My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 222
พลังสุดยอดฝ่ามือไร้ความกลัวได้ลอยอยู่กลางอากาศในชั่วขณะ มันดูเหมือนกับดอกไม้ไฟทีก่ำลังส่องสว่างก่อนค่อยๆ ที่จะจางหายไป
เสียงที่แสนจะน่ากลัวที่มาจากพลังอันมหาศาลที่มารวมตัวกันได้ดังขึ้น ฟองอากาศที่แม่น้ำเรียวบางรวมไปถึงเศษหินทั้งหมดต่างก็ลอยขึ้นสู่บนอากาศ แต่เมื่อพลังรอบตัวของม่อฉีได้สัมผัสกับสุดยอดฝ่ามือไร้ความ เสียงที่แสนจะน่ากลัวของคลื่นพลังก็ได้เงียบหายไป
สิ่งของทั้งหมดที่ลอยอยู่บนอากาศได้ล่วงหล่นสู่พื้น พลังที่อยู่รอบตัวของม่อฉีได้กระจายตัวไปในที่สุด “ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ได้รับรางวัล: 1,500 แต้มบุญ”
ที่แม่น้ำเรียวบางได้กลับมาสงบลงอีกครั้ง
ร่างกายของเล้งลั่วที่เห็นแบบนั้นถึงกับแข็งทื่อ ตัวเขาไม่ขยับไปไหนในขณะที่มองไปยังทิศทางที่สุดยอดฝ่ามือไร้ความกลัวได้พุ่งผ่านไป เล้งลั่วพยายามมองหาร่างของม่อฉีแต่ถึงแบบนั้นแม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังไม่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
ฝานลี่เทียนที่กำลังถือขวดเหล้าอยู่ดวงตาเบิกกว้าง ไม่มีใครรู้ว่าในตอนนี้ตัวเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
มียอดฝีมืออยู่ที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์มากมายหลายคน ไม่ว่าจะเป็นยูฮงยี่, เจ็ดยอดฝีมือแห่งสำนักแห่งความบริสุทธิ์, หรือแม้แต่ฝานลี่เทียนเอง ทุกๆ คนต่างก็มั่นใจว่าไม่มีใครสามารถฆ่าเจ้าสำนักอย่างม่อฉีได้ด้วยการใช้พลังฝ่ามือเพียงครั้งเดียว แม้ว่าม่อฉีจะได้รับบาดเจ็บอยู่ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอวตารดอกบัว 7 กลีบอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นม่อฉีเพิ่งจะรวบรวมพลังจากเวทมนตร์คาถาอีกด้วย…
“เจ้าอวดรู้นั้นท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปสินะ?” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา นางดูภูมิใจมากที่เห็นท่านอาจารย์สามารถจัดการกับคู๋ต่อสู้ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนที่เห็นแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดเบาๆ ออกมา “จัดการต่อซะ”
ฝานลี่เทียนดูเป็นกังวล แต่ถึงแม้ว่าจะกังวลแค่ไหนตัวเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตัวเขาได้แต่รออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนรถม้าอยู่เพียงเท่านั้น
เมื่อหยวนเอ๋อได้ยินคำสั่งแบบนั้น นางก็ได้กระโดดลงมาจากรถม้าไปในทันที นางได้ใช้การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วก่อนที่จะพุ่งไปยังที่ที่ม่อฉีเคยปรากฏตัวเมื่อครู่นี้
เมื่อมาถึงตอนนี้สายสะพายนิพพานก็ได้พุ่งออกไปหลายทิศทาง สายสะพายนิพพานกำลังควานหาผู้ฝึกยุทธที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
ลู่โจวส่ายหัว ตัวเขารู้สึกหมดหวังอย่างช่วยไม่ได้ ลู่โจวหวังเอาไว้เสมอว่าศิษย์คนนี้จะเติบโตเป็นสาวน้อยผู้งดงามที่มีจิตใจดีและมีเมตตา แต่ในตอนนี้ความคิดนั้นดูเหมือนจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หยวนเอ๋อก็ได้ลอยกลับมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วค่ะ!”
ฝานลี่เทียนได้พูดต่อไป “เด็กสาวคนนี้จะต้องเติบโตจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แน่ ถ้าหากให้เวลานางมากกว่านี้”
“เจ้ากำลังชมข้าอย่างงั้นหรอ?” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาในขณะที่มองไปที่ฝานลี่เทียน
“มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ควรค่าให้กับข้าได้สนใจ เจ้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น เจ้าน่ะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์จริงๆ ในเวลาไม่ถึง 5 ปีข้างหน้าเจ้าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัย…พิบัติ…ศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ เดี๋ยวนะ เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขึ้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้วสินะ?” ฝานลี่เทียนเพิ่งสังเกตเห็นพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีที่หยวนเอ๋อเพิ่งจะปล่อยออกมา
แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่ยังไม่สามารถผลิกลีบดอกบัวของร่างอวตารได้ แต่ถึงแบบนั้นเมื่อฝึกฝนต่อไป เด็กคนนี้จะต้องมีอนาคตที่สว่างไสวรออยู่แน่
เล้งลั่วมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดเยาะเย้ยออกมา “เจ้าน่ะไม่ได้สัมผัสกับโลกของผู้ฝึกยุทธนานเกินไปแล้วนะ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่รู้จักชื่อเสียงของสาวน้อยคนนี้แน่…ซีหยวนเอ๋อ นางน่ะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนที่นางมาถึงภูเขาทองนางเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้เพียงเท่านั้น แต่เพียงแค่ 10 วันเท่านั้นนางก็สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูได้ และในเวลาต่อมาเพียงแค่ 3 ปี นางก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ไป หลังจากนั้นนางก็ได้ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ในช่วงเวลาเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ข้าเกรงกลัวคงจะไม่มีใครมีพรสวรรค์เทียบเท่าได้กับเด็กสาวคนนี้”
ฝานลี่เทียนตกตะลึง ตัวเขาได้ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะขยี้ตามองดูหยวนเอ๋ออีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…มนุษย์แบบไหนถึงมีพรสวรรค์แบบนั้นกัน?”
หยวนเอ๋อในตอนนี้ตัวลอย นางกำลังภูมิใจกับคำพูดสรรเสริญเยินยอ
เมื่อลู่โจวได้ฟังคำพูดของฝานลี่เทียน ตัวเขาก็ได้แต่นึกถึงเยี่ยเทียนซินก่อนที่จะส่ายหัว หยวนเอ๋อถือว่าเป็นมนุษย์ แต่ถึงแบบนั้นพรสวรรค์ของนางก็ยังเหนือกว่ามนุษย์ทั้งมวล
“เจ้าควรจะจดจำคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสองเอาไว้นะ หยวนเอ๋อ” ลู่โจวได้พูดออมกาอย่างจริงจัง
หยวนเอ๋อรีบตอบกลับไป “ค่ะ!”
‘ผู้อาวุโสทั้งสองอย่างงั้นหรอ?’
ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ ในตอนนี้พวกเขาได้ลงเรือลำเดียวกันไปแล้วนั่นเอง เมื่อคิดถึงพลังฝ่ามือทองคำเมื่อครู่นี้ก็ไม่มีใครที่จะกล้าคิดขัดขืนอะไรอีกต่อไป
ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้ชี้ไปยังผิวของแม่น้ำเรียวบาง ในตอนนี้มันเริ่มมีฟองอากาศเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “ท่านอาจารย์ มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ…”
“นั่นไม่ใช่เวทมนตร์คาถาแน่ มีใครอยู่ตรงนั้นกัน?” ฝานลี่เทียนได้พูดขึ้น
ฟองอากาศจำนวนมากเพิ่มมากขึ้น
พรึ๊บ!
ในตอนนั้นมีร่างของใครบางคนโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ร่างของคนคนนั้นที่โผล่พ้นน้ำออกมาได้นอนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ
“ฝานซง? ต้วนมู่เฉิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ”
ฝานซงได้นอนอยู่กลางน้ำทะเลพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาทั่วตัว ใบหน้าของเขาซีดเซียวเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นรอบตัวของเขาก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี เล้งลั่วได้แต่มองไปที่ฝานซงก่อนที่จะพูดขึ้น “น่าสนใจจริงๆ ! เจ้านี้สามารถซ่อนตัวในทะเลสาบได้จนถึงตอนนี้” เล้งลั่วไม่ได้เห็นใจอะไรฝานซงเลยแม้ว่าตัวเขาจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วก็ตาม
ความเย็นชาของเล้งลั่วได้ทำให้ฝานลี่เทียนรู้สึกไม่พอใจ ตัวเขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราหาเขาพบแล้ว…รีบพาเขากลับไปเร็ว!”
เล้งลั่วได้พูดแสดงความคิดเห็นออกมา “ไม่มีประโยชน์ถ้าจะทำแบบนั้น สำนักแห่งความบริสุทธิ์มีชื่อเสียงในเรื่องของการใช้เคล็ดวิชาอันลึกลับทั้งหลายได้ เจ้าน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอว่าเจ้านี้ต้องการรักษาตั้งแต่ตอนนี้”
เล้งลั่วเห็นฝานซงบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาในตอนนี้บางทีเขาคงอาจจะต้องตายจากไป
เปลือกตาของฝานลี่เทียนกระตุก แม้ว่าคำพูดของเล้งลั่วจะไม่เข้าหูเท่าไหร่แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นความจริง อาการบาดเจ็บสาหัสของฝานซงไม่ใช่น้อยๆ และเขายังซ่อนตัวอยู่ในแม่น้ำเป็นเวลานานอีกด้วย
“ข้าจะดูอาการเขาให้เอง” จ้าวยู่ได้พูดออกมาก่อนที่จะโค้งคำนับ
“ไปเร็ว”
จ้าวยู่ได้ออกจากรถม้าล่องเมฆาไปก่อนที่จะลงไปข้างๆ ร่างของฝานซง นางยกมือเบาๆ ก่อนที่จะแตะฝานซงเข้า พลังพิเศษของเคล็ดวิชาหยกเจิดจริสได้แสดงผลขึ้น น้ำในร่างกายของฝานซงได้ระเหยออกจากไปในทันที แม้ว่าฝานซงจะขับน้ำออกมาได้แล้วแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่ได้สติอยู่ดี
หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายไปต่อไปจ้าวยู่ก็ได้ยืนขึ้น “ท่านอาจารย์ เขาถูกพลังฝ่ามือค่ะ เขากำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส”
เล้งลั่วได้พูดต่อไป “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เข้ากลับไล่ตามม่อฉีไปแบบนี้ เจ้าไม่ได้คำนึงถึงพลังของตัวเองเลยอย่างงั้นหรอ?”
ฝานลี่เทียนได้โต้ตอบกลับไป “นี่เป็นความโง่เขลาของเด็ก เขาควรจะได้รับการยกย่องถึงจะถูก”
เล้งลั่วได้พูดต่อไป “ถึงแม้ว่าจะกล้าหาญแค่ไหนแต่ถ้าหากไม่มีพลังมากพอมันก็ไร้ประโยชน์ การทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งซะหรอก”
ฝานลี่เทียนได้พูดต่อไป “นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังไงซะเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้แล้ว อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้าหากคนทุกคนเป็นคนที่ขี้ขลาดก็อย่าได้หวังเลยว่าโลกใบนี้จะมีสันติภาพได้ แม้ว่าจะต้องตายจากไปจริงๆ แต่ถึงแบบมันก็ดีกว่าคิดเสียใจทีหลัง”
เล้งลั่วได้พูดออกมาอีกครั้ง “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องถอนตัวออกจากยุทธภพและกลายเป็นขอทานแบบนั้นด้วยล่ะ?”
ฝานลี่เทียนถึงกับพูดไม่ออก “เจ้า…”
เหล่าศิษย์สาวกต่างก็จ้องมองดูชายชราทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกัน ในตอนนี้ไม่มีใครที่จะกล้าทั้งสองคน ถ้าหากผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจวไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่อไป
เมื่อลู่โจวเห็นทั้งสองคนนั้นตัวเขาก็ได้พูดห้ามปรามด้วยความรำคาญ “พอแค่นั้นแหละ”
ทั้งสองคนได้เงียบลงไปในทันที
แม้ว่าทั้งสองคนจะมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสที่อยู่มานานมากแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะโกรธแค่ไหนท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะไม่เก็บมันเป็นความบาดหมางอยู่ภายในใจ นี่ถือเป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุดที่ทุกสำนักต่างก็มี และแน่นอนว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็ยึดถือข้อห้ามนี้เช่นกัน
ในตอนนั้นเองฝานซงก็ได้ไอออกมา ตัวเขาเริ่มมีอาการทรุดหนักกว่าเดิม ฝานลี่เทียนได้หันกลับไปหาลู่โจวก่อนที่จะโค้งคำนับตัวเขา “ข้าไม่ต้องการดอกแมกโนเลียสีดำอีกต่อไปแล้วท่านผู้อาวุโส”
“หืม?”
“มอบให้เขาเถอะ” ฝานลี่เทียนชี้ไปยังฝานซง
“เจ้าแน่ใจอย่างงั้นหรอ?”
“ไม่มีอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกลังเลไปได้หรอก ข้าน่ะเบื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่เต็มที ข้าน่ะเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาต้องนานแล้ว ข้ารู้ว่านี้อาจจะเป็นเรื่องที่ขอมากไปเพราะข้าไม่เคยช่วยอะไรศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นฝานซงยังเด็กนัก ข้าเชื่อว่าต่อไปเขาจะต้องรู้แน่ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” ฝานลี่เทียนได้พูดออกไป
ลู่โจวพยักหน้า ตัวเขาได้กระโจนลงจากรถม้าลอยฟ้าก่อนที่จะลงมาข้างๆ กับฝานซง เล้งลั่วเองก็กระโดดลงมาเช่นกัน ฝานลี่เทียนเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่จากทางด้านบน
ต้วนมู่เฉิงได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะยกเขาให้กับท่านเอง” ต้วนมู่เฉิงได้ขขยับมือของตัวเอง ในตอนนั้นพลังลมปราณของตัวเขาก็ได้ล้อมรอบฝานซงเอาไว้ก่อนที่จะยกตัวของเขาขึ้น
ลู่โจวเองก็ยกมือขึ้นเช่นกัน การ์ดรักษาฉุกเฉินของตัวเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนนั้นเองเหลือทิ้งไว้แต่เพียงแสงสีน้ำเงินที่ออกมาจากมือของตัวเขา
เล้งลั่วได้ร้องอุทานออกมา “นี่มันเคล็ดวิชาของพวกชาวพุทธ เคล็ดวิชาเมตตาธรรมค้ำจุนโลก!”
แสงสีฟ้าบนฝ่ามือได้เข้าโอบล้อมร่างกายของฝานซงเอาไว้ อาการของเขาดีขึ้นทันตาเห็น