My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 272
เจ้าชายแห่งพลังฉินจานในตอนนี้รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ที่นี่คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากมียอดฝีมือต่อสู้กันจริบงๆ เมืองแห่งนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน
เพื่อรักษาความสงบสุขในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยทหารยามมากมาย ถ้าหากทหารยามไม่สามารถหยุดเหตุการณ์อันไม่สงบได้ ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิก็จะเป็นผู้ลงมือเองจนกว่าการต่อสู้จะจบลง
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเหล่ายอดฝีมือที่ซุกซ่อนตัวอยู่ แต่ถึงแบบนั้นเมืองแห่งนี้ก็ยังสามารถบริหารตัวเองมาได้ด้วยดีมาโดยตลอด การบริหารทั้งหมดเป็นงานของทหารจักรวรรดิภายในเมืองนั่นเอง ถ้าหากขาดการดูแลที่เข้มงวด เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็คงจะล่มสลายไปนานแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเมืองแห่งนี้ก็คือการที่มีทางจักรวรรดิเป็นจุดศูนย์กลาง ที่เมืองแห่งนี้มีสิบสุดยอดหัวกะทิอยู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวรยุทธสูงส่ง
การปรากฏตัวของสิบสุดยอดหัวกะทิก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธในเมืองแห่งนี้ไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อ
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉินจานไม่อยากเห็นทั้งสองคนต้องต่อสู้กัน
“ขันทีหลี่ ท่านก็แค่ตอบไปไม่ได้หรอกหรอ? ” ฉินจานพยายามห้ามปรามไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้น
แม้ว่าพ่อบ้านหงจะรู้สึกกลัวแค่ไหน แต่ตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก่อนที่จะพูดต่อไป “แขกผู้มีเกียรติทุกๆ ท่านได้โปรดใจเย็นด้วย ถ้าหากทางจักรวรรดิรู้เรื่องนี้เข้าล่ะ? “
ขันทีหลี่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหลมคม “ในตอนนี้ข้าเป็นเหมือนกับตัวแทนของพระอัครมเหสีองค์ปัจจุบัน ถ้าหากข้าได้พ่ายแพ้ไปก็เท่ากับว่าทำให้เหล่าราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียด้วย! “
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้าโง่ปากแข็ง”
แขนของลู่โจวได้เหวี่ยงจากทางด้านซ้ายไปยังด้านขวา
ในตอนนั้นคลื่นพลังสายฟ้าก็เริ่มก่อนตัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะพุ่งออกไป ทุกๆ คนต่างก็ลืมหายใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น พลังคลื่นสีฟ้าทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็ตื่นตกใจ
เมื่อพลังอยู่ต่อหน้าหลี่หยุนเฉา ในตอนนี้ตัวเขาก็เตรียมพลังหยินแห่งความมืดเอาไว้แล้ว พลังหยินแห่งความมืดได้หมุนรอบตัวเขาราวกับพายุทอร์นาโด สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากคราวที่แล้วนั่นก็คือการที่หลี่หยุนเฉาได้เตรียมพร้อมมาแล้วนั่นเอง
เมื่อคลื่นพลังสีฟ้าได้เข้าปะทะกับขันที ในตอนนั้นพลังสายฟ้าฟาดก็ได้พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
ตู๊ม!
การโจมตีเข้าเป้าไปเต็มๆ
หลี่หยุนเฉาที่ได้รับการโจมตีได้กระเด็นถอยกลับไปอีกครั้ง คราวนี้ตัวเขาลอยไปไกลกว่าเดิมมาก
ก่อนที่คนอื่นๆ จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน หลี่หยุนเฉาก็ได้กระแทกเข้ากับกำแพงหนาของคฤหาสน์หลังนี้ซะก่อน ที่กำแพงมีรอยบุ๋มของมนุษย์เกิดขึ้น หลี่หยุนเฉาติดอยู่ในกำแพงจนไม่สามารถที่จะขยับตัวได้อีกต่อไป
คฤหาสน์องค์ชายแห่งพลังได้เงียบลง มันเป็นความเงียบที่ดูอึดอัดจนน่าขนลุก
แม้ว่าหลี่หยุนเฉาจะถูกซัดกระเด็นไปแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเป็นยอดฝีมืออยู่ดี
ขันทีแห่งพระราชสำนักคนนี้ได้พูดเอาไว้ไม่ใช่หรอว่ามีไพ่ตายซ่อนเอาไว้?
ทำไมเจ้านั่นถึงได้อ่อนแอเช่นนี้?
ตัวเขาเจ้านั่นคงจะทำมาจากกระดาษล่ะมั้ง?
บางทีหลี่หยุนเฉาคนนี้อาจจะเป็นคนหลอกลวงมาโดยตลอดก็เป็นได้ ทุกคนต่างก็ล่ำลือกันว่าเขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่ทรงพลังคนหนึ่ง หรือว่าแท้จริงแล้วขันทีคนนี้จะเป็นเพียงนักต้มตุ๋นกันแน่?
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน ลู่โจวเป็นคนเดียวที่ยังดูสงบเยือกเย็น การ์ดคลื่นพลังสายฟ้าไม่ได้จัดการกับขันทีคนนี้ไป มันทำให้ขันทีคนนี้กระเด็นกลับไปพร้อมกับได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าหากเป้าหมายถึงสังหารด้วยโอกาสเพียงแค่ 1% คนคนนั้นก็คงจะโทษได้แต่โชคชตาของตัวเองแล้วล่ะ
“ขันทีหลี่? ” ฉินจานเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบสงบ ฉินจานได้ถามออกมาอย่างระมัดระวัง
แคล็ก!
น่าแปลกที่หลี่หยุนเฉาสามารถเดินออกมาจากกำแพงได้
เศษหินยังคงติดเต็มตัวของหลี่หยุนเฉา ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความกังวล ริมฝีปากของเขาสั่นไปด้วยความกลัว
หลังจากที่เสียงฮึดฮัดดังขึ้น เลือดสดๆ ก็ได้พุ่งออกมาจากปากของหลี่หยุนเฉา ในตอนนี้ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส ดูเหมือนว่าหลี่หยุนเฉาจะพบกับโอกาส 30% ที่จะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บนั่นเอง
‘โชคยังดีที่เจ้านี้ยังมีชีวิตอยู่’
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะมองไปที่ขันทีคนนั้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความมั่นใจและความภาคภูมิใจที่เคยมีของหลี่หยุนเฉาได้หายไปหมดแล้ว แม้ว่าตัวเขาจะถูกเรียกได้ว่ายอดฝีมือ ขันทีหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรเมื่อต้องพบกับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้!
‘ปรมาจารย์แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ? เพียงแค่พลังการโจมตีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นข้าก็ไม่อาจที่จะต้านทานได้! ‘
ทุกๆ คนต่างก็รู้กันดีว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋านั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าปรมาจารย์คนนี้จะแข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบได้แบบนี้
แม้แต่ฉินจานเองก็ยังไม่รู้ว่าลู่โจวแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็รู้พลังวรยุทธที่หลี่หยุนเฉามีดี
พลังวรยุทธของหลี่หยุนเฉาเทียบเท่าได้กับแปดยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อได้ต่อสู้กับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ ตัวเขากลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว
พลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป
“ขะ…ขันทีหลี่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ” ฉินจานได้ถามออกมาอย่างระมัดระวัง
ฉินจานได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ ‘ถ้าหากเจ้าตายไปจริง คฤหาสน์ของข้าเองก็คงจะหายไปด้วย’
ในเวลาเดียวกันฉินจานก็รู้สึกสาปแช่งขันทีคนนี้ ขันทีคนนี้ดูไม่เหมือนกับยอดฝีมือเลย ตัวเขารู้สึกว่าขันทีคนนี้เป็นเพียงผู้ที่อ่อนแออีกคนหนึ่งก็เท่านั้น
หลี่หยุนเฉาพยายามควบคุมลมหายใจตัวเอง ตัวเขาในตอนนี้พยายามที่จะระงับพลังลมปราณและเลือดลมที่มีอยู่ในร่างกาย
ครู่ต่อมาหลี่หยุนฉานก็ได้พูดออกมา “องค์หญิงปิงเล่อได้ล่วงลับไปเป็นเวลานานแล้ว ในตอนนั้นนางและองค์หญิงหยุนจ้าวได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน และด้วยความไม่เข้าใจกันนี้ทำให้ปิงเล่อสั่งให้ข้าเป็นผู้เอาชีวิตลูกสาวขององค์หญิงหยุนจ้าวไป ลูกสาวขององค์หญิงคนนั้นก็คือศิษย์คนที่ห้าของท่าน จ้าวยู่”
“เพราะอะไรกันถึงทำให้พวกนางต้องทะเลาะเบาะแว้งกันล่ะ? ” ลู่โจวอยากรู้สาเหตุ
“องค์ชายแห่งเฉินซีเป็นคนสำคัญสำหรับองค์หญิงทั้งสอง เขาถือเป็นชายที่องค์หญิงทั้งสองต่างก็ชอบพอในเวลาเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้วองค์ชายแห่งเฉินซีก็ตัดสินใจที่จะเลือกองค์หญิงหยุนจ้าวไป แต่หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายเฉินซีก็ได้สิ้นพระชนม์ไปในสนามรบ เขาได้ทิ้งองค์หญิงหยุนจ้าวเอาไว้ที่ด้านหลัง…ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโดยแท้” หลี่หยุนเฉาได้แสดงความรู้สึกเสียใจออกมาจากใบหน้า
ลู่โจวสังเกตเห็นถึงการใช้คำของขันทีคนนี้ แม้ว่าจะพูดถึงองค์ชายแห่งเฉินซี แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้พูดชื่อขององค์ชายออกมา “องค์ชายแห่งเฉินซีคือใครกัน? “
“เขาเป็นหนึ่งในคนที่ถูกทางพระราชสำนักถอดถอนตำแหน่งไป พระราชสำนักเลยไม่อยากที่จะเอ่ยนามของเขา”
ลู่โจวไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรในชื่ออีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้วเมื่อความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย เรื่องนี้ก็จะถูกค้นพบในภายหลังเอง
อีกด้านหนึ่งฉินจานก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเคยได้พบกับองค์ชายแห่งเฉินซีมาครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นตัวเขากำลังสร้างชื่อเสียงอยู่ที่ลั่วหลาน องค์ชายคนนี้ถือได้เป็นคนกล้าหาญคนหนึ่ง เท่าที่ข้ารู้ทั้งหมดองค์ชายองค์นี้ถือเป็นผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญอย่างแท้จริง แต่ข้ากลับไม่เคยรู้เรื่องราวระหว่างเขากับหยุนจ้าวมาก่อนเลย…”
จินฉานไม่ได้พูดต่อไป “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมีคนผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา”
ในตอนนั้นเองจ้าวยู่ก็ได้เดินโซเซไปที่ด้านหลัง นางได้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
หยวนเอ๋อไม่สามารถทนฟังเรื่องนี้ได้ นางรีบเดินไปช่วงพยุงตัวผู้เป็นศิษย์พี่อย่างจ้าวยู่เอาไว้ก่อนที่จะปลอบโยนนางออกมา “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ได้เจอกับช่วงชีวิตที่ยากลำบากอะไรเช่นนี้…”
‘เฮ้อ สาวน้อยคนนี้ไม่รู้จักวิธีปลอบโยนใครด้วยความอ่อนโยนเลยสินะ การจะปลอบโยนใครสักคนจะปลอบโยนด้วยคำพูดตรงไปตรงมาได้ยังไงกัน? แต่ถึงแบบนั้นก็ยังดีที่นางมีความตั้งใจที่จะปลอบโยนผู้อื่นเช่นนี้’
จ้าวยู่ได้คว้ามือของหยวนเอ๋อเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
เมื่อหลี่หยุนเฉาเห็นแบบนั้นเขาก็ได้พูดต่อ “ข้าเห็นใจองค์หญิงหยุนจ้าวในตอนนั้นจริงๆ เพราะแบบนั้นข้าเลยกล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์หญิงปิงเล่อ และท้ายที่สุดแล้วข้าก็ได้ทิ้งพลังพิษเย็นเอาไว้ในร่างกายของนางเพื่อปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ถ้าหากข้าไม่ทำแบบนั้นองค์หญิงปิงเล่อก็คงจะไม่มีวันปล่อยชีวิตของเด็กคนนั้นให้ออกมาจากกำแพงพระราชวังแน่ ข้าคิดว่าตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้นก็ยังมีหวัง ข้าคิดมาเสมอว่าท่านจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการฝึกยุทธและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเยี่ยงคนสามัญได้ ถ้าหากทำได้แบบนั้นพิษเย็นที่อยู่ในร่างกายของท่านก็จะไม่ถูกกระตุ้นออกมา”
ในตอนนั้นเองหลี่หยุนเฉาก็ได้หยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ในตอนนั้นข้ารู้สึกตกใจมากที่ได้ยินว่าจ้าวยู่เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า…ข้าตามหานางมาโดยตลอดก็เพื่อที่จะหวังกำจัดพิษเย็นที่มีอยู่ในร่างกายของนางให้”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า…ทำไปก็เพื่อช่วยศิษย์พี่ของข้าอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาเบาๆ
“ใช่แล้ว…” หลี่หยุนเฉาคารวะก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่กล้าที่จะพูดว่าทำไปเพาะความหวังดีหรอก”
ในตอนนั้นเองทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ
ลู่โจวมองไปที่หลี่หยุนเฉาก่อนที่จะพูดออกมา “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไร แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังจะพอมีเมตตาอยู่บ้าง ถ้าหากสิ่งที่เจ้าพูดออกมาเป็นเรื่องจริง ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า แต่ถ้าหากเจ้ากล้าโกหกของข้าแม้แต่คำเดียว ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสมอย่างแน่นอน”
หลี่หยุนเฉาที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตัวสั่น ตัวเขาเคยเป็นผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายให้กับคนอื่นมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้ตัวเขาเองกลับถูกผู้อื่นชี้เป็นชี้ตายแทน ในที่สุดตัวเขาก็เข้าใจความรู้สึกของความหวาดกลัวแล้ว
“แต่ยังไงซะ” ลู่โจวได้พูดเสริมขึ้น “แม้ว่าความผิดของเจ้าจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ไม่อาจหนีไปจากวังวนแห่งความรู้สึกผิดนี้ไปได้หรอก”
“ท่าน…” หลี่หยุนเฉาพยายามจะตอบกลับมา สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความกลัว
‘จริงอยู่ที่เจ้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กคนหนึ่งและไม่ได้คิดที่จะฆ่าจ้าวยู่ทิ้งไป ฉันจะเห็นกับเรื่องนี้โดยที่ปล่อยเจ้าก็แล้วกัน’
ในตอนนั้นเองขันทีผู้ติดตามมาด้วยก็ได้ปรบมือ
แปะ แปะ แปะ!
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! “