My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 230
ยูฮงยี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่สับสน นางไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ข้าอย่างงั้นหรอ? ” นางได้เดินออกจากขอบเขตของอุปสรรคทั้งหลายไปตามสัญชาตญาณ นางได้เผลอมองรอบๆ ตัว ทุกที่ที่นางได้มองเห็นล้วนแต่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง มีทั้งควันสีดำลอยออกมาจากส่วนที่เป็นยอดเขา เมื่อเห็นแบบนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางได้แต่เก็บความเจ็บช้ำอันนี้เอาไว้ในใจก่อนที่จะคารวะลู่โจว “โปรดถามมาเถอะ ท่านผู้อาวุโส”
“เจ้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ยูฮงยี่สินะ? “
“ใช่แล้ว ข้าเอง”
“เจ้าเคยต่อสู้กับยู่เฉิงไห่ก่อนหน้านี้สินะ? “
สีหน้าของยูฮงยี่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ใช่แล้ว ข้าจำเขาได้ดี ข้าจะไม่มีวันเลิกลาแน่แม้ว่าข้าจะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านก็ตามที! สำนักของข้ามีเหล่าศิษย์สาวกกว่าพันคน แต่สิ่งที่เหลือมีเพียงพวกเราเท่านั้น! ได้โปรดคืนความยุติธรรมนี้ให้กับพวกเราด้วยเถอะ ท่านผู้อาวุโส! “
“เจ้าต้องการให้ข้าทวงคืนความยุติธรรมให้อย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้แต่คิดว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกไปดี แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงสีหน้าของเขาก็ยังดูไร้อารมณ์เช่นเดิม
“สำนักของข้าต้องล่มสลายไป ไม่ช้าก็เร็วเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นกับสำนักฝ่ายธรรมะอื่นแน่ ในเวลานั้นทั้งแผ่นดินจะตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนส่วนมากจะต้องทุกข์ยาก เนื่องจากท่านสามารถขับไล่จอมวายร้ายแห่งสำนักอเวจีไปได้ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ ท่านผู้อาวุโส! ” ยูฮงยี่ได้พูดออกมาอย่างจริงใจ นางได้แต่คุกเข่าคารวะลู่โจว
คนอื่นๆ เองก็คุกเข่าคารวะลู่โจวเช่นกัน
แม้ว่าลู่โจวจะไม่ใช่คนที่กวาดล้างสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไป แต่ท้ายที่สุดแล้วยู่เฉิงไห่คนร้ายตัวจริงคนนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของตัวเขาอยู่ดี ถ้าหากข่าวของยู่เฉิงไห่กวาดล้างสำนักแห่งความบริสุทธิ์ถูกเผยแพร่ออกไป ยุทธภพจะต้องโทษไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าของเขาแน่
‘เจ้าพวกนี้คงไม่ขอให้ฉันฆ่าตัวตายเพื่อหนทางแห่งความยุติธรรมหรอนะ? ‘ ลู๋โจวได้แต่พูดออกมาอย่างไร้ความปรานี “สำนักแห่งความบริสุทธิ์นำพาสิ่งนี้มาสู่ตัวเอง ยูฮงยี่ ข้าจะถามเจ้า สำหรับเจ้าอะไรกันที่ถือว่าเป็นเรื่องสูงส่งยุติธรรม แล้วอะไรกันถึงเป็นเรื่องต่ำช้าเลวทราม? ม่อฉีที่อยู่สำนักฝ่ายธรรมะที่ฝึกฝนพลังอันชั่วร้ายนั่นน่ะหรอคือเส้นทางแห่งความยุติธรรมของพวกเจ้าน่ะ? “
“ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อ 30 ปีก่อน สำนักแห่งความบริสุทธิ์และสำนักดวงดาวทั้งเจ็ดได้เข้าต่อสู้กันเพื่อแบ่งแยกดินแดน พวกเจ้าทั้งหมดได้สังเวยผู้คนไปกว่าหลายพันคนก็เพราะเรื่องนี้ นี่ถือเป็นเส้นทางแห่งยุติธรรมที่พวกเจ้าเชื่อถือสินะ? ” ลู่โจวไม่ได้อยากที่จะยกตัวอย่างให้มากกว่านี้ ตัวอย่างเรื่องเลวทรามทั้งหลายมีมากเกินกว่าที่ตัวเขาจะพูดได้หมด เมื่อเทียบกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วสำนักแห่งความบริสุทธิ์ดูเหมือนกับสำนักฝ่ายอธรรมยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไงท้ายที่สุดแล้วเรื่องของการอยู่รอดก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดไป
“เอ่อ…” ยูฮงยี่ถึงกับพูดไม่ออก ถ้าหากนางถูกถามคำถามแบบนี้ในอดีต นางก็คงจะตอบออกมาอย่างไม่ลังเลงว่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์และสิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะต่างก็เชื่อถือในเส้นทางแห่งความยุติธรรม ในขณะที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า, สำนักอเวจี, วิหารปีศาจ และสมาคมมังกรฟ้าต่างก็เป็นพวกสำนักฝ่ายอธรรมที่ชอบทำเรื่องเลวทราม แต่ในตอนนี้เจ้าสำนักของนางอย่างม่อฉีกลับฝึกฝนเคล็ดวิชาลึกลับอะไรบางอย่าง มันเป็นเคล็ดวิชาที่จะต้องดื่มเลือดสดๆ ของมนุษย์เพื่อเป็นการฝึกตน
สิ่งนี้แย่กว่าสิ่งที่สำนักฝ่ายอธรรมทำเป็นร้อยเท่า เมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าลู่โจวเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง ลู่โจวในสายตานางไม่อยากที่จะทำให้พวกนางต้องตกต่ำไปกว่านี้ หลังจากที่คร่ำครวญอยู่นานนางก็ได้พูดออกมาอย่างละอายแก่ใจ “คำพูดของท่านทำให้ตัวข้ากระจ่างแจ้ง”
ลู่โจวได้แต่ลูบเคราพลางพยักหน้าไปด้วย ตัวเขาได้ตอบกลับมา “มากลับเข้าเรื่องกันได้แล้ว…เจ้าเห็นใครนอกเหนือจากยู่เฉิงไห่ไหม? “
ยูฮงยี่พยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “สีวู่หยาศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็อยู่ท่นี่เช่นกัน ผู้ชายคนนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอก เขาถือเป็นยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญในการวางแผน การสนับสนุนของเจ้านั้นทำให้สำนักอเวจีสามารถควบคุมเจ็ดสุดยอดฝีมือของพวกเราได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นศิษย์สาวกของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ก็ได้แต่ทำหน้าละอายแก่ใจ
“ชายคนนั้นต่ำช้าอย่างแท้จริง! เจ้านั่นน่ารังเกียจกว่ายู่เฉิงไห่เป็นร้อยเป็นพันเท่า!”
‘เอ่อ…’ แม้แต่ลู่โจวเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแค่คนเพียงหนึ่งคนไม่อาจที่จะทำการใหญ่ได้ แต่สีวู่หยาไม่ใช่แบบนั้น สีวู่หยาเพียงคนเดียวสามารถวางแผนเป็นร้อยเป็นพันแผนได้ ‘สีวู่หยามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงได้ร่วมมือกับศิษย์คนโตแบบนี้กัน? ‘
ยูฮงยี่ได้พูดต่อ “สำนักแห่งความบริสุทธิ์จะใช้ช่วงเวลานี้ในทุกๆ ปีรับสมัครศิษย์สาวกคนใหม่ เจ้าพวกสำนักอเวจีใช้ประโยชน์จากเรื่องในครั้งนี้ ข้าไม่มีอะไรที่จะพูดอีกแล้ว”
นี่ถือเป็นความสำเร็จของสีวู่หยาอย่างแท้จริง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจับไส้ศึกได้
“แล้วสีวู่หยาอยู่ที่ไหนกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกไป
“ท่านมีเรื่องบาดหมางใจกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอท่านผู้อาวุโส? ” ยูฮงยี่ได้ถามออกมาอย่างสงสัย
ลู่โจวได้ครุ่นคิดก่อนที่จะตอบกลับไป “ก็ไม่เชิง”
เมื่อยูฮงยี่ได้ยินแบบนั้น นางก็ไม่ได้คิดเหมือนกับที่ลู่โจวคิด นางคิดว่าลู่โจวไม่ได้รู้สึกบาดหมางอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าเช่นกัน ยูฮงยี่ที่คิดได้แบบนั้นได้พูดต่อ “ถ้าหากท่านผู้อาวุโสสามารถจัดการรับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ นั่นถือว่าจะเป็นเรื่องอันน่ายินดีของคนทั้งโลก”
ลู่โจวได้แต่ส่ายหัว ตัวเขาได้เจอเรื่องแบบนี้จนรู้สึกคุ้นชินไปแล้วนั่นเอง
ยูฮงยี่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางได้โค้งคำนับให้กับลู่โจวก่อนที่จะพูดถามขึ้น “ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านผู้อาวุโสมาจากสำนักไหน? ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากหายนะในครั้งนี้แน่”
“ศาลาปีศาจลอยฟ้า” ลู่โจวได้ตอบกลับไปตรงๆ
ยูฮงยี่ตกตะลึง นางคิดว่าได้ยินผิดไป นางที่คิดแบบนั้นได้ถามออกมาอีกครั้ง “ข้าขออภัยจริงๆ ท่านบอกว่ามาจากสำนักไหนนะ ท่านผู้อาวุโส? “
ในตอนนั้นเองรถม้าล่องเมฆาก็ได้ปรากฏตัวออกมาจากป่า คนบนรถม้ารอนานเกินไปจนหมดความอดทน
สถานที่ที่ถูกพลังของเคล็ดวิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดทำลายไปเป็นสถานที่ที่เหมาะสมมากที่สุดที่จะจอดรถม้าลอยฟ้าคันนี้เอาไว้
คนอื่นๆ ต่างก็หันไปจับจ้องรถม้าล่องเมฆา
เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นยูฮงยี่ก็จดจำรถม้าคันนั้นได้ นางตัวสั่นก่อนที่จะกู่ร้องออกมา “พวกเราถอยเร็ว! กลับเข้าไปในคุกเร็วเข้า! ” เจ็ดยอดฝีมือที่รอดมาได้สั่นไปทั้งตัวก่อนที่จะล่าถอยไปในทันที
แต่เมื่อเดินผ่านหน้าคุกไป พวกเขาทั้งหมดก็จดจำได้ว่าอุปสรรคกว่าพันชั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าหากพวกเขาเข้าไปในคุกตอนนี้มันจะต่างอะไรกับเป็ดที่อยู่ในเล้ากัน?
“ท่านผู้อาวุโส เร็วเข้า! ศาลาปีศาจลอยฟ้ามาแล้ว! “
“ท่านผู้อาวุโส! “
ในตอนนั้นเองทุกๆ คนต่างก็คาดหวังกับลู่โจว ผู้ที่อยู่บนหลังของบี่เอี๊ยน
ลู่โจวไม่แปลกใจอะไรกับการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ผู้คนทั้งหมดมี
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้ปรากฏตัวขึ้น นางได้ใช้สายสะพายนิพพานพันรอบตัวเอาไว้ เครื่องแต่งกายของนางดูสะดุดตาเป็นอย่างมากในป่าที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีแห่งนี้ นางได้เดินมาหาลู่โจวด้วยความดีใจ “ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์? “
บนรถม้าล่องเมฆา ต้วนมู่เฉิงเป็นผู้ที่ควบคุมรถม้าอยู่เช่นเดิม เขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ พวกเรารอท่านอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าทรยศนั่นอยู่ที่ไหนกันแน่? “
ยูฮงยี่สะดุดถอยหลังกลับไป นางเริ่มรู้สึกแน่นที่หน้าอกขึ้นมา ‘พวกเราควรจะหนีหรือควรจะทำยังไงดี? ข้าทำอะไรได้บ้าง? ‘
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรรึเปล่า? “
“ผู้อาวุโสท่านคงต่อสู้กับยู่เฉิงไห่จนได้รับบาดเจ็บมาสินะ”
ศิษย์สาวกของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ต่างเป็นกังวล
ในตอนนั้นเองยูฮงยี่ก็ได้รีบพูดออกมา “หนีเร็วเข้า…นั่นมันรถม้าล่องเมฆาของศาลาปีศาจลอยฟ้าเชียวนะ! “
“ศะ…ศาลาปีศาจลอยฟ้า? “
ยอดฝีมือทั้งเจ็ดได้มองไปที่รถม้าลอยฟ้า พวกเขาได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งออกมาจากรถม้า เด็กสาวคนนั้นบินออกมาก่อนที่จะไปหาชายชราจากทางด้านหลัง
“วิ่งหนีอย่างงั้นหรอ? สายไปแล้วล่ะ! ” หยวนเอ๋อได้ชูสายสะพายนิพพานสีแดงสดออกมา สีของสายสะพายเป็นเหมือนกับเปลวไฟอันร้อนแรง ดูเหมือนว่ารอบๆ ตัวของหยวนเอ๋อจะดูร้อนราวกับทั้งตัวของนางกำลังลุกเป็นไฟ
ยูฮงยี่ไม่ขยับ ที่ตรงหน้าของนางก็คืออาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่ผิดแน่ ในตอนนี้นางได้แต่หวาดกลัว นางมั่นใจแล้วว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าก็คือศิษย์คนที่เก้าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า
ยูฮงยี่และยอดฝีมือทั้งเจ็ดต่างก็บินหนีกันไป สำหรับพวกเขาทั้งหมดคงจะไม่สามารถเอาชนะสายสะพายที่หยวนเอ๋อมีได้
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นสายสะพายนิพพานก็ได้ขวางไม่ให้ยอดฝีมือทั้งเจ็ดหนีหายไปไหนได้ พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้อีกต่อไป
“พอได้แล้ว” มีเสียงของชายชราคนหนึ่งดังมาจากรถม้า ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นอดีตยอดฝีมือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ฝานลี่เทียนนั่นเอง
ยูฮงยี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ “ผู้อาวุโสฝาน? ” นางรู้สึกมีความสุขมาก
ยอดฝีมือทั้งเจ็ดเองพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะมองไปยังชายชราที่อยู่บนรถม้า พวกเขาทั้งหมดได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านผู้อาวุโสฝาน พวกข้าขอคารวะท่าน! “
ยอดฝีมือลำดับหนึ่งของสำนักแห่งความบริสุทธิ์กลับมาแล้ว! ฝานลี่เทียนเป็นเหมือนกับแสงแห่งความหวังที่สาดส่องมายังพวกเขา
ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสฝานของพวกเจ้า ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างหาก! “