My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 251
ลู่โจวไม่ได้มองไปที่สิบแม่ชีในขณะที่พวกนางกำลังเดินมาหาวู่เหนียน
เมื่อแม่ชีทั้งสิบมารวมตัวกันที่กลางอากาศอีกครั้ง หมิงซี่หยิน, หยวนเอ๋อ และต้วนมู่เฉิงต่างก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
บนรถม้าล่องเมฆ ฮั๊วยู่จิงได้กลั้นหายใจเอาไว้ ดวงตาของนางเบิกกว้างในระหว่างที่จับจ้องไปยังเป้าหมาย “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง…”
ในตอนนั้นเคียวพื้นพิภพก็ได้ส่องแสงออกมาอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังแม่ชีคนหนึ่ง
หอกราชันย์เองก็เช่นกัน มันได้พุ่งไปหาแม่ชีอีกคน
สายนิพพานของหยวนเอ๋อเองก็ไม่น้อยหน้า มันได้พุ่งไปก่อนที่จะจัดการแม่ชีอีกคน
ลูกธนูทั้งสามดอกของฮั๊วยู่จิงได้พุ่งตรงมาหลังจากที่นางพูดเสร็จ ลูกธนูของนางเข้าเป้าไปเต็มๆ
“ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ได้รับแต้มบุญ: 300”
“นี่มันบาปมหันต์! บาปมหันต์! ” ดวงตาของวู่เหนียนจับจ้องไปที่สาวกทั้งสิบ แม้ว่านางอยากจะช่วยผู้เป็นศิษย์แค่ไหนแต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่มีพลังมากพอที่จะทำแบบนั้นได้
ลูกธนูทั้ง 7 ดอกของฮั๊วยู่จิงได้ถูกยิงออกมาอย่างรวดเร็ว ลูกธนูทั้งหมดได้พุ่งตรงไปที่เป้าหมายก่อนที่จะกระทบเข้ากับแม่ชีจากวิหารเมฆาสว่างทั้ง 7 คนที่เหลือ แม่ชีทั้งหมดล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
ฮั๊วยู่จิงได้พูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ข้าขอโทษ…ข้า…ข้ายังต้องฝึกอีกเยอะสินะ”
หมิงซี่หยินได้พูดโต้ตอบกลับไป “เจ้าทำได้ดีแล้ว แค่เจ้าต้องใช้แรงอีกหน่อยก็เท่านั้น”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำท่านหมิงซี่หยิน”
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยกมือขวาขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แม้ว่าตัวเขาจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ตัวเขาก็ยังสามารถที่จะผนึกพลังวรยุทธของแม่ชีวู่เหนียนได้อยู่ดี ตัวเขาได้รวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือก่อนที่จะผนึกพลังเข้าโจมตีจุดตันเถียนของวู่เหนียนไป
พรึ๊บ!
วู่เหนียนที่ถูกฝ่ามือลงไปกลิ้งกับพื้นอีกครั้ง
ลู่โจวได้ดึงฝ่ามือของตัวเองกลับมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าของแส้หยกหางม้าไม่ควรจะเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับเรื่องทางโลก ไม่มีแม่ชีที่ไหนเข้ามายุ่งกับเรื่องการต่อสู้ระหว่างความแค้นแบบนี้ได้ เจ้าหลงระเริงในชื่อเสียง อำนาจ และเงินตรา นี่ถือเป็นการลงโทษที่เหมาะแล้วสำหรับเจ้า” หลังจากพูดจบลู่โจวก็ได้โยนแส้หยกหางม้าให้กับหยวนเอ๋อที่อยู่ข้างหลังไป
หยวนเอ๋อรีบรับแส้หยกหางม้ามาอย่างคล่องแคล่ว นางจำได้ดีว่าท่านอาจารย์เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะมอบแส้หยกหางม้าอันนี้ให้ แม้ว่าอาวุธชิ้นนี้จะถูกมอบให้กับคนอื่นไปแล้วก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ยังโหยหาถึงมันมาโดยตลอด เมื่ออาวุธชิ้นนี้ถูกใช้โดยแม่ชีชราที่แสนจะน่ารังเกียจไป หยวนเอ๋อเองจึงไม่ได้รู้สึกพอใจกับอาวุธชิ้นนี้อีกต่อไป “ท่านอาจารย์ ข้ามีสายสะพายนิพพานอยู่แล้ว ท่านมอบอาวุธชิ้นนี้ให้กับศิษย์พี่เถอะ! ” หยวนเอ๋อได้รีบพูดออกมาก่อนที่จะโยนแส้หยกหางม้าให้กับต้วนมู่เฉิงไป
เมื่อต้วนมู่เฉิงเห็นแบบนั้น เขาก็รีบปล่อยพลังลมปราณของตัวเองเพื่อที่จะผลักแส้หยกหางม้าไป เขาได้ส่งมันให้กับหมิงซี่หยิน “ศิษย์น้องสี่ เจ้าก็รับเอาไว้ซะสิ…” เมื่อนึกถึงอาวุธไร้ค่าที่หมิงซี่หยินกวัดแกว่งไปมา ต้วนมู่เฉิงคิดว่าอาวุธชิ้นนี้จะต้องทำให้หมิงซี่หยินมีฝีมือที่รุดหน้าขึ้นมาอย่างแน่นอน
หมิงซี่หยินมองไปที่แส้หยกหางม้าอย่างไม่พอใจ “ไม่ ไม่ ไม่ อาวุธชิ้นนี้ไม่เหมาะกับข้า…” หลังจากนั้นเขาก็ได้ส่งอาวุธชิ้นนี้ไปยังรถม้าล่องเมฆา “ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านก็รับไว้ซะสิ”
ฮั๊ววู่เด๋าขมวดคิ้ว เป็นเรื่องจริงที่คนยุคเก่าแก่มักจะใช้แส้หางม้ากัน แต่สุดท้ายแล้วอาวุธชิ้นนี้จะถูกใช้โดยเหล่านักบวชกับนักพรตแห่งเต๋าเพียงเท่านั้น ฮั๊ววู่เด๋าไม่ใช่ทั้งนักบวชและนักพรต เพราะแบบนั้นอาวุธชิ้นนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ด้วยเหตุนี้เองตัวเขาจึงได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “อาวุธชิ้นนี้ไม่คู่ควรกับข้าหรอก”
เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงคนบนรถม้าต่างก็เฝ้ามองดูอาวุธชิ้นนี้
ถ้าหากมองดูระดับพลังวรยุทธของพวกนาง การที่จะได้ครอบครองอาวุธล้ำค่าแบบนี้เป็นเรื่องที่ฝันถึงได้เท่านั้น ในตอนนี้พวกนางมีโอกาสที่อยู่ตรงหน้าแล้ว แม้ว่าแส้หยกหางม้าจะไม่มีใครอยากได้ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นพวกนางก็ยังอยากที่จะครอบครองอาวุธที่ทรงพลังชิ้นนี้อยู่ดี
ฮั๊วยู่จิงเองก็อยากได้แส้หยกหางม้าเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นความปรารถนาของนางก็ไม่แข็งแกร่งพอเมื่อเทียบกับความปรารถนาของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลาย
เหล่าผู้ชมต่างก็อ้าปากค้างเมื่อได้เห็นแบบนั้น ของล้ำค่าที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไขว่คว้าไว้ไม่ได้ในตอนนี้กลับถูกโยนไปโยนมาอย่างไร้ค่า! อาวุธระดับสรวงสวรรค์ถูกโยนไปมา มันเหมือนกับขยะที่ไม่มีใครต้องการ เหล่าผู้ชมทำได้เพียงส่ายหัวอย่างกระวนกระวายใจ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “พอได้แล้ว! “
ทุกๆ อย่างต่างก็เงียบสงบลงในทันที
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นสะดุ้ง นางก้มหัวลงก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์ผิดไปแล้วค่ะ”
“เอาแส้หยกหางม้ามาให้ข้า” น้ำเสียงของลู่โจวยังฟังดูสงบเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาไม่มีแม้แต่อารมณ์อะไรมาข้องเกี่ยว
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลายก็ไม่ต้องการที่จะครอบครองแส้หยกหางม้าอีกต่อไป แม้ว่าจะไม่มีใครต้องการมันแต่การที่จะครอบครองอาวุธชิ้นนี้ได้ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี ด้วยพลังวรยุทธที่มีไม่ถึงขั้น การที่จะใช้แส้หยกหางม้าอันนี้ไปก็คงจะดึงพลังที่แท้จริงของมันออกมาไม่ได้อยู่ดี ถ้าหากผู้ใช้ไม่มีความแข็งแกร่งที่มากพอ การที่จะถูกยึดอาวุธชิ้นนี้ไปได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องวน่าแปลกอะไร
ในตอนนั้นเองวู่เหนียนก็พยายามที่จะลุกกลับมานั่งด้วยความยากลำบาก นางได้มองไปที่ลู่โจวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หลังจากนั้นนางก็หันไปมองศพของลั่วซิงกง ผลของวิชากระจกแห่งแสงได้หายไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เปลือกตาของวู่เหนียนกระตุกอย่างไม่หยุดพัก “เป็นความผิดของข้าเอง…”
ร่างกายของลั่วซิงกงค่อยๆ เปลี่ยนสีไป ผิวของเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นสีดำราวกับถูกไฟคลอกตาย
วิหารเมฆาสว่างไม่ใช่ผู้ช่วยเพียงหนึ่งเดียวของสำนักดาบสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ อยู่อีกอย่างแน่นอน การที่ร่างกายของลั่วซิงกงเปลี่ยนไปจนกลายเป็นสีดำแบบนี้ได้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็น
แม้ว่าจะรู้ความจริงแล้วมันก็สายไปสำหรับวู่เหนียนอยู่ดี นางเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ดูเหมือนว่านางจะเป็นเพียงแค่ไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ของลั่วซิงกงก็เท่านั้น
เหล่าผู้ชมต่างก็รู้สึกตกใจ
“นั่นมันอะไรกัน? “
“มีใครใช้วิชาลึกลับบางอย่างกับร่างของลั่วซิงกงอย่างงั้นหรอ? “
สาวกของสำนักดาบสวรรค์เองก็รู้สึกสับสนที่ได้เห็นแบบนั้นเช่นกัน
ลู่โจวได้มองไปที่ลั่วซิงกงก่อนที่จะพูดออกมา “นี่มันเครื่องสังเวยอย่างงั้นหรอ? “
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ท่านปรมาจารย์รีบกลับมาที่รถม้าด้วยเถอะ”
ลู่โจวพยักหน้าตอบรับไป
เครื่องสังเวยมักจะมีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทรงพลังและมีค่าพอๆ กับเครื่องสังเวย ในตอนที่ลั่วซิงกงตัดสินใจที่จะมาที่นี่ เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะขายร่างกายให้กับใครบางคนไปแล้ว จะต้องมีคนวางกับดักอยู่ที่แท่นประลองดอกบัวแห่งนี้
ลู่โจวได้สำรวจสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ตัวเขาได้รออยู่ที่นี่มาอย่างเนิ่นนานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็มีเพียงแม่ชีจากวิหารเมฆาสว่างเท่านั้นที่ปรากฏตัวขึ้น จะต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่แข็งแกร่งกว่านี้ปรากฏตัวอย่างงั้นหรอ? เหล่าผู้ชมต่างก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ถึงแบบนั้นตัวของลู่โจวเองก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามีอะไรเกิดขึ้น ตัวเขารวมไปถึงชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แค่มองไปรอบๆ อย่างไม่สบายใจ ในตอนนั้นมีผู้ฝึกยุทธจำนวนหนึ่งได้ฉวยโอกาสนี้หนีจากแท่นประลองดอกบัวไปแล้ว
ในตอนนั้นเอง รถม้าลอยฟ้าคันหนึ่งลอยอยู่เหนือศาลาที่ 3
“นั่นมันรถม้าของสำนักอเวจีอย่างงั้นหรอ? “
“สำนักอเวจีมาทำอะไรที่นี่กัน? “
“พวกมันกำลังจะมาแล้ว! หนีเร็วเข้า! “
รถม้าลอยฟ้าคันนั้นได้พยายามพุ่งหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด ในความจริงแล้วสำนักอเวจีไม่ได้มีรถม้าลอยฟ้าแค่คันเดียว ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่เข้ามาชมการประลองในตอนนี้ต่างก็กระจัดกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ “จะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ หนีเร็ว! ” เมื่อมีใครคนหนึ่งตื่นตกใจ ความตื่นตกใจนั้นก็จะส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ มันเป็นหลักจิตวิทยาง่ายๆ ที่ทุกคนในโลกพึงมี แม้แต่ในโลกแห่งนี้เองก็ยังหลีกหนีไม่พ้น ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างกายของลั่วซิงกงที่ถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย
ทั่วทั้งแท่นประลองเต็มไปด้วยความโกลาหล
ลู่โจวได้ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับมองรอบตัวไปด้วย
หยวนเอ๋อรู้สึกมีพลังมากขึ้นเมื่อเห็นรถม้าอเวจี “ท่านอาจารย์…นั่นมันรถม้าอเวจี พวกเราควรที่จะไล่ล่าพวกเขาเลยดีไหม? “
ลู่โจวส่ายหัว รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีได้บินไปออกไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง การที่จะตามไปคงจะตามไม่ทันแน่
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงเองก็ลอยขึ้นมาบนรถม้าล่องเมฆา
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ในตอนนั้นเองเสียงระเบิดอันรุนแรงกว่าหลายครั้งก็ได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่อยู่แถวๆ ศาลารอบแท่นประลองดอกบัว ที่ใจกลางแท่นประลอง ในตอนนั้นเองเริ่มมีพลังสีดำจำนวนมากแผ่ขยายออกมา
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาอีกครั้ง “นี่มันพลังแห่งการสังเวย…มีคนทรงที่กำลังควบคุมร่างของเขาอยู่”
ลู่โจวกลับไปที่รถม้าอย่างใจเย็น เขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะจ้องมองไปยังพื้นเบื้องล่าง ‘นี่คือที่มาของความเชื่อมั่นที่ลั่วซิงกงมีสินะ? ‘ ลู่โจวได้คาดเดาต่อไป ‘หรือว่ามันจะเป็นฝีมือของม่อหลี่กัน? ‘
ในตอนนี้ม่อหลี่คงจะบาดเจ็บอยู่ นางคงไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมาจนแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับสิบคนทรงแน่ สิบคนทรงทั้งหมดเมื่อมารวมตัวกันมีพลังเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ
ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่กำลังหลบหนี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นคลื่นพลังสีดำอันชั่วร้าย
ฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่ใจกลางแท่นประลองก่อนที่จะพูดออกมา “นี่มันวิชาแห่งการควบคุม ดูเหมือนสำนักดาบสวรรค์จะเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว”
“นี่มันฝีมือของมือที่สามไม่ผิดแน่…เจ้าพวกนั้นคงจะเล็งโอกาสนี้มานานแล้ว! “
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และต้วนมู่เฉิง ทั้งสามได้กลับไปยังรถม้าลอยฟ้า
เบื้องหลังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาเท่าไหร่
สีวู่หยากำลังจ้องมองรถม้าลอยฟ้าที่อยู่เหนือแท่นประลองดอกบัว “ดูเหมือนว่าสำนักดาบสวรรค์จะหายไปหมดแล้วสินะ…”
“ท่านเจ้าสำนัก ที่นี่กำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราควรจะถอยกันก่อนดีกว่า แท่นประลองดอกบัวกำลังตกอยู่ในการควบคุมของยอดคนทรง แม้ว่าจะเป็นรถม้าล่องเมฆา แต่พวกเขาคงจะหนีไปไม่ได้แน่”
“ไม่จำเป็น” สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “รออยู่ที่นี่ก่อน”