My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 260
ฮั๊ววู่เด๋าได้ยักคิ้วด้วยความตกใจในขณะที่จ้องมองไปยังพลังลมปราณที่ผันผวนอยู่ทางศาลาทางตะวันออก “นี่มันอะไรกัน…”
จ้าวยู่ที่เห็นฮั๊ววู่เด๋าปรากฏตัวออกมา “ผู้อาวุโสฮั๊วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกัน? “
ในตอนนี้มีเพียงสาวกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจกับสิ่งที่ได้เห็น สำหรับเหล่าสาวกทั้งหลายต่างก็รู้ดี อาจารย์ของเขาคนนี้ไม่เคยใช้วิธีเดิมๆ ในการทำอะไรต่างๆ
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อไป “พลังวรยุทธของเจ้ายังคงไม่ลึกล้ำเกินไปสินะ ลองมองดูใกล้ๆ ซะสิ…” ฮั๊ววู่เด๋าได้ชี้ไปยังที่ที่พลังลมปราณผันผวนอยู่ ที่แห่งนั้นมันเต็มไปด้วยพลังที่รั่วไหลออกมาสู่สภาพแวดล้อมด้านนอก พลังร่างอวตารอัฏฐวิถีกำลังเชื่อมต่อร่างกายรวมไปถึงเจตจำนงของผู้ฝึกยุทธ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนนั้นเชื่อมต่อพลังร่างอวตารเข้ากับร่างกายได้สำเร็จคนคนนั้นก็จะพบกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ พลังวรยุทธของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับท่านปรมาจารย์เขามีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เขาเป็นผู้มีพลังร่างอวตารร้อยวิถีดอกบัวแปดกลีบด้วยซ้ำไป…เมื่อมาลองย้อนคิดดูทำไมเขาถึงต้องพยายามเชื่อมต่อกับพลังร่างอวตารที่มีระดับต่ำกว่าแบบนี้ด้วย? “
“ทำไมกัน? ” จ้าวยู่เองก็สงสัย
หยวนเอ๋อและต้วนมู่เฉิงต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ทั้งสองคนกำลังจ้องมองฮั๊ววู่เด๋า ชายชราคนนี้มีความรู้กว้างขวางอย่างแท้จริง
“ท่านปรมาจารย์ได้ฝึกฝนพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดยังไงล่ะ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ถ้าหากผู้ฝึกยุทธระดับเดียวกันต่อสู้กันสองคน เจ้าคิดว่าอะไรกันที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคว้าชัยชนะไปได้? “
“โชคอย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงเกาหัว
ฮั๊ววู่เด๋าถึงกับพูดไม่ออก
จ้าวยู่และหยวนเอ๋อเองก็มองไปยังศิษย์พี่คนนี้ ทั้งคู่เองก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
ฮั๊ววู่เด๋าได้ไอออกมาก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “มันอยู่ที่เทคนิคและประสบการณ์ยังไงล่ะ พวกเจ้ามองดูความผันผวนของพลังทางศาลาตะวันออกดูซะสิ มันมีทั้งพลังที่ดูเหน็บหนาวและพลังที่ดูอบอุ่นอยู่ในเวลาเดียวกัน มันเปรียบเสมือนการประสานพลังที่แตกต่างกันอย่างหยินและหยาง…แม้ว่าจะแตกต่างแต่ก็แตกต่างกันได้อย่างสม่ำเสมอและมั่นคง ผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยมักจะยอมปล่อยให้พลังลมปราณที่มีไหลเวียนได้อย่างง่ายดาย ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างพลังร่างอวตารใหม่ให้ได้เท่านั้น ถ้าหากเกิดความผิดพลาดแม้แต่เพียงเล็กน้อยคนคนนั้นก็จะต้องพบกับความล้มเหลวไป โดยปกติแล้วพวกเราเหล่าผู้ฝึกยุทธจะมีโอกาสที่จะเชื่อมต่อกับร่างอวตารสำเร็จใน 3 ครั้งเท่านั้น ผู้ที่สามารถทำสำเร็จในครั้งแรกได้จะถือว่าเป็นอัจฉริยะ ผู้ที่ทำสำเร็จได้ในครั้งที่สองนับว่ามีพรสวรรค์มากกว่าคนทั่วๆ ไป ส่วนผู้ที่ทำสำเร็จได้ในครั้งที่สามนับว่าเป็นผู้คนที่อยู่ในค่าเฉลี่ย…”
พลังของร่างอวตารได้หลอมรวมกันจนสำเร็จอยู่เหนือศาลาทางตะวันออก พลังทั้งหมดกำลังเชื่อมเข้าหากันก่อนที่จะหมุนเวียนอยู่ภายในศาลาแห่งนั้น
“คำพูดของท่านทำให้ข้าได้ตาสว่างจริงๆ ผู้อาวุโสฮั๊ว ทุกอย่างเริ่มกระจ่างแล้ว…ในตอนที่ข้าได้ฝึกฝนตัวเองกับเคล็ดวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกข้าก็รู้สึกได้ว่ามันยากสำหรับข้ามาก แต่ในตอนนี้การฝึกฝนของข้ากลับง่ายดายกว่าเดิม ที่เป็นแบบนี้ก็คงจะเป็นเพราะประสบการณ์ที่ตัวข้าได้มาจากการต่อสู้สินะ” ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ศาลาทางตะวันออกอย่างไม่ละสายตา
“แน่นอน…” ฮั๊ววู่เด๋ายังคงจ้องไปที่ศาลาทางตะวันออก
“คำพูดของท่านทำให้ข้ารู้แจ้งขึ้นจริงๆ ” จ้าวยู่เองคารวะไปที่ฮั๊ววู่เด๋า ในตอนนี้ดูเหมือนพลังที่ผันผวนจะเริ่มสงบลง ศาลาทางตะวันออกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ท่านพูดถูกแล้วผู้อาวุโสฮั๊ว” หมิงซี่หยินเองก็เดินมาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากการทำธุระ
“ศิษย์พี่สี่” จ้าวยู่และหยวนเอ๋อต่างก็ทักทายหมิงซี่หยิน
“ข้าจำได้ว่าในตอนที่ท่านอาจารย์กำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ภายในห้องลับ พวกเราก็ไปรบกวนท่านอาจารย์โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ท่านอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ผู้อาวุโสฮั๊ว แต่ข้าไม่สามารถที่จะต้านทานคลื่นพลังได้เลยเมื่อท่านอาจารย์พยายามเชื่อมต่อเส้นพลังลมปราณทั้งแปด…ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่ได้ยั้งมือเอาไว้ข้าก็คงจะต้องตายไปแล้ว” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “เป็นอย่างที่คาดจริงๆ นี่สินะพลังของยอดฝีมือที่แท้จริง…”
ในตอนนี้ลู่โจวสามารถเชื่อมต่อกับพลังร่างอวตารอัฏฐวิถีได้สำเร็จแล้ว ตัวเขากำลังลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ลู่โจวไม่คาดคิดว่ามันจะใช้เวลานานมากขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติเหมือนกับที่ตัวเขาคาดการณ์เอาไว้ ลู่โจวไม่ได้พบกับอุปสรรคใดๆ ในตอนที่เชื่อมต่อกับพลังร่างอวตารนี้ การไหลเวียนพลังลมปราณและการก่อตัวเพื่อสร้างพลังอวตารต่างก็ราบรื่นเป็นพิเศษ
ลู่โจวได้ตรวจสอบพลังวรยุทธของตัวเอง…ในตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้นตัวเขาก็จะไปถึงระดับสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขั้นนี้ได้ลู่โจวก็จะสามารถควบคุมเส้นพลังลมปราณในแต่ละส่วนที่ต้องการได้อย่างง่ายดายแล้วนั่นเอง
เส้นทางแห่งการฝึกฝนของทุกๆ คนล้วนแต่จะถูกตัดสินในช่วงที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นฝึกฝนตัวเองอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับพื้นฐานแห่งเต๋า (ระดับแรก) แต่ละคนจะเลือกฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ มันมีทั้งดาบ, กระบี่, ธนู, หอก หรือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นเชี่ยวชาญในการใช้ ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกฝนตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อฝึกฝนตัวเองจนมาถึงระดับที่ 2 ระดับที่ลู่โจวกำลังอยู่ได้คนคนนั้นก็จะแสดงพลังที่แท้จริงของสายที่เลือกฝึกออกมาได้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้อาวุธระดับสรวงสวรรค์เป็นของที่มีค่ามาก
“ขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับเต๋าแห่งการควบคุม (ระดับ 2) สินะ…” ลู่โจวพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ
ลู่โจวเองได้ตรวจสอบสถานะของพลังพิเศษที่ได้จากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เช่นกัน ในตอนนี้ตัวเขามีพลังเพียงแค่ 1 ใน 3 ส่วนของความจุทั้งหมดที่มี แม้ว่าจะมีแค่นั้นตัวเขาก็พอใจกับมัน ดูเหมือนว่าในตอนนี้ลู่โจวสามารถเติมเต็มพลังได้จากการทำความเข้าใจได้รวดเร็วขึ้นมาบ้างแล้ว
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยินเสียงอันวุ่นวายจากด้านนอกศาลา ตัวเขาที่ได้ยินเสียงความวุ่นวายก็ได้ตะโกนออกไปด้วยพลังลมปราณ “เจ้าพวกไร้มารยาท! “
คลื่นเสียงอันทรงพลังได้ดังออกมาจากศาลาทางตะวันออก หมิงซี่หยิน, ฮั๊ววู่เด๋าและคนอื่นๆ ต่างก็ถอยกันไปหลายก้าว
“ท่านอาจารย์”
“ท่านปรมาจารย์” แม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงยังต้องก้มหัวเมื่อได้ยินแบบนั้น
ลู่โจวได้ปรากฏตัวออกมาจากศาลา ตัวเขาได้เดินเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินออกมาหาทุกๆ คน “พวกเจ้าทุกคนคงจะมีเวลาว่างมากเกินไปสินะ…”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” หมิงซี่หยินรีบพูดก่อนที่จะโค้งคำนับให้ “ท่านอาจารย์ศิษย์ติดต่อกับเจียงอาเฉียนได้แล้ว…เขาบอกว่ากล่องที่ท่านอาจารย์ให้เขาตรวจสอบไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ส่วนเรื่องของชิ้นอื่นๆ ของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่อยู่ในพระราชวังตัวเขาจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้มากกว่านี้ นอกเหนือจากนี้เขายังสงสัยว่าสีวู่หยากำลังพยายามตรวจสอบเรื่องของตัวเขาอยู่ ด้วยเหตุนี้เองเจียงอาเฉียนจึงไม่สามารถติดต่อกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้”
‘เป็นเพราะเจ้าศิษย์ทรยศนี่อีกแล้วสินะ’ ดูเหมือนว่าแม้แต่พลังผนึกมนตราก็ยังไม่สามารถทำให้สีวู่หยายอมปรับปรุงตัวได้
“เจียงอาเฉียนยังได้พูดถึงเรื่องการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัวอีกด้วย…เขากำลังสงสัยว่ายอดฝีมือที่ท่านได้ต่อสู้ด้วยจะเป็นยอดฝีมือลั่วหลานจากหรงเป่ย”
“ยอดฝีมือลั่วหลานอย่างงั้นหรอ? ” ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นตกใจเล็กน้อย
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถามออกมาอย่างสับสน “เจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างงั้นหรอ? “
“ในครั้งที่ลั่วหลานได้ทำสงครามกับยุทธภพครั้งใหญ่หลายปีก่อน ในตอนนั้นเหล่าผู้คนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังด้วยกันทั้งนั้น หลายคนได้สูญเสียบ้านไปจากสงครามครั้งนั้น ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าเวทมนตร์คาถาของลั่วหลานนั่นเอง…แม้ว่าจะสร้างความเสียหายเอาไว้ได้มากแต่ถึงแบบนั้นลั่วหลานก็ได้พ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยั้บ…นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าดูถูกพลังเวทมนตร์คาถาอีกต่อไป”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถามออกไป “แล้วที่ยุทธภพไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทมนตร์คาถาเลยอย่างงั้นหรอ? “
ฮั๊ววู่เด๋าได้อธิบายต่อ “แม้ว่าเวทมนตร์คาถาจะมีจุดกำเนิดอยู่ที่ยุทธภพก็จริง แต่ถึงแบบนั้นด้วยจุดอ่อนอันเด่นชัดของมันจึงทำให้มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเลือกฝึกฝนมัน มีเพียงผู้ฝึกฝนเวทมนตร์คาถาอย่างมุ่งมั่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นได้พยักหน้าก่อนที่จะหันไปหาลู่โจว “ท่านอาจารย์ บางทีข้อมูลที่เจียงอาเฉียนบอกมาอาจจะเชื่อถือได้ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วที่ผู้ใช้เวทมนตร์คาถาจะเป็นยอดฝีมือเหมือนกับที่เจียงอาเฉียนบอก”
ลู่โจวยังมีเรื่องสงสัยค้างคาอยู่ภายในใจ สิ่งที่ตัวเขาเจอบนแท่นประลองดอกบัวไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นอะไรที่ดูคล้ายกับสัตว์ร้ายซะมากกว่า บางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นเจ้าของสัตว์ร้ายที่ลู่โจวได้พบเจอ ตัวเขาได้ลูบครางก่อนที่จะถามออกมา “เรื่องที่เจ้าไปเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกล่วงรู้แล้วรึยัง? “
“ไม่อย่างแน่นอนครับ…” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างมั่นใจ “แม้ว่าศิษย์น้องเจ็ดจะฉลาดหลักแหลมสักแค่ไหน แต่เขาก็คงจะรู้ไม่ทันถึงการเคลื่อนไหวของศิษย์แน่”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็เชื่อหมิงซี่หยิน การที่หมิงซี่หยินจะเคลื่อนไหวอย่างไร้ร่องรอยได้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับศิษย์คนนี้
ตู๊ม!
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอะไรบางอย่างระเบิดขึ้น
ทุกๆ คนต่างก็หันไปทางทิศทางของต้นเสียง
“นั่นมันเสียงจากด้านหลังภูเขา เสียงจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน” ลู่โจวเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะจ้องมองม่านพลัง แม้ว่ามันจะอ่อนกำลังลงมากแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังใช้งานได้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงที่ว่าไม่ได้มาจากม่านพลัง
ในตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงก็ได้วิ่งออกมาจากด้านหลังภูเขา ตัวเขารีบคุกเข่าลงก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์…ท่านซู่ฮ่องกง…มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา! “
ลู่โจวยังคงเงียบ ตัวเขาได้สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะเดินตรงไปยังด้านหลังภูเขา คนอื่นๆ เองก็เดินตามตัวเขาไปเช่นกัน
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่พึมพำออกมา “เจ้าศิษย์น้องผู้โง่เขลา เจ้าจะอยู่เฉยๆ สักพักเลยไม่ได้อย่างงั้นสินะ? “
โจวจี้เฟิงเดินไปข้างๆ หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดออกมาอย่างประหม่า “ท่านซู่ฮ่องกงเสียเสื้อคลุมวิถีเซนไปแล้วครับ! “