My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 240
“ข้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวหรอกศิษย์พี่” สีวู่หยาได้ตอบกลับไปก่อนที่จะทำความเคารพหมิงซี่หยินด้วยความเคารพ ตัวเขาทำเหมือนกับว่ากำลังส่งแขกอยู่นั่นเอง
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันหน้าหนี ตัวเขาไม่อยากที่จะเสียเวลากับสีวู่หยาอีกต่อไป หมิงซี่หยินกระโดดขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องตกอยู่ในมือของข้าในสักวัน” หลังจากพูดจบตัวเขาก็ได้หายไปจากยอดหุบเขาราชพฤกษ์
สีวู่หยาได้คารวะให้กับยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณจริงๆ ที่ช่วยข้า ศิษย์พี่รอง”
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าได้ช่วยเจ้าไหม แต่เจ้าดูเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่ข้าทำอย่างงั้นสินะ” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ เช่นเดิม
“ข้าน้อยไม่กล้าคิดเช่นนั้น” ไปยู่ชิงได้รับหน้าที่ปกป้องสีวู่หยาและหุบเขาราชพฤกษ์แห่งนี้เอาไว้ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่การปรากฏตัวของยู่ฉางตงก็ทำให้ไปยู่ชิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บ และตัวเขาเองก็สูญเสียอาวุธระดับสรวงสวรรค์ไปอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสีวู่หยาจะพอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้
ยู่ฉางตงเข้าใจความคิดของสีวู่หยาดี แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้พูดถึงมันออกมา ตัวเขาหันไปมองไปยู่ชิงก่อนที่จะถามขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ส่งเจ้ามาอย่างงั้นหรอ? “
ไปยู่ชิงพยายามเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนักได้สั่งให้ข้ามาที่นี่ ข้าน้อยไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง”
ยู่ฉางตงได้พูดต่อ “เมื่อเจ้ากลับไป บอกกับศิษย์พี่ใหญ่ด้วยว่าข้าไม่ได้มีเจตนาอะไรที่จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องของเขา ข้าน่ะไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ควรที่จะยุ่งทำตัวเช่นนี้…”
“เอ่อ…” ไปยู่ชิงเหลือบมองไปที่สีวู่หยาอย่างหมดหวัง
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “พี่ไปยู่ชิง ได้โปรดกลับไปก่อนเถอะ”
ไปยู่ชิงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน..ฝากดูแลท่านสีวู่หยาแทนข้าด้วย” ไปยู่ชิงเป็นถึงเจ้าแห่งโถงพยัคฆ์ขาว ตัวเขารู้ดีว่ายู่ฉางตงคนนี้มีความขัดแย้งอะไรกับยู่เฉิงไห่เจ้าสำนักของตัวเขา ทั้งสองคนไม่เคยพบกันมาก่อนหลังจากที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่นั่นก็ไม่ได้บรรเทาความขัดแย้งที่ศิษย์ทั้งสองคนมีเลย ท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงก็ตั้งใจที่จะทำร้ายผู้เป็นเจ้าสำนักอย่างยู่เฉิงไห่ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ไปยู่ชิงก็ได้แต่โทษความโชคร้ายนี้ที่จะต้องเจอกับยู่ฉางตงกลางทาง
หมิงซี่หยินรีบเร่งความเร็วสูงสุดเพื่อที่จะกลับศาลาปีศาจลอยฟ้า หลังจากที่บินอยู่นานตัวเขาก็เดินทางมาถึงเมืองถังซี อย่างน้อยที่สุดตัวเขาก็บอกกับท่านอาจารย์ได้ว่าได้พัดหางนกยูงคืนมาแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หมิงซี่หยินก็รู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิม
หมิงซี่หยินจดจ่ออยู่กับการตามล่าสีวู่หยามาโดยตลอด เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาจะต้องประมือกับไปยู่ชิงอีกด้วย ในตอนนี้ตัวเขาต้องการเวลาที่จะพักผ่อนบ้าน หมิงซี่หยินที่คิดแบบนั้นตัดสินใจที่จะแวะจุดพักผ่อนใกล้ๆ กับเมืองถังซี มันเป็นจุดพักผ่อนที่คนทั้งหลายจะมาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ในตอนนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งชี้ไปยังภูเขาทองก่อนที่จะพูดขึ้น “ดูนั่นสิ ม่านพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าดูอ่อนพลังลงอีกครั้งแล้ว”
เมืองถังซีอยู่ไม่ไกลจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามากนัก แต่การที่จะมองไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อได้ยินแบบนั้นแสดงว่าความคิดเห็นของคนเหล่านี้ก็มาจากความคาดเดาเท่านั้น ในตอนนี้ดูเหมือนว่าใครหลายๆ คนจะสนใจศาลาปีศาจลอยฟ้ามากขึ้น
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ได้ไม่นานแน่”
“ข้าคิดว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายทำถูกแล้ว…ศักดิ์ศรีและเกียรติยศมีความหมายกับทุกคนก็จริง แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากเป็นข้า ข้าก็คงอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อจนยอมปล่อยให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าถูกเหยียบย่ำต่อไป!
หมิงซี่หยินไม่แปลกใจเลยกับคำพูดของคนพวกนี้ มีเรื่องที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์มากมายในโลกอันกว้างขวางนี้ เส้นทางของฝ่ายอธรรมมักจะดึงดูดหลายๆ คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันมารวมตัวกัน ในฐานะที่หมิงซี่หยินเป็นเหมือนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในฝ่ายอธรรม ศาลาปีศาจลอยฟ้าจึงกลายเป็นสถานที่ที่น่าเคารพนับถือจากผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ต้องการกลายเป็นศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้ามากมาย น่าเสียดายที่อาจารย์ของตัวเขาอายุมากแล้ว เพราะอายุที่เพิ่มขึ้นผู้เป็นอาจารย์ของเขาจึงเลิกที่จะรับศิษย์ไปนานแล้ว
“ศักดิ์ศรีนะไม่ช่วยชีวิตของใครหรอกนะ มีใครสักคนได้ไปดูเมื่อวานนี้ ดูเหมือนม่านพลังที่มีจะอ่อนพลังจนเหลือพลังเพียงแค่ 1 ใน 3 ส่วนแล้ว ดูเหมือนศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่มีเจตนาซ่อมแซมม่านพลังที่มีเลย”
“การที่จะซ่อมม่านพลังที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย…คงจะต้องใช้เวลากว่าหลายปีกว่าที่จะซ่อมแซมมันได้ อีกไม่กี่ปีก็ใกล้จะถึงเวลาที่จะ…”
“เจ้าพูดมีเหตุผล…”
หมิงซี่หยินได้ฟังหลายๆ คนแสดงความคิดเห็นออกมา ตัวเขาไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาพวกนั้นด้วย ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่นึกถึงเรื่องของตัวเองก่อนที่จะเพลิดเพลินไปกับการดื่มชา
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักดาบสวรรค์เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้ง…สำนักดาบสวรรค์คงจะต้องกระวนกระวายกับเรื่องนี้แน่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ลุกขึ้นยืน ตัวเขาเดินไปตรงกลุ่มชาวบ้าน “สำนักดาบสวรรค์กำลังโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าอันแสนชั่วร้ายอีกครั้งอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินพยายามเป็นเหมือนกับคนธรรมดาให้มากที่สุด
เป็นเรื่องปกติที่จะมีผู้อยากเข้าร่วมวงสนทนา สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับสถานที่แห่งการพักผ่อนและแลกเปลี่ยนข้อมูลไปแล้วนั่นเอง
ผู้ฝึกยุทธมีเคราคนหนึ่งได้พูดออกมา “เจ้าสำนักดาบสวรรค์ลั่วฉางเฟิงถูกปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าสังหารไป เขาคนนั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของลั่วซิงกง เจ้าอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ แม้แต่ศิษย์ฝีมือดีอย่างโจวจี้เฟิงเองก็ยังทรยศก่อนที่จะผันตัวเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าเรื่องนี้ทำให้ลั่วซิงกงไม่ได้นอนกว่าสามวันสามคืนเพราะความโกรธแค้นที่พรั่งพรูของตัวเขา”
“ลั่วซิงกงได้ส่งเทียบเชิญไปที่สำนักใหญ่มากมายหลายสำนัก เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจที่จะเปิดฉากการโจมตีภูเขาทองก่อนเวลาปรมาจารย์มหาวายร้ายจะหมดลงก็เป็นได้”
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตาแก่ลั่วซิงกงกล้าหาญถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? “
‘ตาแก่อย่างงั้นหรอ? ‘ คนอื่นๆ ได้มองไปที่หมิงซี่หยิน
“ไม่จำเป็นจะต้องใช้อารมณ์แบบนั้นหรอกพี่ชาย นี่เป็นเพียงแค่การพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ในระหว่างที่ดื่มชาเท่านั้น อย่าใส่อารมณ์กับเรื่องนี้มากเลย” ผู้ฝึกยุทธมีเคราคนหนึ่งได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
หมิงซี่หยินไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขาได้ถามออกมาอีกครั้ง “ลั่วซิงกงได้ส่งเทียบเชิญไปแล้วรึยัง? “
“ถูกต้อง…เขาได้ส่งเทียบเชิญไปให้กับสิบสำนักใหญ่แล้ว นอกเหนือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ทุกสำนักต่างก็ได้รีบเทียบเชิญ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่วจะเข้าร่วมกับศึกครั้งนี้ด้วยไหม”
“ลั่วซิงกงมั่นใจมาจากไหนกัน? ข้าหมายถึงสถานการณ์ที่สำนักดาบสวรรค์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้ฝึกยุทธอิกคนหนึ่งก็ได้พูดออกมา “ลั่วซิงกงได้เก็บตัวฝึกฝนตัวเองมานานกว่าหลายปีแล้ว พวกเราน่ะประมาทไม่ได้เลย นอกจากนี้ม่านพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้ายังอ่อนกำลังลงไปมาก บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาต่างก็เฝ้ารอ”
หมิงซี่หยินได้หัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ในตอนที่ภูเขาทองถูกโจมตี ในตอนนั้นแม้ว่าปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะยากที่จะรับมือ แต่ถึงแบบนั้นศิษย์สาวกของเขาก็ยากที่จะสู้ได้อยู่ดี”
“เจ้าเองก็พูดมีเหตุผล”
หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ออกจากจุดพักไป
ในตอนนั้นเอง ณ ห้องโถงใหญ่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลุ่โจวกำลังมองไปที่ราคาของพลังร่างอวตารใหม่ มันมีราคากว่า 20,000 แต้มบุญ เมื่อเห็นราคาที่แพงเกินเหตุลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะจับฉลากนำโชค
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้ 50 แต้มบุญ ได้รับการ์ดพลังชีวิต x3”
‘ไม่เลวเลย’ ลู่โจวรู้สึกเหมือนกับได้ใช้ค่าความโชคดีไปกว่า 100 แต้ม ตัวเขารู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้รับรางวัลตอบแทนแบบนี้ หรือว่านี่อาจจะขึ้นอยู่กับจังหวะและโชคชะตา
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้ 50 แต้มบุญ ได้รับการ์ดประกันชีวิต x5”
‘ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้อะไรเลย’ ลู่โจวจำได้ว่าขอชิ้นนี้เคยถูกใช้งานเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะแบบนั้นสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่ของที่มีค่ามากมายอะไร
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้ 50 แต้มบุญ ได้รับค่าความโชคดี 1 แต้ม”
ชัยชนะต่อเนื่องของลู่โจวในที่สุดก็สิ้นสุดลง ตัวเขาได้ปิดเมนูระบบไปด้วยความผิดหวัง
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อตัวน้อยก็ได้วิ่งเข้ามายังห้องโถงอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่สี่กลับมาแล้ว! “
“ดีมาก” ลู่โจวมองออกไปข้างนอก
หมิงซี่หยินเดินเข้ามาพร้อมกับถือพัดขนนกยูงที่มีอยู่ในมือ “ท่านอาจารย์ศิษย์ได้สืบเรื่องของเจดีย์ลอยฟ้ามาจนตามหาศิษย์ทรยศสีวู่หยาเจอ เขาอยู่ที่ยอดเขาราชพฤกษ์ ที่นั่นเป็นเหมือนกับฐานทัพลับของเขาอีกแห่งหนึ่ง น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจับตัวศิษย์ทรยศไว้ได้ เขาถูกคุ้มกันโดยยอดฝีมือ สิ่งที่ศิษย์ได้มามีเพียงอาวุธของเขาเท่านั้น”
ลู่โจวจำแต้มบุญที่ตัวเขาได้มาจากการลงโทษของสีวู่หยาได้ ตัวเขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น “ส่งมันมา”
หมิงซี่หยินยื่นพัดขนนกยูงให้กับลู่โจวด้วยมือทั้งสองข้าง
“ติ้ง! ได้รับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ พัดขนนกยูงจำเป็นจะต้องได้รับการขัดเกลา”
นี่คืออาวุธของสีวู่หยาไม่ผิดแน่ มันเป็นอาวุธที่สามารถปลดปล่อยอาวุธลับที่มีระยะไกล มันเป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย