My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 242
“ถ้าหากข้าเปิดมันได้ก็คงจะไม่แบกกล่องใบนี้มาที่นี่หรอกนะ จริงไหม? ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดพลางกลอกตามองบน
“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่สาม” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างอายๆ
ลู่โจวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ตัวเขาได้เดินเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินไปยังกล่องใบนั้น มีกล่องมากมายหลายใบซ่อนอยู่ในห้องลับ ตัวเขาไม่เคยคิดจะสนใจกล่องพวกนี้เลย กล่องทุกใบล้วนแต่ถูกฝุ่นเกาะจนหนาเตอะ มันถูกทิ้งขว้างมาเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง
“กล่องใบอื่นๆ ที่อยู่ในห้องลับต่างก็ได้รับความเสียหายในตอนที่ห้องลับถูกทำลายไป กล่องใบนี้เป็นกล่องใบเดียวที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ศิษย์พบว่าเรื่องนี้มันแปลกก็เลยแบกกล่องมาถึงที่นี่” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมา
หมิงซี่หยินที่ฟังแบบนั้นยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้น “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ท่านอาจารย์จะมีสมบัติล้ำค่าแบบนี้”
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรศิษย์ทั้งสอง ตัวเขาก้มลงก่อนที่จะจ้องมองกล่อง กล่องใบนี้จะต้องถูกทิ้งไว้ในห้องโดยฝีมือของจีเทียนเด๋าในครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่แน่ แต่ในตอนนี้เรื่องมันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ความทรงจำที่ลู่โจวมีจึงพร่ามัวไม่ชัดเจน ตัวเขาจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับกล่องใบนี้
“มีข้อกำหนดในการเปิด” ลู่โจวที่มองไปยังเส้นที่อัดแน่นอยู่รอบๆ กล่องก็รู้ได้ทันทีว่ากล่องใบนี้ไม่ใช่กล่องธรรมดา มันเป็นกล่องที่มีข้อกำหนดในการเปิดนั่นเอง เส้นที่เห็นครอบคลุมพื้นผิวทั้งหกด้านของกล่องใบนั้น ถ้าหากลู่โจวไม่จ้องมองมันอย่างละเอียดตัวเขาก็คงคิดว่ามันเป็นแค่ลวดลายประดับตกแต่งที่ดูสวยงามของกล่องใบนี้เท่านั้น สิ่งที่แปลกก็คือรูปแบบของข้อกำหนด ดูเหมือนว่ามันจะต้องใช้พลังลมปราณในการเปิดของสิ่งนี้ แล้วจะต้องทำยังไงถึงจะผ่านข้อกำหนดนี้ไปได้ล่ะ?
เมื่อลู่โจวเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่ในห้องลับ ตัวเขาได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เท่านั้น ภายใต้พลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ กล่องต่างๆ , สมบัติหรือแม้แต่อาวุธทั้งหมดถูกทำลายโดยที่ไม่มีข้อยกเว้น มีเพียงกล่องใบนี้เท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย นั่นหมายความว่าวัสดุที่สร้างกล่องใบนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นของที่มีพลังป้องกันอันทรงพลังมากแน่
“ท่านอาจารย์มีความรู้ในเรื่องของข้อกำหนดกว้างขวาง แล้วในกล่องใบนี้มีข้อกำหนดแบบไหนกันหรอครับท่านอาจารย์? ” หมิงซี่หยินไม่สามารถละความอยากรู้อยากเห็นทิ้งได้
ลู่โจวไม่พูดอะไร ตัวเขายังคงเฝ้ามองต่อไป พอเดินไปอีกข้างหนึ่งตัวเขาก็สังเกตเห็นรูเล็กๆ “กุญแจ…”
หมิงซี่หยินเองก็ตามมาดูเช่นกัน เขาได้ก้มหน้าลงก่อนที่จะจ้องมองดู หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้อุทานออกมาด้วยความตกใจ “จริงด้วย พวกเราต้องการกุญแจ”
ต้วนมู่เฉิงเห็นรู้กุญแจเช่นกัน “ท่านอาจารย์ ข้าจะไปหากุญแจให้เดี๋ยวนี้”
“ไปซะ…”
ต้วนมู่เฉิงได้หันกลับไปก่อนที่จะเดินจากไปในทันที ในตอนนี้ห้องลับนั้นดูเละเทะจนเกินไป ตัวเขาคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะหาของเล็กๆ อย่างกุญแจเจอได้
ลู่โจวไม่คิดว่ากุญแจจะอยู่ในห้องลับได้ ตัวเขาเหลือบมองไปที่เมนูระบบที่มี ตามที่คาดการณ์เอาไว้ ที่ภารกิจตามหากุญแจที่หายสาบสูญมีคำต่อท้ายถูกเพิ่มขึ้นมา มันเป็นภารกิจที่ให้เอากุญแจดอกนั้นเปิดกล่องสมบัติที่ต้วนมู่เฉิงเอามานั่นเอง ลู่โจวคิดไปไกลเกินเหตุ แท้จริงแล้วกล่องที่จะต้องใช้กุญแจเปิดมันอยู่ใต้จมูกของตัวเขานั่นเอง ลู่โจวที่คิดแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “นำกล่องใบนี้ไปทางศาลาทางตะวันออกซะ”
“ครับท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินรีบนำกล่องออกไป
ลู่โจวได้โบกแขนอย่างลวกๆ การโบกแขนของเขาได้ทำให้ลู่โจวเก็บพัดขนนกยูงกลับไปได้ ลู่โจวตัดสินใจที่จะเดินทางกลับไปยังศาลาทางตะวันออก
7 วันได้ผ่านพ้นไปในพริบตา
หลังจากที่ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไปกว่าเจ็ดวัน ลู่โจวก็รู้สึกได้ถึงพลังพิเศษที่อยู่ในตัว พลังพิเศษนี้กำลังถูกเติมเต็มอีกครั้ง
ลู่โจวพยักหน้า เมื่อพลังของตัวเขาเพิ่มขึ้นก็จะเท่ากับว่าลู่โจวสามารถใช้พลังพิเศษได้หลายครั้งแล้ว ในตอนนี้ลู่โจวสามารถใช้พลังพิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้ 2 อย่าง อย่างแรกก็คือพลังแห่งคำพูด มันเป็นพลังที่คล้ายกับเคล็ดวิชาในการใช้คลื่นเสียง ส่วนอย่างที่สองนั่นก็คือพลังแห่งความเงียบ มันเป็นพลังแห่งการสะท้อนนั่นเอง
การจะใช้พลังพิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ทั้งสองอย่างได้ตัวผู้ใช้จะต้องมีแหล่งพลังพิเศษที่อยู่ในตัวมากพอ พลังที่เกิดขึ้นเป็นพลังที่มาจากการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
ลู่โจวได้ถอนหายใจออกมา ‘เจ็ดวันเลยอย่างงั้นหรอ? จะต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยสินะกว่าที่จะใช้พลังพิเศษได้ในแต่ละครั้ง’ ลู่โจวประหลาดใจเล็กน้อยกับเงื่อนไขในการใช้พลังที่สูงส่งแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามการจะใช้พลังอันยิ่งใหญ่ได้ก็จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ทัดเทียมเป็นเรื่องธรรมดา
“ท่านอาจารย์ มีจดหมายมาจากเจียงอาเฉียน” เสียงของจ้าวยู่ได้ดังออกมาจากด้านนอก
นับตั้งแต่ที่หยวนเอ๋อรู้สึกหลงใหลในสายสะพายนิพพานของนาง งานรับจดหมายก็ตกเป็นหน้าที่ของจ้าวยู่ไป เรื่องนี้ดีกว่าตัวของลู่โจวเอง จ้าวยู่เป็นศิษย์ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหยวนเอ๋อ นางคงไม่ใช่อารมณ์มาข้องเกี่ยวด้วยแน่
“อ่านซะ”
จ้าวยู่ได้คลี่จดหมายออกมาก่อนที่จะอ่านออกมาอย่างเชื่อฟัง
“ท่านผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้ามีเรื่องสามอย่างที่ต้องการจะบอกท่าน เรื่องแรกลั่วซิงกงอดีตเจ้าสำนักดาบสวรรค์ได้ส่งจดหมายเพื่อเชื้อชวนสำนักอื่นๆ ให้มาบุกโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีสำนักไหนเคลื่อนไหวอะไรออกมา ลั่วซิงกงที่มีนิสัยวู่วามได้โกรธเคืองจากเรื่องในครั้งนี้ ท่านต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี ส่วนเรื่องที่สอง ศิษย์คนแรกของท่านเจ้าสำนักอเวจียู่เฉิงไห่ได้รับสำนักย่อยทั้งสองสำนักเอาไว้ สำนักที่ว่านั่นก็คือสำนักโกรธาและสำนักอสูร ยังไงซะยู่เฉิงไห่ก็คงจะต้องเคลื่อนไหวต่อไปในเร็วๆ นี้แน่…อย่างที่สามข้าขอให้ท่านรอจดหมายฉบับต่อไปจากข้า”
ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาไม่คุ้นเคยกับวิธีการต่างๆ ที่เจียงอาเฉียนทำแม้แต่นิดเดียว ทำไมเจียงอาเฉียนถึงไม่พูดเรื่องสุดท้ายไว้ในจดหมายฉบับนี้ ‘เจ้านี่จะยอมใช้กระดาษที่ยาวกว่านี้เขียนจดหมายไม่ได้เลยหรอไงกัน? ‘
การอ่านจดหมายสิ้นสุดลง
จ้าวยู่เองก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นนางก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรขึ้นมา
ลู่โจวที่ฟังรายงานจบแล้วได้ออกคำสั่งขึ้น “เจ้าไปได้แล้ว”
“ศิษย์ขอลา ศิษย์จะรีบกลับมารายงานท่านอาจารย์ใหม่เมื่อมีจดหมายฉบับใหม่มาถึง” จ้าวยู่ได้ออกจากศาลาทางตะวันออกไปในทันที
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้โบกแขนขึ้นมา พัดขนนกยูงได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าตัวเขา ลู่โจวรู้สึกตกใจนิดหน่อย พัดขนนกยูงมีพื้นผิวที่ดูเรียบและดูเงางามกว่าก่อนหน้านี้ ศิษย์คนที่เจ็ดอย่างสีวู่หยาได้ใช้อาวุธประจำตัวชิ้นนี้ในระยะเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับศิษย์พี่ทั้งสองอย่างยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่ แต่ถึงแบบนั้นดูเหมือนว่าสีวู่หยาจะใช้อาวุธชิ้นนี้บ่อยครั้งและรักษามันไว้เป็นอย่างดี
ลู่โจวได้ยกมือที่ถืออาวุธขึ้นมาก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ ตัวเขากำลังนึกถึงเครื่องรางขัดเกลา ถ้าหากตัวเขาขัดเกลาอาวุธชิ้นนี้ไปสีวู่หยาจะรู้สึกยังไงกัน?
ลู่โจวได้โบกมือขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเครื่องรางขัดเกลาก็ได้ปรากฏขึ้นบนมือของตัวเขา
บางทีนี่อาจจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อาวุธกับอาวุธก็เป็นได้ ในตอนนั้นสีวู่หยาซึ่งนั่งสมาธิอยู่ได้ลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าของเขาไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก สีวู่หยาได้เผลอพูดอะไรบางอย่างออกมา “พัดขนนกยูง”
มันเป็นความผูกพันอย่างหนึ่งของอาวุธระดับสรวงสวรรค์ เมื่อความผูกพันที่มีกับผู้เป็นเจ้าของเพิ่มถึงระดับที่กำหนด ทั้งสองก็จะผสานกันเป็นหนึ่งเดียว อาวุธชิ้นนั้นจะเชื่อมต่อกับตัวผู้ใช้ผ่านทางกระแสจิต ไม่มีใครสามารถอธิบายการเชื่อมต่อแบบนี้ได้
สีวู่หยาไม่รู้ว่าทำไมตัวเขานึกถึงพัดขนนกยูงขึ้นมาในตอนนี้ได้
ในตอนนั้นเองสาวกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงของสีวู่หยา เขาคนนั้นตัดสินใจที่จะเดินเข้ามาถามไถ่ “ท่านเจ้าสำนักมีอะไรให้ข้ารับใช้รึเปล่า? “
“ไม่มีอะไร” สีวู่หยาได้ตอบกลับ
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราควร…ควรที่จะเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากสำนักเซียนสวรรค์ดีไหม? “
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก” สีวู่หยาได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “ศิษย์พี่ใหญ่ข้าได้สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะส่งคนไปที่นั่น ถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่พูดออกมาด้วยตัวเอง ข้าไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่เชื่อใจเขา ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์พี่รองยังทำร้ายไปยู่ชิงจนได้รับบาดเจ็ฐไป ในช่วงเวลานี้เราควรจะพึ่งพาศิษย์พี่ใหญ่มากกว่า”
“งั้นพวกเราควรจะไปที่หุบเขาผิงตูสินะครับ? “
สีวู่หยาไม่ได้ตอบกลับในทันที ถ้าหากเป็นอดีตเขาก็คงจะสั่งการออกมาแบบนั้น แต่ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกลังเลอะไรบางอย่าง “ช้าก่อน”
“ท่านเจ้าสำนักโปรดออกคำสั่งด้วย”
“เร็วๆ นี้สำนักดาบสวรรค์กำลังจะเคลื่อนไหวสินะ? ” สีวู่หยาได้ถามออกมา
“สำนักดาบสวรรค์ได้ส่งเทียบเชิญให้กับสำนักอื่นๆ เพื่อที่จะหาพันธมิตรในการโค่นล้มศาลาปีศาจลอยฟ้า ลั่วซิงกงกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งที่จะเคลื่อนไหว แต่ในตอนนี้ยังไม่มีสำนักไหนเห็นด้วยกับเขา สำนักดาบสวรรค์ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป ในตอนนี้สถานที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”
สีวู่หยาพยักหน้า “แล้วเจ้าแปดส่งข่าวอะไรกลับมาไหม? “
“ไม่มีข่าวจากท่านซู่ฮ่องกงกว่าสิบวันแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เจ้านั่นคงจะถูกส่งไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนแล้วแน่ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะหวังให้ศิษย์น้องไม่ได้เรื่องคนนี้ให้ข้อมูลกับพวกเราตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการที่อยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนคงจะปลอดภัยกว่าเป็นไหนๆ ” สีวู่หยาได้พูดต่อ “ข้าสงสัยว่ามีสายลับอยู่ในหมู่พวกเรา…นับตั้งแต่วันนี้ไปอะไรที่เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็รีบรายงานให้ข้ารู้ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก! “
“มีอีกเรื่อง…บอกวู่ชูว่าไม่จำเป็นจะต้องช่วยซู่ฮ่องกง ให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปขโมยพัดขนนกยูงแทน”
“ครับท่านเจ้าสำนัก! ” สาวกคนนั้นได้ตอบกลับไปก่อนที่จะทำความเคารพและจากไป