My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 229
บี่เอี๊ยนเริ่มชะลอตัวลง มันได้ใช้จมูกของมันในการดมกลิ่นไปมา จมูกที่เฉียบคมของบี่เอี๊ยนเป็นเหมือนกับจมูกของสุนัขที่สามารถไล่ล่าเหยื่อของมันได้ บี่เอี๊ยนมักจะใช้จมูกที่เป็นเลิศของมันในการตามล่าเหยื่อ หากเข้าใกล้เหยื่อได้มากพอมันก็จะกระโจนหาเหยื่ออย่างไม่ลังเล
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาปล่อยให้บี่เอี๊ยนตามหาต่อ
มันได้เดินทางลงหน้าผาก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่ป่าอีกครั้ง หน้าผาที่อยู่เหนือตัวเขาได้บดบังแสงอาทิตย์ทั้งหมดไป
ลู่โจวได้มองไปในป่า ตัวเขาไม่พบอะไรที่มันแปลกประหลาดเลย ‘ศิษย์คนนี้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ซะจริง’ บี่เอี๊ยนยังคงเดินหน้าต่อไป ในตอนที่มันกำลังเดินอยู่ลู่โจวก็สังเกตเห็นต้นไม้ที่ถูกหักโค่นที่อยู่ตรงหน้า มันมีร่องรอยของสัตว์ร้ายอยู่ตรงนั้น
‘ทางข้างหน้าอย่างงั้นสินะ…’ ตรงหน้าของลู่โจวเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ถูกหักโค่น
บี่เอี๊ยนได้เดินไปไม่นานหลังจากนั้นก็ได้หยุดเดิน มันเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะร้องคำรามต่อหน้าตอไม้ขนาดใหญ่ ลู่โจวรีบเงยหน้ามองเช่นกัน ที่ตรงนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังที่เข้าปะทะกัน มีเศษเสื้อผ้าบางส่วนวางกระจัดกระจายอยู่บนตอไม้
ลู่โจวได้ลูบเคราพลางพยักหน้าไปด้วย “นี่มันจักจั่นลอกคราบอย่างงั้นสินะ”
ความสามารถในการดมกลิ่นของบี่เอี๊ยนไม่เคยผิดพลาด ถ้าหากมันหยุดลงตรงนี้แสดงว่าเป้าหมายที่มันตามหาจะต้องอยู่ตรงนี้
รอบตัวของลู่โจวนั้นเงียบสนิท ตัวเขาพยายามที่จะมองไปรอบตัวเพื่อหาสัญญาณอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว
‘เขาไปแล้วอย่างงั้นสินะ…’ ลู่โจวได้แต่ถอนหายใจออกมา “เป็นไปไม่ได้…”
ตัวเขารีบเรียกเมนูระบบขึ้นมาดู ลู่โจวได้อ่านคำอธิบายของการ์ดผนึกกรงกักขังโฉมใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่ามันมีโอกาสในการใช้สำเร็จอย่างแน่นอน นอกจากนี้ระบบยังได้แจ้งเตือนตัวเขาอีกด้วย ถ้าหากยู่เฉิงไห่ถูกผนึกพลังวรยุทธจริงๆ ตัวเขาจะควบคุมสัตว์ร้ายแบบนั้นเพื่อที่จะออกจากป่าอย่างรวดเร็วได้ยังไงกัน?
ลู่โจวได้กระโดดลงจากหลังของบี่เอี๊ยนก่อนที่จะเดินไปยังกองเสื้อผ้า ตัวเขาได้ชำเลืองมองของที่ตกอยู่
“เสื้อผ้าของยู่เฉิงไห่ไม่ผิดแน่” ลู่โจวจำขนาดเสื้อผ้าของยู่เฉิงไห่ในครั้งที่เขาคนนี้ฝึกฝนอยู่บนภูเขาทองได้ดี
‘ช่างเป็นแผนการหลบหนีที่ชาญฉลาดอะไรแบบนี้’ แม้ว่าจะมีวิธีการในหลบหนีแต่เป็นไปไม่ได้เลยที่ยู่เฉิงไห่จะหนีไปได้รวดเร็วแบบนี้ ‘เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใช้เทคนิคในการหลบหนีเดียวกันกับที่หยางเซียนใช้กัน? ‘ ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองพลังก็ได้หลอมรวมเข้ามาที่ตัวเขา พลังทั้งหมดไม่ได้ถูกทำลายล้างไป ลู่โจวพยายามติดตามยู่เฉิงไห่จากพลังที่ตัวเขาเหลือทิ้งเอาไว้ ในตอนที่ครอบครัวของหยวนเอ๋อถูกลักพาตัวไปมู่หลงไห่เป็นผู้ที่สอนวิชานี้ให้กับตัวเขาติดตามคนสกุลซีไปนั่นเอง ในขณะเดียวกันพลังของลู่โจวก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ โดยธรรมชาติแล้วถ้าหากเป้าหมายที่ติดตามมีพลังลมปราณอยู่ภายในตัว วิธีการติดตามแบบนี้จะเป็นอะไรเปล่าประโยชน์ มันสามารถถูกพลังของลมปราณของเป้าหมายสกัดกั้นการติดตามได้ แต่เพราะพลังของการ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่ของลู่โจว ทำให้เป้าหมายที่ถูกพลังของการ์ดใบนี้ไปจะต้องถูกผนึกพลังลมปราณเอาไว้ พลังผนึกของลู่โจวได้ลอยหายไปในป่าใหญ่ ตัวเขาไม่สามารถติดตามพลังอันนั้นได้ทัน
ไม่มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวใดๆ ลู่โจวในตอนนี้ไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ เลย
“กุ้ยหนิวพาเจ้านั่นหนีไปแล้วอย่างงั้นหรอ? ” ในบันทึกเคยว่าเอาไว้ กุ้ยหนิวถือเป็นสัตว์ขี่ในตำนาน ถ้าหากมันเดินทางด้วยความเร็วยากที่จะมีผู้ใดติดตามมันได้ทัน แม้ว่ามันจะจากไปแต่การที่ลู่โจวสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยการเคลื่อนไหวไม่ได้เลยแบบนี้ถือเป็นอะไรที่แปลกจนเกินไป
ลู่โจวมองไปยังเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ มันเต็มไปด้วยคราบเลือด ‘เจ้านั่นจะต้องใช้เทคนิคอื่นแน่ เขาไม่มีทางที่จะควบคุมกุ้ยหนิวโดยที่ไม่มีพลังวรยุทธได้แบบนี้’
ที่โลกใบนี้มีสำนักมากมายหลายสำนักถูกตั้งขึ้น มีหลักคำสอนทั้งหมด 3 หลักคำสอนด้วยกันที่เหล่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่เลือกเชื่อถือ นอกจากนี้ยังมีพลังอย่างเวทมนตร์คาถาอยู่ด้วย การจะใช้เวทมนตร์คาถาได้จะต้องใช้เวลาในการร่ายเวทมนตร์ ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่เลือกที่จะฝึกฝนเวทมนตร์คาถา คนส่วนใหญ่มักจะเลือกฝึกฝนตามหลักคำสอนของวิถีแห่งเต๋าซะมากกว่า ลู่โจวมีความรู้มากพอที่จะแยกแยะของบางอย่างที่สามารถเพิ่มความสามารถของผู้ใช้อย่างชุดขนเมฆา, อาวุธระดับสรวงสวรรค์ออกได้
“ดูเหมือนว่าศิษย์ทรยศจะฝึกฝนอะไรบางอย่างในตอนที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปสินะ” ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ตัวเขาได้โคจรพลังลมปราณก่อนที่จะควบแน่นมันให้กลายเป็นพลัง พลังของลู่โจวได้เปลี่ยนไปจนกลายเป็นพลังแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดขนาดย่อมๆ แม้ว่าตัวเขาจะมีพลังอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แต่ลู่โจวก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วนั่นเอง
แสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดเริ่มใหญ่ขึ้นในพริบตา ต้นไม้ที่อยู่ภายในรัศมีกว่า 100 เมตรถูกพลังของตัวเขาโค่นล้มไป พลังของลู่โจวได้เปิดเส้นทางทั้งหมดที่ถูกปิดบังเอาไว้
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงพลังจากจุดตันเถียน ตัวเขาพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ พลังวรยุทธที่ตัวเขามีเริ่มฟื้นฟูกลับมาอย่างช้าๆ ในตอนนี้การจะใช้เคล็ดวิชาเดียวกันกับเหล่าศิษย์สาวกไม่ใช่เรื่องยากอะไรอีกต่อไป ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือลู่โจวในตอนนี้ไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ทรงพลังเหมือนกับพลังของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มี แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นภาพที่งดงามอยู่ดี อย่างน้อยที่สุดการจะโค่นต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับตัวเขา
ครู่ต่อมาบี่เอี๊ยนก็ได้ทำตามคำสั่งของลู่โจว มันได้ค้นหาไปทั่วแต่กลับไม่าพบอะไร บี่เอี๊ยนได้แต่กลับมาหาลู่โจวอย่างมือเปล่าเพียงเท่านั้น
ลู่โจวกระโดดกลับไปที่หลังของบี่เอี๊ยน ตัวเขากวาดสายตาไปมองทั่วป่าก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าจะซ่อนตัวโดยที่ไม่มีพลังวรยุทธไปได้อีกนานแค่ไหนกัน? “
ลู่โจวไม่คิดว่าจะมีใครสามารถทำลายพลังผนึกมนตรานี้ได้ เว้นแต่ว่าพลังของผนึกมนตราจะสามารถอยู่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ตัวเขามั่นใจมากว่าศิษย์ทรยศคนนี้จะต้องกลับมาหาเขาในเร็ววัน
“กลับได้”
บี่เอี๊ยนได้ส่งเสียงคำรามออกมาก่อนที่จะกลับไปยังยอดเขาของสำนักแห่งความบริสุทธิ์
ที่นั่นรถม้าล่องเมฆาได้รออยู่ที่จุดเดิม จุดที่ลู่โจวได้จากรถม้าไป
ลู่โจวได้หันกลับไปมองที่คุก มันเหมือนกับตอนที่ตัวเขาจากไป ไม่มีอะไรผิดแปลกไป ตัวเขามองไปที่อุปสรรคทั้งหลายที่เต็มไปด้วยพลังสายฟ้า ดูเหมือนอุปสรรคของสำนักแห่งความบริสุทธิ์จะถูกทำลายไปหมดแล้ว ดูเหมือนผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของสำนักจะซ่อนตัวอยู่หลังอุปสรรคนั่น แต่ถึงแบบนั้นมันก็หยุดพลังของยู่เฉิงไห่ไม่ได้อยู่ดี
ลู่โจวจงใจที่จะรออยู่ชั่วครู่หนึ่ง บางทีตัวเขาอาจจะได้ข้อมูลของยู่เฉิงไห่มาจากคนที่เหลืออยู่
ในระหว่างที่อุปสรรคทั้ง 1,000 ชั้นได้หายไป ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกยุทธหญิงชุดแดงคนหนึ่งก็ได้ถือดาบในมือก่อนที่จะค่อยๆ เดินออกมา
เหล่าสาวกที่หลบอยู่ที่ด้านหลังนางต่างก็มองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าจะรอดมาได้แต่ถึงแบบนั้นทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“สำนักอเวจีจากไปแล้วอย่างงั้นหรอ? ” พวกเขามองไปรอบๆ อย่างสับสน
หญิงสาวชุดแดงเป็นยอดฝีมือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ นางคนนี้ก็คือยูฮงยี่ ในตอนนั้นเองนางก็สังเกตเห็นชายชราคนหนึ่งที่อยู่บนหลังของบี่เอี๊ยน เมื่อเห็นแบบนั้นนางก็รีบพูดขึ้นมา “ทุกคนระวังตัวเร็วเข้า! “
เหล่าศิษย์สาวกสังเกตเห็นชายชราที่อยู่บนหลังของบี่เอี๊ยนเช่นกัน
สัตว์ขี่ในตำนานกำลังยืนอย่างสง่างามจ้องมองไปที่พวกเขาอยู่ที่กลางอากาศ
ยูฮงยี่ไม่กล้าที่จะลดการป้องกันลง นางได้เอ่ยถามลู่โจวก่อน “เจ้ามาจากสำนักอเวจีรึเปล่า? “
ลู่โจวส่ายหัวปฏิเสธ “ถ้าหากข้าเป็นแบบนั้นป่านนี้เจ้าก็คงจะต้องถูกข้าโจมตีไปแล้ว”
เมื่อยูฮงยี่ได้ยินแบบนั้น นางก็เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นางรีบโค้งคำนับลู่โจวในทันที “ท่านคือคนที่ขับไล่สุดยอดวายร้ายอย่างยู่เฉิงไห่ไปสินะ”
เหล่าสาวกคนอื่นๆ รีบโค้งคำนับเช่นกัน “ขอบคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้ท่านผู้อาวุโส! “
“พวกเราจะตอบแทนท่านได้ยังไงกัน? “
“ติ้ง! ได้รับการสวามิภักดิ์จาก 15 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 150”
‘เอ่อ…’ ลู่โจวได้แต่ตกตะลึงเล็กน้อย ‘ฉันเนี่ยนะช่วยเหลือพวกเจ้า? ชีวิตของพวกเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยสักนิด’
ยูฮงยี่ได้มองไปที่รอบตัว หลังจากนั้นนางก็ได้แต่ส่ายหัวพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าหากท่านผู้อาวุโสมาช้ากว่านี้ ข้าเกรงว่าสำนักของพวกเราก็คงจะถูก…”
“สำนักอเวจีให้อภัยไม่ได้จริงๆ! “
“ยู่เฉิงไห่ได้รับการสนับสนุนมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะออกก่อกรรมทำชั่วไปทั่ว แม้ว่าสำนักของพวกเราจะเคยบุกโจมตีภูเขาทองมาก่อน แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ไม่คิดเลยว่าสำนักของพวกเราจะเจอกับหายนะแบบนี้ได้”
ยอดฝีมือทั้งเจ็ดจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้พูดระบายอารมณ์ออกมา
“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าท่านเจ้าสำนักอยู่ที่นี่รึเปล่า? “
ยูฮงยี่รีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “อย่าไปพูดถึงเจ้าสำนักอีกเลย! ถ้าหากเขาไม่สมรู้ร่วมคิดกับพวกคนในพระราชสำนัก สำนักของพวกเราก็คงจะไม่ลงเอยแบบนี้หรอก! “
คนอื่นๆ ได้แต่ก้มหน้าลง พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดโต้เถียงอีกต่อไป
เมื่อลู่โจวเห็นว่าทุกคนสงบลงแล้ว ตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “ข้ามีคำถามที่อยากจะถามพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องตอบคำถามข้ามา” คำพูดของลู่โจวส่งตรงไปถึงยูฮงยี่ผู้ซึ่งเป็นผู้นำของศิษย์สาวกที่เหลือ