สีหน้าของสีวู่หยายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตัวเขาได้แต่ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ‘ศิษย์พี่เลือกที่จะหันดาบใส่ท่านอาจารย์และได้ประลองกับศิษย์พี่รอง… แต่ในตอนนี้ศิษย์พี่บอกว่าตัวเองไม่เคยตำหนิอะไรอย่างงั้นหรอ? ‘ แม้ว่าจะคิดแบบนั้นแต่สีวู่หยาก็ไม่ได้เลือกที่จะพูดมันออกมา “ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่ใหญ่”
“แม้ว่าข้าจะทำอะไรเพื่อที่จะขับไล่สำนักดาบสวรรค์ออกไป แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้านี้จะเป็นยังไงต่อล่ะ? ในเมื่อม่านพลังอ่อนแอลงแบบนี้จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับศาลาปีศาจลอยฟ้าในอีก 5 ปีข้างหน้าแน่”
นับตั้งแต่ที่ยู่เฉิงไห่, ยู่ฉางตง และศิษย์คนอื่นๆ ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป เหล่ายอดฝีมือทั้ง 10 ก็เริ่มบุกโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด พวกเขาได้บุกโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่น้อยกว่า 5 ครั้งมาแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการบุกโจมตีอยู่หลายครั้งแต่มีเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่เป็นการบุกอย่างเอาจริงเอาจัง ครั้งแรกเป็นครั้งที่สิบสุดยอดฝีมือได้วางกับดักเอาไว้ก่อนก่อนที่จะโจมตีจีเทียนเด๋าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนครั้งที่สองเป็นครั้งที่สิบยอดฝีมือบุกโจมตีภูเขาทอง ในครั้งนั้นลั่วฉางเฟิงถูกสังหารไป
ไม่มีใครรู้ว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ไม่ว่าจะเป็นยังไงแต่จะต้องมีเหล่ายอดฝีมือมากมายรอคอยโอกาสนี้อยู่ ช่วงเวลาของจีเทียนเด๋าใกล้ที่จะหมดลงเต็มที พลังวรยุทธที่ตัวเขามีเองจะต้องถดถอยลงเป็นเรื่องธรรมดา
การที่ม่านพลังอ่อนกำลังลงแบบนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดี
“5 ปีอย่างงั้นสินะ…” สีวู่หยาได้พึมพำออกมา “ในยุทธภพจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใน 5 ปีกัน? “
เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้ยิ้มออกมา “ศิษย์น้องเจ็ด การคิดถึงอนาคตที่เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรหรอก…สำหรับข้าเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือการรับมือกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์”
ทันทีที่ยู่เฉิงไห่พูดจบ ฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้าก็ได้เดินเข้ามา ตัวเขาได้คารวะทั้งคู่ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ม่อหลี่เจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้หนีไปแล้ว…ยู่ฮงยีเป็นคนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ที่นั่น พวกเราจะต้องจัดการกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้ภายใน 10 วันนี้แน่”
“ดีมาก” สีหน้าของยู่เฉิงไห่เปลี่ยนไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “แล้วเจ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับฝานลี่เทียนไหม? “
“ข้าจับผู้ฝึกยุทธจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์มาแล้วมากมายหลายคน ข้าได้ทรมานผู้ฝึกยุทธทั้งหมดแล้ว…แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาหายไปไหน ฝานลี่เทียนได้ออกจากสำนักเมื่อหลายสิบปีก่อนและไม่กลับมาอีก” ฮั๊งจงหยางได้ตอบกลับมา
สีวู่หยาที่ฟังแบบนั้นรู้สึกสับสน “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้? “
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” ฮั๊วจงหยางส่ายหัวปฏิเสธ
ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา “เจ้าเองก็สนใจชายคนนี้หรอศิษย์น้อง? “
“สำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วศิษย์พี่ใหญ่ ฝานลี่เทียนเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะยังซ่อนตัวอยู่ในตอนนี้…” สีวู่หยาได้หยุดพูดก่อนที่จะพูดต่อไป “มีความเป็นไปได้เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น ความเป็นไปได้แรกฝานลี่เทียนได้ตายจากไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้นี้ดูไม่น่าจะเป็นไปได้สูง ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่มีวรยุทธลึกล้ำ ข้าคิดว่าคงจะไม่มีใครสังหารเขาได้ถ้าหากเขาคิดหนี ส่วนความเป็นไปได้ที่สองฝานลี่เทียนอาจจะมีความบาดหมางอะไรกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ก็เป็นได้”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าความเป็นไปได้สองมีความเป็นไปได้มากกว่าสินะ…” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับสำนักอเวจีอีกต่อไป ถ้าหากฝานลี่เทียนไม่เลือกที่จะแสดงตัว สำนักแห่งความบริสุทธิ์จะต้องถูกทำลายในไม่ช้านี้ แต่ถ้าหากฝานลี่เทียนเลือกที่จะแสดงตัวจริง นั่นก็จะดีกับยู่เฉิงไห่เอง ยู่เฉิงไห่กำลังรอคอยคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมาโดยตลอด
“ประกาศคำสั่งของข้าออกไป คนที่ยอมแพ้จะมีชีวิตต่อส่วนคนที่ต่อต้านจะต้องตาย” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา
“ได้ครับท่านเจ้าสำนัก! “
สามวันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
นกพิราบสื่อสารได้บินมาจากทางทิศเหนือของมณฑลหยางอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมันก็หยุดตัวลงตรงที่ม่านพลังของภูเขาทอง
ภายในศาลาทางทิศตะวันออก
ลู่โจวในวันนี้เพิ่งจะหยุดการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ หลังจากที่ผ่านไปสามวันตัวเขาก็รู้สึกได้ว่าพลังวิเศษที่มีกำลังฟื้นฟูมามากว่าครึ่งแล้ว ตัวเขาจะต้องใช้เวลา 10 วันกว่าที่จะฟื้นฟูตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุดนี้ก็คือสิ่งที่ลู่โจวทำได้ ตัวเขายิ่งทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งฟื้นฟูพลังวิเศษได้มากขึ้นเท่านั้น เส้นทางการฝึกฝนตนมันช่างยาวไกล ถึงแม้ว่าจะเร่งรีบไปก็คงจะไม่ได้อะไร
“เอาล่ะมาดูราคาการ์ดวิเศษดีกว่า…”
ลู่โจวรู้สึกกังวลว่าระบบจะขึ้นราคาของที่มีเหมือนกับในสมัยก่อน เมื่อมองดูร้านค้าของระบบมันยังคงมีราคาเท่าเดิม โชคดีที่ไม่มีการขึ้นราคา
“เอ๊ะ? นี่มัน…”
เมื่อลู่โจวเหลือบมองไปที่ภารกิจ ตัวเขาก็สังเกตเห็นภารกิจใหม่ที่ปรากฏขึ้นมา มันเป็นภารกิจตามหากุญแจที่สาบสูญ: 0/1
“กุญแจที่สาบสูญ? ” ตัวเขาพยายามนึกถึงความทรงจำที่มี แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่พบอะไรเกี่ยวกับกุญแจ
สีหน้าของลู่โจวเปลี่ยนไป ‘หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับความทรงจำที่สูญหายกัน? ‘
เมื่อลู่โจวมีเวลาว่าง ตัวเขามักจะใช้เวลาไปกับการฟื้นฟูความทรงจำที่ขาดหาย ความทรงจำของจีเทียนเด๋าที่มีเป็นความทรงจำที่เหมือนกับเศษกระดาษที่ถูกฉีกขาด การที่จะรวบรวมปะติดปะต่อความทรงจำทั้งหมดให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เป็นอะไรที่ยากมาก ดังนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะยอมแพ้ไป
เนื่องจากภารกิจที่มีคือการค้นหากุญแจที่หายสาบสูญ ดังนั้นมันจะต้องเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่ถูกปิดเอาไว้ มันจะต้องเป็นภาชนะบางอย่าง, กล่อง หรือแม้แต่ตู้อะไรสักอย่าง
ในศาลาปีศาจลอยฟ้าดูเหมือนสถานที่ที่ดูน่าจะมีของเก็บมากที่สุดก็คงจะเป็นห้องลับ ศาลาทางทิศเหนือเองก็เป็นโกดังเก็บของเช่นกัน ที่นั่นเป็นสถานที่รวบรวมกล่องต่างๆ เอาไว้
สิ่งนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าทฤษฎีของลู่โจวนั้นถูกต้อง ในตอนที่ตัวเขามาถึงโลกใบนี้ จีเทียนเด๋าไม่ได้สูญเสียของอะไรไป ของที่จีเทียนเด๋ามีได้กระจัดกระจายไปทั่วก็เท่านั้น ทั้งอาวุธของลูกศิษย์ทั้งหลาย, เศษเสี้ยวฟากฟ้า หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่เหล่าสาวกเลือกฝึกต่างก็ถูกเก็บเอาไว้ในห้องลับ…ทุกๆ อย่างยังคงอยู่ และถ้าหากเป็นแบบนี้จริงกุญแจที่สูญหายของชิ้นนี้จะต้องเป็นของของจีเทียนเด๋าไม่ผิดแน่
ในตอนนั้นเองเสียงของหยวนเอ๋อก็ได้ดึงสติของลู่โจวเอาไว้ “ท่านอาจารย์คะ มีจดหมายที่ไม่ทราบชื่อผู้ส่งถูกส่งมาค่ะ! “
ลู่โจวได้เดินออกไปจากห้องก่อนที่จะมองไปยังหยวนเอ๋อที่ยืนอยู่
หยวนเอ๋อในตอนนี้สวมชุดขนเมฆาพร้อมกับรองเท้าเหยียบเมฆา
“แล้วถุงมือไหมยักษ์อยู่ไหนกันล่ะ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้นมา ตัวเขาจำได้ว่าหยวนเอ๋อได้รับของสิ่งนี้มาในตอนที่อยู่บนเจดีย์ลอยฟ้า ดูเหมือนว่าหยวนเอ๋อจะไม่ได้ใส่มันมาด้วย
หยวนเอ๋อได้ทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะพูดออกไป “มันน่าเกลียดเกินกว่าที่จะใส่ได้…ข้าก็เลยทิ้งมันไว้ที่ศาลาทางใต้”
ถุงมือไหมยักษ์ถือเป็นของที่ไม่จำกัดเพศ แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นของที่ดูสวยงามมากเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังดูไม่เข้ากับหยวนเอ๋ออีกด้วย ในตอนนี้ชุดของนางรวมไปถึงรองเท้าต่างก็เป็นสีน้ำเงิน ถ้าจะให้สวมถุงมือแปลกๆ คู่หนึ่งไปด้วยมันคงจะดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ นอกจากนี้ประโยชน์ของถุงมือไหมยักษ์ยังดูไม่เข้ากับหยวนเอ๋ออีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่แล้วของอย่างถุงมือไหมยักษ์เป็นของที่ดูไร้ประโยชน์
‘ก็คงจะได้แต่ปล่อยนางไปล่ะนะ’ ลู่โจวได้พูดออกไป “อ่านซะสิ”
ไม่ว่าผู้ส่งจะเป็นใคร แต่ถ้าหากส่งของสิ่งนี้ผ่านม่านพลังมาได้เขาจะต้องเป็นหนึ่งในสาวกหรือคนที่เคยอยู่ที่นี่แน่
หยวนเอ๋อพยักหน้าก่อนที่จะเริ่มอ่านจดหมาย “สำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังถูกโจมตี ยู่เฉิงไห่เจ้าสำนักอเวจีได้สังหารผู้คนไปแล้วมากมาย เจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์ม่อหลี่ในตอนนี้หนีไปยังสำนักย่อยที่อยู่ทางแม่น้ำเรียวยาวทางทิศตะวันออกในขณะที่บาดเจ็บสาหัส ฝานซงเองกำลังจะเดินทางไปที่ทะเลสาบเรียวยาวทางทิศตะวันออกเช่นกัน ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย ฮาฮาฮ่า”
หยวนเอ๋อได้หยุดอ่านจดหมายก่อนที่จะจ้องมองไปยังลู่โจว
ลู่โจวได้โบกแขนของเขาก่อนที่จดหมายฉบับนั้นจะลอยไปหาตัวเขา
อันที่จริงแล้วผู้ที่เขียนจดหมายไม่ได้บอกชื่อของตัวเองมา แต่อย่างไรก็ตามคำสุดท้ายในจดหมายก็ทำให้ลู่โจวรู้ตัวตนของผู้ที่เขียนจดหมายได้อย่างชัดเจน
“เจียงอาเฉียนดูเหมือนว่าจะต้องเจอเรื่องที่ยากลำบากในขณะที่ส่งจดหมายมาสินะ…” ลู่โจวได้พึมพำขึ้นมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้นึกถึงความเป็นจริงอะไรบางอย่าง นางได้ชี้ไปยังจดหมายก่อนที่จะพูดออกมา “มันมาจากเจียงอาเฉียนไม่ผิดแน่ เจ้าคนไร้ยางอายนั่น! ข้าจำลายมือของเจ้านั่นได้ จดหมายของเจ้านั่นมักจะชอบลงท้ายด้วยคำว่าฮาฮาฮ่า”
เจียงอาเฉียนมักจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวในระหว่างที่เดินทางอยู่ตลอดเวลา ตัวเขามักจะมีแหล่งข้อมูลเฉพาะตัว หลายๆ คนที่เป็นแหล่งข้อมูลคงจะมาจากพระราชสำนักไม่ผิดแน่
หยวนเอ๋อรู้สึกสงสัย “แล้วทำไมฝานซงถึงต้องไปแม่น้ำเรียวบางทางตะวันออกด้วยล่ะ? เจ้านั่นไม่มีที่ไปที่ดีกว่านี้แล้วงั้นหรอ? “
ลู่โจวหันไปมองรอบๆ เมื่อตัวเขาไม่เห็นต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่อยู่ตัวเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถามขึ้นมา “แล้วเจ้าสามเจ้าห้าอยู่ไหนกันล่ะ? “
“ศิษย์พี่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลาทางใต้” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา
ลู่โจวเป็นผู้ที่ทำเรื่องนี้ลงไปเอง ตัวเขาได้สั่งลงโทษเหล่าสาวกทั้งหลายที่ทำให้ห้องลับของเขาต้องพังทลาย
“บอกเจ้าสามให้มาที่ห้องโถงใหญ่ซะ”
“ค่ะ! “
การลงโทษที่ลู่โจวได้สั่งออกไปเป็นเพียงการลงโทษทางด้านร่างกายเท่านั้น ด้วยพลังวรยุทธรวมไปถึงทักษะทางด้านร่างกายที่ต้วนมู่เฉิงมี ลูกศิษย์คนนี้จะต้องหายเป็นปกติดีหลังจากพักผ่อนเพียงไม่กี่วันแน่
ในอดีตที่จีเทียนเด๋าเคยลงโทษเหล่าศิษย์สาวกไป ต้วนมู่เฉิงมักจะเป็นคนแรกที่ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วที่สุดอยู่เสมอๆ
หยวนเอ๋อได้วิ่งออกจากศาลาทางทิศตะวันออกไปในทันที
ลู่โจวได้มองไปที่ดวงอาทิตย์ ในตอนนี้มันยังคงเช้าอยู่ ตัวเขาได้เดินออกจากศาลาไป หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ได้เดินมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขามองเห็นฝานลี่เทียนยังคงนอนพักผ่อนอยู่ที่จุดเดิม ขอทานเฒ่าคนนี้ยังคงนอนอย่างเกียจคร้านในขณะที่ดื่มเหล้าไปด้วย
“ฝานลี่เทียน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฝานลี่เทียนก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลู่โจวเดินมา ตัวเขาก็รีบพูดออกไป “ข้าไม่ได้ชื่อฝาน”
ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะมาชวนฝานลี่เทียนทะเลาะด้วย ตัวเขาได้ยื่นจดหมายที่ได้มาไปให้ฝานลี่เทียนแทน “อ่านซะสิ”
ฝานลี่เทียนได้จับจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ ตัวเขาในตอนแรกตั้งใจที่จะทิ้งมันไป แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นขอทานเฒ่าก็ได้เหลือบมองดูในจดหมาย เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น เมื่อตัวเขาได้เห็นชื่อของฝานซง ฝานลี่เทียนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ตัวเขาได้ตั้งใจอ่านจดหมายอย่างระมัดระวัง
“ตกอยู่ในอันตราย? “
“เจ้ายังอยากที่จะนอนอย่างสงบต่อไปอีกไหม? ” ลู่โจวได้จ้องไปที่ฝานลี่เทียน
ฝานลี่เทียนขมวดคิ้ว การแสดงออกอย่างเกียจคร้านของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นความเอาจริงเอาจังแทน “ฝานซงได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้ามา เจ้าไม่ได้วางแผนที่จะช่วยเขาหรอกหรอ? “
“อันที่จริงฝานซงได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าก็จริง…แต่ไม่ว่าจะยังไงนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องช่วยเหลือเขาทุกอย่าง” ลู่โจวได้พูดออกมาเบาๆ
“ทำไมกัน? “
“ตอนที่ฝางซงเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าได้มอบเคล็ดวิชาหยางทั้งหกให้กับเขาเพื่อที่จะขจัดพิษอันเหน็บหนาวจากการฝึกเคล็ดวิชาหยินทั้งสาม แม้ว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในนักสู้ของศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้า แต่เจ้านั่นกลับเลือกที่จะออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยตัวเอง…ถ้าหากทุกคนเลือกที่จะทำแบบนี้ ข้าจะไปรักษากฎระเบียบที่มีไว้ได้ยังไงกัน? ” ลู่โจวรู้ดีว่าฝานลี่เทียนคงไม่อาจแย้งเรื่องนี้ได้ ในท้ายที่สุดแล้วฝานซงก็เป็นคนที่จะเลือกเดินทางนี้เอง
กฎของศาลาปีศาจลอยฟ้ากฎข้อนั้นก็คือการตัดสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีกับคนในอดีต ถ้าหากมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎ ผู้นั้นจะต้องยอมรับผลที่ตามมาแต่โดยดีโดยที่ไม่สามารถที่จะตำหนิใครได้
ลู่โจวได้มองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะถามออกมา “เจ้านั่นเป็นใครสำหรับเจ้ากัน? “
ฝานลี่เทียนได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ตัวเขาได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวสกุลฝานอีกต่อไปตั้งแต่ 200 ปีก่อน…” เรื่องนี้ถือว่าอยู่เหนือความคาดหมายของลู่โจว ลู่โจวไม่ได้คาดหวังเลยว่าฝานลี่เทียนจะตอบคำตอบออกมา เขาแค่ต้องการที่อยากจะรู้ก็เท่านั้นว่าฝานลี่เทียนเป็นอะไรกับฝานซงไหม…แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ลู่โจวได้ถามออกมา “แล้วเจ้าเพิ่งจะมาหาเขาอย่างงั้นหรอ? “
ฝานลี่เทียนพยักหน้า ท่าทางของชายผู้เกียจคร้านในตอนนี้ได้จางหายไปแล้ว “ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก…มันเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งก่อนที่ข้าจะตาย”
“ถ้าหากเจ้าเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าก็จะสามารถช่วยฝานซงได้” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ
ฝานลี่เทียนถึงกับตกตะลึง ตัวเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าจะออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์มาแล้วกว่าหลายสิบปี ตัวเขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ในสายตาของคนอื่นๆ อยู่ดี มีหลายคนที่รอคอยการกลับมาของเขา ถ้าหากตัวเขาเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ตัวเขาคงจะไม่ได้ทรยศให้กับสำนักแห่งความบริสุทธิ์อย่างงั้นหรอ? ที่สำคัญที่สุดตัวเขาได้สูญเสียพลังวรยุทธไปจนหมด แล้วศาลาปีศาจลอยฟ้าเห็นอะไรในตัวเขากันแน่?
ลู่โจวดูเหมือนจะอ่านใจของฝานลี่เทียนได้ ตัวเขาได้พูดข้อเสนอออกไปอีก “ข้าบังเอิญได้รับดอกแมกโนเลียสีดำดอกหนึ่งมาไว้ในครอบครอง”
หัวใจของฝานลี่เทียนเต้นไม่เป็นจังหวะ ตัวเขาได้มองไปที่ลู่โจวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ
ใบหน้าที่เรียบเฉยของลู่โจวมองไปที่ฝานลี่เทียนด้วยรอยยิ้มจางๆ …
‘ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะหาอาหารก่อนที่จะไปตามทางเท่านั้น แต่ในตอนนี้ข้ากำลังสูญเสียเป้าหมายไป ข้า…ข้าถูกหลอกแล้วสินะ? ‘
ลู่โจวไม่คาดคิดมาก่อนว่าดอกแมกโนเลียสีดำที่ได้มาจากบ้านสกุลซีจะสามารถใช้ในสถานการณ์แบบนี้ได้ แม้ว่าดอกแมกโนเลียสีดำจะไม่สามารถฟื้นฟูพลังวรยุทธของฝานลี่เทียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงแบบนั้นมันคงจะฟื้นฟูพลังวรยุทธได้ 2-3 ส่วนด้วยกัน พลังวรยุทธมีความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธมาก ตัวเขาไม่คิดว่าฝานลี่เทียนจะนิ่งเฉยเมื่อได้ฟังข้อเสนอนี้ ตัวเขาได้นิ่งเงียบก่อนที่จะรอฟังคำตอบของฝานลี่เทียนต่อไป
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์…ศิษย์พี่สามมาแล้ว”
ลู่โจวไม่ได้มองไปที่หยวนเอ๋อ ตัวเขาได้พูดออกมาแทน “ไม่ต้องรีบไป…ถ้าหากศิษย์พี่ของเจ้ากำลังเหนื่อยล้า ก็ให้เขาพักผ่อนไป”
ฝานลี่เทียนรู้สึกงุนงงเมื่อได้ฟังแบบนี้