My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 231
คำพูดของฝานลี่เทียนได้เหยียบย้ำความหวังสุดท้ายในใจของยูฮงยี่และคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้น
ยูฮงยี่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางได้แต่ส่ายหัวอยู่ตามลำพัง “ผู้อาวุโสฝานท่าน…”
ก่อนที่ยูฮงยี่จะได้พูดจบประโยค ฝานลี่เทียนก็ได้ตะโกนออกมาซะก่อน “หุบปากซะ! “
เสียงตะโกนของเขาได้ทำให้ยูฮงยี่และคนอื่นๆ ตื่นตกใจ
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่ฝานลี่เทียนมีความตั้งใจที่แน่วแน่แบบนี้ นี่ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง นับจากนี้ฝานลี่เทียนจะต้องรับใช้ศาลาปีศาจลอยฟ้า ฝานลี่เทียนถือเป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่าของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว
ทันใดนั้นเองเล้งลั่วก็ได้พูดขึ้นมา “สถานการณ์ปัจจุบันของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นฝีมือของม่อฉี เจ้าสำนักของพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาคนนี้ยังถูกม่อหลี่แห่งพระราชสำนักควบคุม เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับยูฮงยี่ ข้าคิดว่าพวกเราควรจะปล่อยพวกนางไปจะดีกว่า” ในสายตาของเล้งลั่วมีเพียงแค่ม่อหลี่และม่อฉีเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเล้งลั่ว ฝานลี่เทียนก็ได้คารวะเพื่อเป็นการขอบคุณ นี่ถือเป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อนจากชายที่เคยเห็นมหาวายร้ายอันดับหนึ่งอย่างเล้งลั่ว
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาแอบใช้ความคิดอยู่ในใจซะมากกว่า ‘ฉันดูเหมือนคนที่ชั่วร้ายไร้ความปรานีสำหรับพวกเขาขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ‘ ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะเสียเวลากับยูฮงยี่กับสาวกทั้งหลายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ลู่โจวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนั้นหยวนเอ๋อก็ได้ชี้ไปยังรถม้าลอยฟ้าที่อยู่เหนือแท่นบูชาซะก่อน “ท่านอาจารย์ สุดยอดผู้พิทักษ์จากสำนักอเวจีทั้งสี่กำลังหนีไปแล้ว…”
เมื่อต้วนมู่เฉิงเห็นแบบนั้น เขาก็จ้องมองรถม้าด้วยความโกรธ ตัวเขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์เต็มใจที่จะควบคุมรถมาล่องเมฆาเพื่อที่จะไล่ล่าพวกทรยศนั่นเอง! “
ลู่โจวกระโดดขึ้นรถม้าล่องเมฆา ตัวเขาเหลือบมองไปที่ผู้คนที่อยู่บนพื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “ไปกันได้แล้ว”
หลังจากที่ลู่โจวหันกลับไปมองรถม้าของสำนักอเวจี รถม้าคันนั้นได้บินไปไกลแล้ว บางทีพวกของลู่โจวอาจที่จะตามรถม้าคันนั้นไม่ทัน ท้ายที่สุดแล้วรถม้าคันนั้นก็ถูกขับเคลื่อนด้วยยอดฝีมือทั้งสี่ ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าล่องเมฆายังอยู่ที่ป่า สภาพป่าไม้จะทำให้ความเร็วของรถม้าลดลง
หยวนเอ๋อรีบบินกลับไปบนรถม้า นางไม่ลืมที่จะแลบลิ้นล้อเลียนยูฮงยี่ หลังจากที่ทำท่าล้อเลียนเสร็จหยวนเอ๋อก็ได้พูดออกมา “ข้าจะเห็นแก่ผู้อาวุโสฝาน ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าเอง…”
“…” ฝานลี่เทียนได้แต่ไอออกมา ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดออกมา “แม่สาวน้อย นั่นไม่ใช่วิธีการใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์หรอกนะ”
“ฮะ? “
“ไม่ว่ามันจะเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์หรืออาวุธระดับโลก เมื่อมันได้มีเจ้าของ อาวุธชิ้นนั้นก็จะผูกพันกับผู้เป็นเจ้าของ ยิ่งมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอาวุธมากเท่าไหร่ อาวุธชิ้นนั้นก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ข้าเห็นเจ้าใช้อาวุธก่อนหน้านี้แล้ว แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเจ้าจะทรงพลังและแข็งแกร่ง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่ได้รับการขัดเกลา…” ตัวเขาได้เอื้อมมือไปหยิบจุกฝาขวดน้ำเต้าก่อนที่จะดึงออกมาและวางมันไว้บนฝ่ามือ “ลองยกฝาขึ้นมาดูสิ”
หยวนเอ๋อได้พูดตอบกลับไปในทันที “เรื่องง่ายๆ ” หยวนเอ๋อได้โบกฝ่ามือขึ้นมา ในตอนนั้นสายสะพายนิพพานที่นางมีก็ได้ลอยไปหาฝ่ามือของฝานลี่เทียน
สายสะพายได้พันรอบจุกน้ำเต้าได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของหยวนเอ๋อยังคงดูสบายๆ นางไม่ได้ใช้ความพยายามยากเย็นอะไรเลยไปกับการทดสอบนี้
“ลองใส่มันกลับไปที่น้ำเต้าสิ” ฝานลี่เทียนได้ยกน้ำเต้าในมือขึ้นมา
หยวนเอ๋อได้พยายามควบคุมสายสะพายให้ขยับไปใกล้ๆ กับขวดน้ำเต้า…
พรึ๊บ!
หยวนเอ๋อทำพลาด
พรึ๊บ!
นางทำพลาดอีกครั้ง
หยวนเอ๋อเริ่มรู้สึกรำคาญ นางรีบใช้พลังลมปราณของตัวเองเพิ่มเติม สายสะพายนิพพานได้ลอยเคว้งอย่างเกรี้ยวกราดอยู่บนอากาศ มันดูทรงพลังเหมือนกำลังจะฆ่าใครสักคน
พรึ๊บ!
หยวนเอ๋อทำไม่สำเร็จเป็นครั้งที่สาม
แม้ว่ามันจะดูเป็นงานที่แสนจะเรียบง่ายแต่ถึงแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ไม่สามารถทำได้ นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
แม้แต่เล้งลั่วเองก็ยังสนใจกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาได้แต่ขบขันกับสิ่งที่หยวนเอ๋อทำ
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “นี่มันอะไรกัน? เจ้าตั้งใจให้ข้าทำเพื่อให้ข้ากลายเป็นตัวตลกอย่างงั้นสินะ? “
ฝานลี่เทียนได้แต่ส่ายหัว ตัวเขาหยิบจุกไม้ออกมาจากสายสะพายก่อนที่จะปิดมันลงบนขวดด้วยตัวเอง ตัวเขาได้สะบัดหัวแม่มือของตัวเองอย่างเบาๆ ในตอนนั้นจุกฝาขวดน้ำเต้าก็ได้ปิดปากขวดเอาไว้ ตัวเขาได้จับมันด้วยฝ่ามือของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “มือมนุษย์น่ะเป็นอาวุธที่ดีที่สุดแล้ว…ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะควบคุมสายสะพายของเจ้าให้ได้ เจ้าก็จะต้องควบคุมมันให้เหมือนกับมือของเจ้าเอง”
ฝานลี่เทียนพูดถึงการใช้มือเป็นอาวุธ มันเป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้วนั่นเอง
หยวนเอ๋อทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก คนเดียวที่ข้าจะเชื่อก็คือท่านอาจารย์! ” หลังจากที่พูดจบหยวนเอ๋อก็ได้เดินไปหาลู่โจว
ฝานลี่เทียนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้ตัวเขาไม่ได้มีพลังวรยุทธอะไร แม้ว่าเขาจะพยายามถ่ายทอดความรู้ให้หยวนเอ๋อมากขนาดไหนยังไงซะนางก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อถือ นอกจากนี้นางยังเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ดูเหมือนว่าตัวเขาจะก้าวก่ายกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากจนเกินไป ในท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอโทษทีที่ข้ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่เป็นไรหรอก”
ฝานลี่เทียนเป็นยอดฝีมือลำดับหนึ่งของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ เขาเป็นชายผู้อยู่ในรุ่นเดียวกับเล้งลั่ว ความรู้และประสบการณ์ของเขามีมากมายจนคนรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้ เป็นเรื่องที่ดีที่เขาเต็มใจจะสอนคนรุ่นใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวในก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเวลาสั่งสอนลูกศิษย์ทั้งหลาย
ลู่โจวมองไปที่หยวนเอ๋อก่อนที่จะพูดออกมา “สิ่งที่ผู้อาวุโสฝานพูดน่ะถูกต้องแล้ว…อันที่จริงเจ้าควรจะฝึกฝนตัวเองควบคู่ไปกับอาวุธของเจ้าให้เชี่ยวชาญ เจ้าน่ะควรที่จะขอบคุณผู้อาวุโสฝาน ฟังคำเตือนของเขาซะ ข้าจะใช้เวลาสั่งสอนพวกเจ้าให้มากกว่านี้ถ้าหากกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้”
“ขอบคุณมากค่ะท่านอาจารย์! ” หยวนเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข
ลู่โจวมองไปที่ขวดน้ำเต้าบนมือของฝานลี่เทียนก่อนที่จะถามออกมา “อาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างงั้นหรอ? “
ฝานลี่เทียนที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขาพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านช่างสายตาเฉียบคมจริงๆ “
เล้งลั่วเองที่ได้ฟังก็ได้พูดออกมา “ขวดน้ำเต้าอย่างงั้นหรอ…ช่างน่าสนใจจริงๆ “
“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น ในตอนที่ป่าแห่งความมืดถูกไฟเผาทำลายไป 49 วัน มีเพียงของสิ่งนี้เท่านั้นที่เหลือรอดมาได้” ฝานลี่เทียนยกน้ำเต้าออกมาด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะแกว่งมันไปมา แม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่ได้มีความสำคัญอะไรแต่ยังไงซะน้ำเต้าอันนี้ก็เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาอาวุธล้ำค่าแบบนี้เอาไว้หลังจากที่สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไป
รถม้าล่องเมฆาเดินทางออกจากป่าไปก่อนที่จะบินสูงขึ้น มันได้บินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก มันกำลังบินตามรถม้าของสำนักอเวจีนั่นเอง
แม้จะรวดเร็วแค่ไหนแต่รถม้าของสำนักอเวจีก็ได้บินหายไปในท่ามกลางหมู่เมฆ มันได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ท่านอาจารย์ การที่จะตามรถม้าที่ถูกสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ขับเคลื่อนได้เป็นอะไรที่ยากสำหรับศิษย์ เมื่อพวกเขาทั้งสี่รวมพลังกันย่อมมีพลังมากกว่าศิษย์…”
“ศิษย์พี่สาม ข้าจะช่วยท่านเอง! ” หยวนเอ๋อได้พูดขึ้น
การออกบินของรถม้าล่องเมฆาจะขึ้นอยู่กับคนที่ควบคุมพังงา ยิ่งพลังวรยุทธของผู้ขับเคลื่อนสูงส่งมากแค่ไหน รถม้าล่องเมฆาก็จะรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
โดยปกติแล้วลู่โจวรู้เรื่องนี้ดี ตัวเขาได้ตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ยู่เฉิงไห่ถูกพลังผนึกมนตราของข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ยังไงซะเจ้านั่นจะต้องปรากฏตัวขึ้นไม่ช้าก็เร็ว หยุดไล่ตามเจ้าพวกนั้นซะเถอะ…”
ยู่เฉิงไห่เป็นคนที่ไม่เคยที่จะหยุดความฝัน ตัวเขาเฝ้าฝึกฝนตัวเองเพื่อหวังที่จะแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด ลำพังยู่เฉิงไห่ที่ไร้พลังคงจะดูแลสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่ได้แน่
“หะ? “
สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ดูไร้อารมณ์ “กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ! “
ในตอนนั้นเองที่ป่าแห่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์ได้สาดส่องผ่านใบไม้ไปที่ร่างเปลือยของสีวู่หยา แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบร่างของเขาทำให้เกิดเงาขึ้นบนพื้น ตัวเขาในตอนนี้ได้แต่พิงตอไม้ต้นหนึ่ง ที่หน้าอกของเขามันถูกพลังตัวหนังสือประทับเอาไว้ ตัวหนังสือที่ว่าก็คือ ‘ผนึก’ พลังตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าอกได้ฝังรากลึกเข้าไปที่ผิวหนังของตัวเขา สีวู่หยาได้มองขึ้นไปบนฟ้า ในตอนนั้นเขาเห็นยู่เฉิงไห่กลับมา
ยู่เฉิงไห่ร่อนลงบนตอไม้อย่างสง่างาม ตัวเขาในตอนนี้ถือกระบี่นิลโลหิตเอาไว้ในมือขวา ยู่เฉิงไห่ได้ใช้มันแทงลงบนพื้นเพื่อช่วยในการพยุงตัวเอง ตัวเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ที่มุมปากของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด
“เคล็ดวิชาผนึกมนตรา…ท่านอาจารย์เก็บไพ่ตายเอาไว้เยอะจริงๆ ” สีวู่หยาได้พูดออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องเจอเรื่องที่ยากลำบากซะแล้วล่ะศิษย์น้องเจ็ด” ยู่เฉิงไห่พูดขึ้นมาในขณะที่มองไปที่ด้านหน้า
“พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกัน…ไม่ต้องสุภาพกับข้าแบบนี้หรอก ข้าได้แต่โทษในความไม่ระวังของตัวข้าเอง ข้าคิดว่าจะล่อท่านอาจารย์ไปที่กุ้ยหนิวเพื่อให้ศิษย์พี่จัดการกับยูฮงยี่ไปได้แล้วแท้ๆ น่าเสียดายจริงๆ …” สีวู่หยาได้พูดขึ้น