My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 239
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นจะต้องสุภาพกับข้าถึงขนาดนั้นหรอก” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างอ่อนโยน หมิงซี่หยินพยักหน้าเมื่อได้ยินแบบนั้น ความภาคภูมิใจที่มีมาในอดีตจนถึงตอนนี้ได้ละลายหายไปจนหมดแล้ว
“ศิษย์พี่รอง อะไรพาให้ท่านมาถึงหุบเขาราชพฤกษ์แห่งนี้ได้กัน? ” หุบเขาราชพฤกษ์แห่งนี้ยากที่จะตามหาได้ หมิงซี่หยินไม่คิดว่าศิษย์พี่รองคนนี้จะทำลายความภาคภูมิใจที่ตัวเขาใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าที่จะหาที่แห่งนี้เจอได้
ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้ามีนัดกับศิษย์น้องเจ็ดน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็หนาวไปถึงกระดูก ทั่วทั้งแขกของเขาขนลุกตั้งขึ้นมาทันที ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาที่กำลังยืนตรง ตัวเขาเข้าใจว่าไปยู่ชิงมาที่นี่ก็เพื่อที่จะปกป้องศิษย์น้องคนนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องคนรองจะนัดกับศิษย์น้องเจ็ดด้วย ตัวเขาได้แต่แอบชมเชยสีวู่หยาอยู่ภายในใจ ‘นี่สินะพลังของนักวางกลยุทธ์! ‘
หลังจากที่ศิษย์ทั้งสามพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทุกคนก็มองกลับไปที่ไปยู่ชิง
อวตารของไปยู่ชิงถูกดาบของยู่ฉางโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว
ยู่ฉางตงได้มองไปที่ไปยู่ชิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าคือไปยู่ชิงเจ้าแห่งโถงพยัคฆ์ขาวที่ทำตามคำสั่งศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นสินะ? “
ไปยู่ชิงกลืนน้ำลาย ตัวเขาพยายามซ่อนอาการความเจ็บปวดเอาไว้ก่อนที่จะยืดตัวขึ้น ตัวเขาพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ได้แต่คุกเข่าก็เท่านั้น ไปยู่ชิงแสดงความเคารพก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านยู่ฉางตง ข้าขอคารวะ” ไปยู่ชิงไม่ได้แสดงความอึดอัดใจอะไรออกมา ตัวเขาถูกเจ้าสำนักอเวจีสอนมาเสมอ เจ้าสำนักมักจะบอกว่าสำนักอเวจีย่อมทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะสังหารเทพเจ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มีเพียงคน 2 คนเท่านั้นที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนแรกก็คือปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า และอีกคนหนึ่งก็คือศิษย์ของเขาอย่างยู่ฉางตง
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็รักษากฎเกณฑ์ข้อนี้เป็นอย่างดี แม้ว่ามันจะเป็นข้อห้ามแต่ท้ายที่สุดแล้วสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็อยากประมือกับเหล่ายอดฝีมือที่เป็นเหมือนกับตำนานพวกนั้นอยู่ดี ยู่ฉางตงเป็นหนึ่งในตำนานนั้น เขาเป็นนักดาบผู้เลื่องชื่อผู้ได้สมญานามว่าดาบปีศาจ ยู่ฉางตงเป็นผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกับเจ้าสำนักอเวจี ถ้าหากไปยู่ชิงกล้าขัดขืนชายคนนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกสังหารไปแล้วอย่างแน่นอน การโจมตีของยู่ฉางตงทำให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่างได้ แม้ว่ามันจะเป็นพลังที่ต่างกันเพียงดอกบัวแค่กลีบเดียว แต่ถึงแบบนั้นไปยู่ชิงก็ยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ปริปากบ่น
ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย”
“ขอบคุณที่เมตตาข้าท่านยู่ฉางตง…” ไปยู่ชิงได้พูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะชอบรังแกผู้ที่พลังอวตารอ่อนแอกว่าอย่างงั้นสินะ? ” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาเบาๆ
“เอ่อ…” การที่ไปยู่ชิงใช้พลังร่างอวตารอย่างสุดพลังเป็นเหมือนกับการกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่าจริงๆ
“ข้าได้รับคำสั่งมาให้ปกป้องท่านสีวู่หยาจากท่านเจ้าสำนัก ท่านหมิงซี่หยินยืนกรานที่จะพาตัวท่านสีวู่หยาไปด้วย เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่มีทางเลือก โปรดเข้าใจจุดยืนข้าด้วยท่านยู่ฉางตง”
เมื่อยู่ฉางตงได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ได้หันไปทางสีวู่หยาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องเจ็ด เป็นความจริงอย่างงั้นหรอ? ” ตัวเขาไม่ได้รอฟังคำตอบ ยู่ฉางตงได้พูดต่อไป “ไม่จำเป็นจะต้องรีบตอบหรอก ถ้าหากมันไม่เป็นความจริง ข้าจะจัดการเขาตั้งแต่ที่นี่…ข้าจะช่วยศิษย์พี่ใหญ่จัดการกับสาวกชั่วผู้พูดปลดคนนี้เอง”
ไปยู่ชิง “…”
หมิงซี่หยิน “…”
หมิงซี่หยินรู้สึกสะท้านไปทั้งทรวง ศิษย์พี่รองของเขาเป็นคนที่ไม่อาจหยั่งถึงได้
ยู่ฉางตงจงใจที่จะฝากชีวิตของไปยู่ชิงเอาไว้ในมือของสีวู่หยา
สีวู่หยาไม่ลังเลที่จะตอบกลับไป “มันเป็นความจริงศิษย์พี่”
ยู่ฉางตงเป็นคนที่ซื่อตรง เมื่อได้ฟังคำจริงแบบนั้นตัวเขาก็ได้คารวะไปยู่ชิง “เป็นความผิดของข้าเอง”
ไปยู่ชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้คารวะกลับไป “ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็ไม่ได้สนใจไปยู่ชิงอีกต่อไป ตัวเขาได้มองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องเจ็ด เนื่องจากเขาเป็นฝ่ายที่ปกป้องเจ้า เพราะแบบนั้นี่จะต้องถือเป็นความผิดของเจ้า”
“หืม? ” สีวู่หยาตากระตุก
ยู่ฉางตงได้พูดต่อ “ศิษย์น้องสี่อาจจะเป็นคนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่ถึงแบบนั้นแท้จริงแล้วเขาเป็นคนคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์รวมไปถึงความจงรักภักดีมากกว่าสิ่งอื่นใด ข้ารู้จักเขาดี เขาไม่มีทางที่จะพรากชีวิตเจ้าไปแน่”
“ศิษย์พี่รอง…”
“ไม่จำเป็นจะต้องอธิบาย” ยู่ฉางตงยืนตรงกลางอากาศก่อนที่จะบินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาบินไปที่ด้านข้างของไปยู่ชิง
เหงื่ออันเย็นยะเยือกได้ไหลอาบใบหน้าของไปยู่ชิง ตัวเขากำลังสั่นเครือ
ยู่ฉางตงไม่ได้สนใจอะไรไปยู่ชิง ตัวเขาได้มองไปที่สีวู่หยาอย่างเย็นชา “มีแต่ผู้ที่เป็นศิษย์พี่เท่านั้นที่จะสั่งสอนผู้เป็นศิษย์น้องได้ เจ้ากล้าทำตัวหยาบคายกับผู้เป็นศิษย์พี่แบบนี้ได้ยังไงกัน? “
สีวู่หยาถอนหายใจ ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างหมดหนทาง “ท่านพูดถูกทุกอย่างศิษย์พี่รอง”
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้บินมาหา เขาได้ยืนอยู่ข้างๆ ไปยู่ชิง “ขอบคุณศิษย์พี่ที่เข้าใจข้า…ที่ข้ามาหาศิษย์น้องเจ็ดก็เพราะจะให้เข้ากลับไปเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์”
“ศิษย์น้องสี่” ยู่ฉางตงได้พูดขึ้น “ข้าขออะไรได้ไหม? “
“ได้เลยศิษย์พี่รอง”
ยู่ฉางตงได้พูดออกมา “ศิษย์น้องเจ็ดเขาน่ะถือเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง เขาคอยช่วยงานข้ามาตลอดกว่าหลายปี…ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี”
สีหน้าของหมิงซี่หยินที่ฟังแบบนั้นเปลี่ยนไป ตัวเขาฝืนยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ตามใจท่านเถอะศิษย์พี่รอง”
“ศิษย์น้องวูหยา เจ้าส่งพัดขนนกยูงรวมไปถึงขอโทษให้กับศิษย์น้องสี่เดี๋ยวนี้” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ด้วยวิธีนี้ศิษย์น้องสี่ก็จะไม่ต้องกลับไปมือเปล่า”
สีวู่หยา “…” ตัวเขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่นัดพบกับศิษย์พี่รองในวันนี้ ตัวเขาได้ถึงความรู้สึกไม่พอใจของศิษย์พี่รองได้นิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามันมาจากศิษย์พี่ใหญ่หรือมาจากไปยู่ชิงกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนจะมัวแต่คาดเดาไปก็คงจะไม่มีความหมาย ตัวเขาได้คารวะผู้เป็นศิษย์พี่รอง “ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่รอง”
ตัวเขาได้หันไปทำความเคารพหมิงซี่หยิน “ศิษย์พี่สี่ ข้าต้องขออภัยด้วยที่หยาบคายกับท่านก่อนหน้านี้ ได้โปรดยอมรับคำขอโทษจากข้าด้วย”
ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่เคยมีประเพณีแบบนี้มาก่อน โดยปกติแล้วพิธีรีตองแบบนี้จะเป็นสิ่งที่สำนักฝ่ายธรรมะเชื่อถือเท่านั้น มันเป็นเหมือนกับพิธีการอันเข้มงวดไปแล้วนั่นเอง การที่สีวู่หยาจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความอึดอัด
หมิงซี่หยินไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ตัวเขาได้แต่พูดตอบกลับไป “ข้าไม่ได้ถือสาอะไรเจ้าหรอก ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าจะพาเจ้ากลับได้อย่างราบรื่น” ดูเหมือนว่าวันนี้ตัวเขาจะโชคไม่ดี เขาไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนเลยว่าพลังวรยุทธของสีวู่หยาจะถูกผนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ผนึกที่มียังถูกอาจารย์ของเขาเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้นกับสีวู่หยาในหลายวันมานี้กัน ตัวเขาได้แต่ส่ายหัวไป ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงเรื่องที่ไม่เห็นกลับตาตัวเอง ตัวเขาคงจะรู้เรื่องเองหลังจากที่กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้
หมิงซี่หยินยื่นมือไปทางสีวู่หยา
ในตอนนั้นสีวู่หยาก็ได้ส่งสัญญาณให้กับเหล่าสาวก ในเวลาไม่นานสาวกคนหนึ่งก็ได้ถือพัดขนนกยูงมาด้วย สาวกคนนั้นรีบส่งพัดให้ก่อนรีบจะเดินจากไป
ถ้าดูจากรูปลักษณ์ของมัน พัดขนนกยูงดูเหมือนทำมาจากทองคำอันบริสุทธิ์ พัดขนนกยูงประกอบไปด้วยทองคำสองบานพับ เมื่ออัดพลังลมปราณไปที่พัด อาวุธลับที่มีก็จะพุ่งออกมาจากบานพับทั้งสอง มันดูสวยงามราวกับเป็นขนของหางนกยูง ในขณะที่เหยื่อกำลังหลงใหลกับความงามของมัน เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะคร่าชีวิตของเหยื่อคนนั้นไป มันเป็นพลังของพัดขนนกยูงนั่นเอง
สีวู่หยาไม่ได้แสดงออกอะไร
หมิงซี่หยินได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยิบพัดขนนกยูงอันนั้นไป ตัวเขาได้แต่ประหลาดใจเมื่อได้จับอาวุธชิ้นนี้ หมิงซี่หยินได้จ้องมองดูมันสักครู่ก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนนี้เจ้าไม่มีทั้งพลังวรยุทธแหละอาวุธ…แต่อย่างไรก็ตามเจ้ายังมีสมองอยู่…”
“ท่านอยากที่จะทำลายสมองของข้าด้วยอย่างงั้นหรอศิษย์พี่? “
“เมื่อเป็นคำขอของศิษย์พี่รองข้าก็คงมีแต่จะต้องทำตาม แต่ไม่ว่าจะยังไงเจ้าควรจะหลีกเลี่ยงเรื่องในยุทธภพจะดีกว่า เจ้าที่ไม่มีทั้งพลังวรยุทธรวมไปถึงพัดขนนกยูง เจ้าในตอนนี้ปกป้องตัวเองจากศัตรูไม่ได้หรอกศิษย์น้อง…”