My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 246
ผู้ฝึกยุทธชุดเทาคนนั้นหันกลับมาก่อนที่จะออกจากกระท่อมอันเงียบสงบไป
สีวู่หยาได้ถอดเสื้อผ้าส่วนบนของร่างกายออก ตัวหนังสือสีแดงสดยังคงสลักเอาไว้ที่กลางอก ตัวหนังสือที่สลักไม่ได้ซีดจางลงเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวเขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถูกพลังผนึกมนตรา สีวู่หยาก็พยายามหาวิธีเพื่อคลายพลังผนึกกว่าหลายครั้ง แต่น่าเสียหายตัวเขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
สีวู่หยามองไปที่ตัวหนังสือก่อนที่จะส่ายหัวออกมา ‘ข้าไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่เขียนเอาไว้บนหนังสือ วิธีการคลายผนึกมนตราบนหนังสือต่างก็เป็นวิธีอันไร้ประโยชน์’ ตัวเขาได้เปลี่ยนเสื้อคลุมไปเป็นอีกตัวหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “มาหาข้าเร็วเข้า”
พรึ๊บ!
ผู้ฝึกยุทธชุดเทาหลายคนได้ปรากฏตัวขึ้นในทันที
“ท่านเจ้าสำนัก”
“ข้าจะไปที่แท่นประลองดอกบัว”
เมื่อผู้ฝึกยุทธชุดเทาได้ยินแบบนั้น หนึ่งในผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก พลังวรยุทธของท่านถูกผนึกอยู่ มันอันตรายเกินไปที่ท่านจะไปที่แห่งนั้น…”
สีวู่หยาได้จัดเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะพูดแทรก “ข้ารู้ดี…แต่ยังไงซะข้าก็อยากที่จะเป็นการส่วนตัว ไม่อย่างงั้นข้าก็คงจะไม่รู้สึกสบายใจได้อีก”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแต่ เจ้ากำลังสงสัยคำพูดของข้าอย่างงั้นสินะ? ” สีวู่หยาได้หันไปมอง
“พวกเราไม่กล้า! พวกเราขอสาบานว่าจะปกป้องท่านเจ้าสำนักด้วยชีวิตของพวกเรา! “
สีวู่หยาได้พยักหน้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในขณะที่ถอนหายใจ “พวกเจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว พวกเจ้ายอมที่จะเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อความปลอดภัยของข้า แต่ข้าจะไม่ส่งใครไปตายเพราะความปลอดภัยของข้าแน่ หลังจากที่ผ่านไปหลายปีพวกเจ้าก็ควรที่จะรู้จักข้ามากพอแล้วล่ะนะ”
ผู้ฝึกยุทธชุดเทาหลายคนได้ก้มหน้า พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกต่อไป
“บอกวู่ชูซะว่าพวกเราจะเคลื่อนไหวแล้ว ไปซะ…”
“ครับท่านเจ้าสำนัก! “
แท่นประลองดอกบัวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักใหญ่ๆ ทั้งหลาย มันเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะใช้เพื่อท้าประลองกัน แท่นประลองตั้งอยู่ที่มณฑลหยางซึ่งอยู่ห่างจากมณฑลฮัวซุย 10 ไมล์ มันเป็นสถานที่ที่แบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน แท่นประลองชั้นบนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลีบดอกบัว มันเป็นพื้นที่กว้างขวางที่มีขนาดกว่าหลายไมล์ มีเสาสูงตั้งตระหง่านอยู่บนกลีบดอกบัวแต่ละกลีบ ใกล้ๆ กับเสายังมีแท่นไฟกว่า 5 แท่นคอยส่องสว่างอยู่ในเวลากลางคืน ที่ด้านล่างของแท่นถูกปูไปด้วยหินอ่อน
แท่นประลองดอกบัวถูกล้อมรอบไปด้วยโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก มันเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้ชื่นชอบการต่อสู้จะมารวมตัวกัน นอกจากนี้มันยังมีพระราชวังที่ประดับไปด้วยหยกถูกสร้างขึ้นมาใกล้ๆ กับแท่นประลอง มันเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อชมทิวทัศน์อันสวยงาม
เมื่อมาถึงตอนนี้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่แท่นประลองดอกบัว
“วันเวลาได้ผ่านพ้นไป วันนี้เป็นวันที่ 14 แล้ว เจ้าคิดว่าวันนี้สำนักดาบสวรรค์ส่งจดหมายท้าดวลไปให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม? “
“จนถึงตอนนี้พวกเขาได้ส่งจดหมายไปกว่า 13 ฉบับแล้ว ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องส่งจดหมายต่อไปแน่ ข้าได้ยินมาว่าจดหมายเมื่อวานที่ถูกส่งไปยังมหาวายร้ายคนนั้นมันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาจะต้องเดือดดาลและมาถึงที่นี่ในวันนี้แน่ ทุกๆ คนต่างก็คิดแบบข้าด้วยกันทั้งนั้น”
ผู้คนได้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มากมายหลายกลุ่ม พวกเขายืนล้อมเพื่อรอการแสดงที่กำลังจะเริ่มต้น
ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่ได้รับจดหมายท้าดวลไปถึง 13 ฉบับ บางคนคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงกล้าขยับเข้าใกล้กับแท่นประลองมากยิ่งขึ้น
บนแท่นประลองดอกบัว
ลั่วซิงกงกำลังพักสายตาด้วยการหลับตาลง ตัวเขาเคยพูดอยู่บนแท่นประลองด้วยท่าทีอันสง่างาม ในตอนนี้มีเก้าอี้กว่าหลายสิบตัวอยู่ที่ด้านล่างแท่นประลอง มีผู้ฝึกยุทธหลายคนที่จับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็สวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมกับพกดาบเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด
ลั่วซิงกงเองก็สวมชุดขาวเช่นกัน ผ้าคาดหน้าผากของเขามันชุ่มไปด้วยเลือด
ที่ด้านหน้าของผ้าคาดหน้าผากถูกเขียนเอาไว้ว่า “การฆ่าผู้เป็นลูกเป็นบาปที่ไม่อาจอภัยให้ได้”
“ท่านเจ้าสำนัก ปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่มาอีกแล้วสินะ? ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“ไม่จำเป็นจะต้องกังวลไป” ลั่วซิงกงลืมตาขึ้น เขาจ้องมองท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมา “เขาจะต้องมาแน่ ข้าได้เขียนจดหมายดูถูกเหยียดหยามศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นอารมณ์ร้อน เขาไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่”
“ท่านเจ้าสำนัก…ตั้งแต่ที่ปรมาจารย์คนนั้นซูบพลังจากม่านพลังไป พลังของเขาในตอนนี้ก็คงจะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก”
“พวกเจ้าหายห่วงได้แล้ว ข้าได้ฝึกเคล็ดวิชาลับที่จะทำให้พลังวรยุทธของข้าเพิ่มพูนมากว่าหลายปี ฉางเฟิงได้ตายไปแล้ว ข้าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป…ถ้าหากปรมาจารย์นั่นปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาก็ทำตามแผนของข้าซะ” ลั่วซิงกงได้พูดออกมา เขากำลังพูดกับเหล่าผู้อาวุโสสำนักดาบสวรรค์อยู่นั่นเอง
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก! ” ผู้ฝึกยุทธกว่าสิบคนที่อยู่หลังลั่วซิงกงต่างก็ตอบพร้อมกัน
พวกเขาได้แต่รอต่อไปอย่างเงียบๆ พวกเขาได้รอศาลาปีศาจลอยฟ้ามานานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นกลับไม่มีสัญญาณอะไรเลย
ในตอนนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ท่านเจ้าสำนัก ในจดหมายฉบับที่ 14 ข้าอยากให้ท่าน…ดูถูกพ่อแม่ของปรมาจารย์คนนั้นด้วย! “
ลั่วซิงกงกวาดสายตากลับไปมอง แต่ตัวเขาไม่ได้ตอบกลับอะไรไป
“ชื่อของสำนักดาบสวรรค์จะต้องดังกึกก้องไปทั่วยุทธภพแน่! “
“ลืมมันไปซะเถอะ พวกเรากลับกัน…ข้าเคยคิดว่าวันนี้คงจะได้ดูการแสดงที่น่าสนใจแล้วแท้ๆ ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นมา ข้าจำได้ดีว่าพวกเขายิ่งใหญ่มากแค่ไหนในอดีต ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับศาลาปีศาจลอยฟ้าในเวลานั้นแน่” ผู้ชมคนหนึ่งได้ถอนหายใจออกมา
การถอนหายใจเริ่มเพิ่มออกมามากขึ้น
นอกเหนือจากเขาก็ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกกลุ่มหนึ่งที่เปล่งเสียงสนับสนุนสำนักดาบสวรรค์มาโดยตลอด
“ปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นก่อกรรมมากไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ทุกๆ ที่ที่เขาได้ไปเยือนก็มักจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมาเสมอ เจ้านั่นได้สังหารคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ทุกคนควรจะสาปแช่งเขามันถึงจะถูกสิ! “
ถึงแม้ว่าจะมีคนคิดแบบนี้แต่ก็ยังมีคนที่คิดแบบนี้น้อยมาก ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครมาเปิดเผยมุมมองมากเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ยังมีคนที่ไม่แสดงจุดยืนอีกหลายคน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังหยกเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์บนแท่นประลองดอกบัว
ท้ายที่สุดแล้วลั่วซิงกงก็ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ฟังคำสั่งข้าซะ ส่งจดหมายฉบับที่ 14 ไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ…”
ในตอนนั้นเองศิษย์สำนักดาบสวรรค์คนหนึ่งก็ได้เดินเข้าไปใกล้กับลั่วซิงกง “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ของเราที่ไปส่งจดหมายฉบับที่ 13 ยังไม่กลับมาจากการเดินทาง ข้าเกรงว่า…คงจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาคนนั้นไปแล้ว”
สีหน้าของลั่วซิงกงดูมืดมนมากกว่าเดิม “ส่งจดหมายต่อไปซะ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งหมดที่เจ้ามี ทำยังไงก็ได้ให้ศาลาปีศาจลอยฟ้ายอมออกจากภูเขาของพวกมันมา ผู้ที่กลัวตายทั้งหลาย…ให้ขับออกจากสำนักไปซะ ส่วนผู้ที่เต็มใจส่งจดหมายข้าจะให้รางวัลเป็นทองคำ 1,000 ชั่ง กับเคล็ดวิชาดาบเดียวโบราณให้”
มันเป็นเหมือนกับคำพูดที่ได้ว่าเอาไว้ ‘เงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง’ แม้แต่ชีวิตคนเองก็สามารถซื้อได้ ตราบใดที่มีเงินมากพอ นี้ถือเป็นเรื่องที่พบเจอได้ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน
เมื่อลั่วซิงกงได้สั่งไปแบบนั้น ในตอนนั้นก็มีสาวกกว่าหลายคนเสนอตัวรับงานส่งจดหมายขึ้นมาในทันที
ผู้อาวุโสลั่วเจิงได้พูดเย้ยหยันออกมา “ก็ให้ผู้ชมเขียนจดหมายเองซะเลยสิ…”
“ครับ”
สำนักดาบสวรรค์ได้เตรียมหน้ากระดาษยาวกว่าหนึ่งฟุตเอาไว้ก่อนที่จะวางมันไว้ที่เปิดโล่ง พู่กันรวมไปถึงหมึกเองก็ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้เป็นอย่างดี
ในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา “นั่นอะไรกันน่ะ? “
“นั่นมันดาวตก! “
“เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ดาวตกจะมีลักษณะแบบนั้นไปได้? “
บนท้องฟ้าอันห่างไกล ในตอนนั้นเองมีอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับดาวหางปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน สิ่งที่กำลังพุ่งด้วยความเร็วได้แหวกว่ายหมู่เมฆบนท้องฟ้าเป็นสองส่วน สิ่งนั้นมันดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่มีความรู้กว้างขวางจดจำสิ่งนี้ได้ดี
“นั่นมันรถม้าล่องเมฆา! “
“รถม้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า รถม้าล่องเมฆา! “
“หนีเร็ว! “
เหล่าผู้ชมที่ยืนมองดูเหตุการณ์ใกล้ๆ กับแท่นประลองดอกบัวต่างก็กระจัดกระจายแยกตัวไปในทันที พวกเขาต่างก็ซ่อนตัวเองอยู่หลังกลีบบัว
มีผู้ที่เพิ่งจะฝึกวิชาตัวเบาอยู่ในนั้นด้วย พวกเขาต่างก็บินหนีอย่างเร่งรีบ บางคนที่ไม่สามารถควบคุมพลังลมปราณได้ดีพอได้เสียหลักล้มลงกับพื้น
เกิดความวุ่นวายเมื่อฝูงชนทั้งหลายต่างก็พยายามที่จะหลบหนีอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่ใช่ศาลาปีศาจลอยฟ้าที่แข็งแกร่งเหมือนในอดีต แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็เป็นเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อย ผู้คนเหล่านี้ไม่อาจต่อกรอะไรกับเหล่ายอดฝีมือได้เลย เหล่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่อยากที่จะรักษาระยะห่างที่มีต่อแท่นประลองดอกบัวมากยิ่งขึ้น แต่ถึงแม้ว่าจะกลัวตายแค่ไหน พวกเขาก็อยากที่จะเห็นการต่อสู้ด้วยตาตัวเองอยู่ดี
ลั่วซิงกงและคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน
ดวงตาของลั่วซิงกงกำลังเดือดพล่านราวกับเปลวไฟในขณะที่จ้องมองไปที่รถม้าล่องเมฆา ทั้งความแค้นรวมไปถึงความโกรธต่างก็สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านดวงตาได้เป็นอย่างดี “ในที่สุดเจ้าก็มาแล้วสินะ! ” คนที่เตรียมใจกับการตายมาแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป
แม้ว่าลั่วซิงกงจะเตรียมใจมาแล้วแต่ไม่ใช่สำหรับเหล่าศิษย์สาวกของเขา เหล่าสาวกทั้งสิบคนต่างก็หัวใจเต้นแรงทันทีที่เห็นรถม้าคันนั้น
ลั่วซิงกงมองไปรอบๆ ตัว
ผู้ฝึกยุทธที่รวมตัวกันในตอนแรกตอนนี้ได้สลายตัวกันไปหมดแล้ว มีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ลอยตัวอยู่ ส่วนผู้คนที่เหลือตอนนี้ต่างก็แยกย้ายเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์จากในระยะไกล
รถม้าล่องเมฆาได้ลอยช้าลง ช้าลงก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหวอยู่บนแท่นประลองดอกบัว
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองไปยังรถม้าล่องเมฆา
ลู่โจวและฮั๊ววู่เด๋าได้ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ผู้ฝึกยุทธหลายคนไม่เคยเห็นรูปร่างลู่โจวมาก่อน พวกเขาได้แต่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ…ปรมาจารย์ของวายร้ายทั้งเก้า! “
“สาวน้อยคนนั้นจะต้องเป็นเด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดในหมู่ศิษย์ซีหยวนเอ๋อไม่ผิดแน่ นางดูอ่อนต่อโ,กมากที่สุดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นในแววตาของนางกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร! “
คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักก็ได้แต่คาดเดากันไป
ในตอนนั้นเองลู่โจวได้มองไปที่ศิษย์สาวกของสำนักดาบสวรรค์ที่อยู่บนแท่นประลองดอกบัว
ลั่วซิงกงได้มองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “ในที่สุดเจ้าก็มา! ” น้ำเสียงของเขาดังก้องไปทั่วแท่นประลองแห่งนี้
ฝูงชนทั้งหลายที่เข้ามารับชมต่างก็เงียบลงในทันที
หยวนเอ๋อได้วิ่งออกมาจากห้องโดยสารก่อนที่จะไปด้านนอก ในตอนนั้นนางก็ได้หัวเราะคิกคักออกมาอยู่ที่ข้างหลังลู่โจว “ท่านอาจารย์ตรงนี้มีที่นั่งด้วย”
ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะค่อยๆ ลงมาจากรถม้า ตัวเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ‘หยวนเอ๋อเติบโตขึ้นมาแล้ว ในที่สุดนางก็เติบโตเป็นสาวน้อยนิสัยดี’
ผู้อาวุโสฮั๊วมีสีหน้าที่อึดอัดใจ “แล้วข้าที่เป็นผู้อาวุโสไม่สมควรที่จะได้ที่นั่งเลยสินะ? “
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งได้เห็นผู้อาวุโสฮั๊ว นางได้พูดออกมาอย่างลังเล “ท่านผู้อาวุโส ตรงนี้มีที่นั่งอยู่”
“ขอบคุณมาก” ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะให้เล็กน้อยก่อนที่จะนั่งลง
ลู่โจวได้หันไปมองลั่วซิงกง เขาเป็นชายผู้ที่มีอายุมากที่สุดแล้วในบรรดาผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่มี ลู่โจวได้พูดขึ้น “เจ้าคงจะเป็นลั่วซิงกงสินะ? “
ผู้สังเกตการณ์ต่างก็เกิดความสงสัยขึ้น
‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย นี่มันปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่’
‘ปรมาจารย์คนนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่าหลายปี ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นเพียงเศษเสี้ยวจากอดีตที่หลงเหลืออยู่’
‘น้ำเสียงของเขายังฟังดูชัดเจนและเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นเคย’
ลั่วซิงกงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ข้าคิดว่าเจ้าจะกลัวเกินกว่าที่จะมาแสดงตัวได้ เจ้าไม่คิดจะตอบโต้เลยหลังจากที่ได้รับจดหมายท้าทายไปถึง 13 ฉบับ เมื่อไหร่กันที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าขี้ขลาดได้ถึงเพียงนี้? “
ลู่โจวไม่ใช่เหยื่อที่กินเบ็ด ตัวเขาไม่ได้สนใจอะไรลั่วซิงกง เขาหันไปก่อนที่จะพูดออกมา “ก็เพราะเจ้าเป็นเจ้าสำนักดาบสวรรค์ เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเจ้า”
หมิงซี่หยินได้กวักมือเรียกจ้าวยู่ “ศิษย์น้องห้า เจ้าช่วยควบคุมรถม้าให้ข้าที”
หมิงซี่หยินกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนการควบคุม การรักษาระดับความสูงของรถม้าลอยฟ้าไว้ได้ไม่ต้องใช้พลังอะไรมากมายอะไรนัก จ้าวยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นก็สามารถควบคุมรถม้าได้แล้ว
หมิงซี่หยินกระโดดขึ้นไปบนขอบรถม้าก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะแก่แล้ว…เจ้าไม่เหมาะที่จะสู้กับท่านอาจารย์ของข้าหรอก”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะพูดได้หรอกนะ” ลั่วซิงกงตอบกลับมา
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับไปอย่างเย้ยหยัน “เฮ้…ลั่วฉางเฟิงเป็นลูกชายของเจ้าสินะ? เจ้านั่นน่ะสมควรตายแล้ว ด้วยพลังระดับนั้นกล้าที่จะมาท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน?! “
ลั่วซิงกงไม่ได้ร้อนรนอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะพูดตอบกลับไป “เจ้ามันก็ดีแค่ปากก็เท่านั้นแหละ เจ้าก็เป็นแค่หนึ่งในสัตว์เลี้ยงทั้งเก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เท่านั้น”
เหล่าผู้สังเกตการณ์ต่างก็รู้สึกรุ่มร้อนมากขึ้น พวกเขาไม่คาดหวังมาก่อนเลยว่าเจ้าสำนักดาบสวรรค์กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้
ในขณะเดียวกันนั้นเองความตั้งใจที่จะต่อสู้อันแรงกล้าก็ได้เผาผลาญแท่นประลองดอกบัว ลั่วซิงกงได้พูดต่อมา “คนอย่างเจ้าไม่เหมาะที่จะต่อกรกับข้าหรอก…” หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปพูดกับลู่โจว “เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมีค่าพอที่จะสู้กับข้าได้”
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับลั่วซิงกงไป ตัวเขาหลับตาในขณะที่เหลือบมองท้องฟ้า
หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น “ถ้าหากเจ้าอยากจะสู้กับอาจารย์ข้า…เจ้าก็ต้องเอาชนะข้าให้ได้ซะก่อน”
ลั่วซิงกงโบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นเองชายทั้งห้าคนจากสิบคนได้ก้าวไปข้างหน้า
“พวกเราเป็นศิษย์ทั้งห้าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักดาบสวรรค์ เจ้ากล้าท้าทายพวกเราสินะ? “
ความตั้งใจในการต่อสู้ของสำนักดาบสวรรค์อยู่เกินความคาดหมายของผู้ชมมาก
‘สำนักดาบสวรรค์ไม่กลัวความตายเลยอย่างงั้นหรอ? ‘
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ต้วนมู่เฉิงได้ตะโกนออกมา หลังจากนั้นเขาก็ได้กระโดดลงมาจากรถม้า
ผู้อาวุโสลั่วเจิงจากสำนักดาบสวรรค์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ฮั๊ววู่เด๋าเองลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมา “ให้ข้าได้ร่วมด้วยเถอะ”
ทุกๆ คนต่างก็มองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าที่กำลังลอยลงมาจากบนรถม้าอย่างช้าๆ
ฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่ลั่วเจิง ลั่วเจิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ก้าวถอยหลังกลับไป ในตอนนั้นเองศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์ก็ได้ล้อมฮั๊ววู่เด๋าเอาไว้
หมิงซี่หยินมองแผนของสำนักดาบสวรรค์ออกแล้ว เขาได้หันไปหาลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ จิ้งจอกเฒ่านั่นกำลังเล่นเกมอยู่ครับ”
ลู่โจวไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง ตัวเขาได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป ฮั๊ววู่เด๋าแท้จริงแล้วเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ เขายังมีสุดยอดพลังผนึกตราประทับทั้งหกอันไร้เทียมทานอยู่ ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พวกเขาทั้งห้าจะไปสู้อะไรกับฮั๊ววู่เด๋าได้?
สาวกทั้งห้าเริ่มล้อมฮั๊ววู่เด๋าเอาไว้ใกล้ขึ้น ดาบของพวกเขาเริ่มสั่นสะเทือนไปด้วยพลังลมปราณ
ลั่วซิงกงได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ข้าก็สงสัยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะส่งใครมา ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสฮั๊วจากสำนักหยุน…ข้ารู้สึกละอายใจแทนเจ้าจริงๆ “
สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ตัวเขาได้ไตร่ตรองถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้ามาแล้ว เขารู้ดีว่าท้ายที่สุดตัวเขาก็จะต้องพบกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดเหมือนกับในวันนี้ “พวกเจ้าน่ะพลาดแล้ว”
ศิษย์ทั้งห้าได้โจมตีไปที่ฮั๊ววู่เด๋าด้วยดาบที่มี
ที่รอบตัวของฮั๊ววู่เด๋ามีตัวหนังสือกำลังล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ มันเป็นพลังของผนึกตราประทับทั้งหกนั่นเอง
แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังไม่อาจทำให้พลังของฮั๊ววู่เด๋าดูจางลงได้ พลังของเขายังฉายแสงออกมาอย่างชัดเจน
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
ดาบทั้งหมดได้โจมตีเข้าใส่พลังผนึกตราประทับทั้งหก
ฮั๊ววู่เด๋าที่อยู่ด้านในพลังไม่ได้รับผลกระทบอะไร เขายังก้าวต่อไปด้วยท่าทีที่สบายๆ
เมื่อเห็นแบบนั้นลั่วซิงกงก็ถึงกับตกตะลึง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับพลังผนึกตราประทับทั้งหกของฮั๊ววู่เด๋ามาบ้าง มีหลายคนเย้ยหยันว่าฮั๊ววู่เด๋าก็เป็นเพียงแค่เต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่แปลกใจที่ได้เห็นมัน เคล็ดวิชานี้ถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาแห่งการป้องกันก็ว่าได้!
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
ศิษย์ทั้งห้าไม่ยอมถอย พวกเขายังคงโจมตีต่อไป แตไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนพลังผนึกตราประทับทั้งหกก็ไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย พลังผนึกตราประทับทั้งหกและฮั๊ววู่เด๋าเป็นเหมือนภูเขาอันกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะต้องรับแรงสั่นสะเทือนแค่ไหนตัวเขาก็ยังคงมั่นคงเช่นเดิม
ฮั๊ววู่เด๋าก้าวต่อไป
ลั่วเจิงที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมา “รออะไรอยู่? ผสานพลังของพวกเจ้าซะ! “
“พวกเราเข้าใจแล้ว! ” ศิษย์ทั้งห้าต่างก็ผสานดาบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในตอนนั้นเองพลังสีเขียวก็ได้ปรากฏขึ้นที่ตัวของฮั๊ววู่เด๋า มันเป็นพลังที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กว้างกว่า 5 เมตร มันเป็นพลังผังหยินหยางแปดทิศนั่นเอง
“เคล็ดวิชาวิถีพุทธ กระจกแห่งแสง! ” มันเป็นเคล็ดวิชาที่จะต้องใช้หัวใจของผู้ฝึกที่สว่างไสวราวกับกระจก เป็นเคล็ดวิชาที่สามารถใช้จับการเคลื่อนไหวทุกอย่างของคู่ต่อสู้เอาไว้ได้…ผู้ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้ ผู้ฝึกยุทธคนไหนที่ไม่เหมาะกับการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้คนคนนั้นก็จะมีพลังวรยุทธที่เสื่อมถอยลงมาก นี่ถือเป็นทักษะสุดยอดที่จะใช้รับมือกับศัตรูเป็นพื่นที่ ยิ่งพลังวรยุทธของผู้ใช้สูงมากเท่าไหร่ ผลของเคล็ดวิชานี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น สำนักดาบสวรรค์เป็นสำนักที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งเต๋า ทำไมศิษย์ของสำนักนี้ถึงได้ฝึกเคล็ดวิชาแบบนี้ได้กัน?
ในทางกลับกันฮั๊ววู่เด๋าไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย สีหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ในขณะที่เดินต่อไป พลังผังหยินหยางแปดทิศยังคงอยู่ที่ใต้เท้าของเขา พลังนี้เองอยู่ภายใต้พลังผนึกตราประทับทั้งหก
ลั่วเจิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว “ฟังคำสั่งข้าซะ สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องทำในวันนี้ก็คือสังหารคนในศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ! “
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดตอบกลับมา “วันนี้ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้ข้าใครหรอกนะ! ” ผนึกตราประทับทั้งหกได้ขยายใหญ่ขึ้นก่อนที่จะแผ่ออกไป พลังตัวหนังสือทั้งเก้าของเขาได้ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทาง!
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าที่ใช้เทคนิคพลังร่วมกันต่างก็กระเด็นลอยถอยกลับไป พวกเขาไม่อาจที่จะทะลวงการป้องกันไปได้เลย