My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 291
“ข้ารู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง” ลู่โจวได้ลูบเคราออกมาก่อนที่จะพยักหน้าให้
“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส…”
ลู่โจวที่พูดเสร็จก็ได้ขึ้นขี่วิซซาร์ด
หยวนเอ๋อเองก็ได้ขึ้นมานั่งที่ด้านหน้าโดยที่มีฉินจานนั่งอยู่ด้านหลัง ทั้งสามคนกำลังขี่วิซซาร์ดบินกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
เจียงอาเฉียนที่กลับออกมาจากสุสานแห่งดาบพร้อมดาบมารรู้สึกมีความสุขมากครั้งไหนๆ
ในตอนนั้นเองที่กระท่อมแห่งหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธเสื้อเทายี่ฉีชิงได้ปรากฏตัวขึ้น เขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าสำนัก ในตอนนี้ท่านผู้อาวุโสได้ออกจากสุสานแห่งดาบอย่างปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้ดาบมารยังตกอยู่ในมือของเจียงอาเฉียนอีกด้วย”
สีวู่หยาลืมตาตื่นขึ้น ตัวเขาจ้องมองไปยังแสงอาทิตย์ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “นับว่ายังดีที่ท่านอาจารย์ยอมจากไปแต่โดยดี…แล้วเจ้ารู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจียงอาเฉียนแล้วรึยัง? “
“ชายคนนั้นเคลื่อนไหวแยบยล ข้าไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาได้เลย ในตอนนี้พวกเรายังไม่พบอะไรทั้งนั้น”
“ตรวจสอบต่อไปซะ”
“ข้าทราบแล้ว”
สีวู่หยารีบลุกขึ้น ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง “มีข่าวอะไรเกี่ยวกับหนูขโมยทั้งสี่ที่เหลืออีกไหม? “
นับตั้งแต่เกิดเรื่องความวุ่นวายที่เมืองทางตอนเหนือ สำนักแห่งความมืดก็ได้ตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับหนูขโมยทั้งห้าทิ้งไป…ในตอนนี้ระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป บางทีหนูขโมยที่เหลืออาจจะกำลังวางแผนทำอะไรที่อุกอาจอยู่ก็เป็นได้ “ท่านเจ้าสำนัก พวกเรายังไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเจ้าพวกหนูขโมยเลย”
“เจ้าคิดยังไงกับศาลาปีศาจลอยฟ้าล่ะ? ” สีวู่หยาได้ถามออกมา
“ข้าไม่คิดว่าหนูขโมยทั้งห้าจะกล้าพอที่จะโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้งแน่…ตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้ามียอดฝีมืออย่างเล้งลั่วอยู่ การจะฆ่าพวกหนูขโมยทั้งห้ามันคงจะง่ายเหมือนกับการฆ่าลูกไก่ในกำมือ” ยี่ฉีชิงได้ตอบกลับมา
“แล้วสถานการณ์ของศิษย์พี่ใหญ่ล่ะเป็นยังไงบ้าง? “
“แท่นบูชาทั้งหกรวมไปถึงแท่นบูชาหยกเขียวเป็นอะไรที่ยากที่จะจัดการที่สุดแล้ว ส่วนแท่นบูชาที่เหลืออีกห้าแท่นไม่ได้มีปัญหาอะไร ท่านเจ้าสำนัก ท่านยู่เองก็อยากจะขอความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้” ยี่ฉีชิงรายงานออกไป
สีวู่หยาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะตอบออกไป “ศิษย์น้องแปดกับข้าเคยไปที่แท่นบูชาหยกเขียวมาก่อน ในตอนนั้นพวกเราได้แอบปั่นป่วนม่านพลังของที่นั่นเอาไว้อย่างลับๆ บอกเรื่องนี้ให้กับศิษย์พี่ใหญ่ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก” ยี่ฉีชิงได้น้อมรับคำสั่ง
สีวู่หยาเข้าใจสิ่งที่ยู่เฉิงไห่คิดดี สำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว และในวันนี้ก็ถึงทีของสำนักเที่ยงธรรม ยู่เฉิงไห่อยากที่จะกวาดล้างสำนักเที่ยงธรรมมานานแล้ว…ความจริงแล้วยู่เฉิงไห่ไม่ได้ที่จะตั้งใจขอความคิดเห็นจากตัวของเขาเลย มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น สิ่งที่ยู่เฉิงไห่ต้องการจริงๆ คือการทำลายม่านพลังของแท่นบูชามากกว่า
ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ในที่สุดลู่โจวและหยวนเอ๋อก็กลับมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าจนได้
ต้วนมู่เฉิงเดินมาหาทั้งสองคนพร้อมกับหอกราชันย์ที่อยู่ในมือ เมื่อเดินมาถึงตัวเขาก็ได้คุกเข่าลงก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์…ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกัน? ” ลู่โจวสังเกตเห็นว่าต้วนมู่เฉิงดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“ลู่ชิวผิง…ถูกช่วยเหลือออกไปแล้ว” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมา
เมื่อลู่โจวได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที หนูขโมยพวกนี้ดูกล้าหาญกว่าที่ตัวเขาเคยคาดการณ์เอาไว้ ในครั้งล่าสุดที่มาที่นี่พวกหนูขโมยควรที่จะได้รับบทเรียนไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังทะนงตัวเหมือนเช่นเคย
“แล้วเจ้าสี่ล่ะ? ” ด้วยความสามารถที่หมิงซี่หยินมี แม้เขาจะไม่สามารถจับหนูขโมยทั้งห้ากลับมาทั้งหมด แต่หมิงซี่หยินจะต้องทำอะไรได้แน่
“ศิษย์น้องสี่? ศิษย์น้องสี่กำลังเดินทางไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…ท่านอาจารย์ไม่เห็นศิษย์น้องอย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกมา ใบหน้าของเขาดูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ลู่โจวเพิ่งจะกลับมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้พบกับหมิงซี่หยินเลย ดูเหมือนว่าตัวเขาจะคาดกันระหว่างทาง
แม้ว่าจะไม่ได้เจอแต่ลู่โจวก็ไม่ได้กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหมิงซี่หยิน ยิ่งไปกว่านั้นหมิงซี่หยินยังชอบทำให้ตัวเขาประหลาดใจอยู่บ่อยๆ ลู่โจวตัดสินใจที่จะปล่อยให้หมิงซี่หยินไปก่อน จากสถานการณ์ปัจจุบันตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องควบคุมลูกศิษย์ให้รัดกุมเหมือนกับเมื่อก่อนในตอนที่เพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้
ต้วนมู่เฉิงได้พูดต่อไป “พวกมันไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย หนูขโมยทั้งห้าเลือกที่จะช่วยลู่ชิวผิงไป ผู้อาวุโสฮั๊วและแม่นางยู่จิงได้ทำให้พวกมันบาดเจ็บ เจ้าหนูขโมยทั้งห้าเจ้าเล่ห์จริงๆ …” ทันทีที่ต้วนมู่เฉิงพูดจบฮั๊ววู่เด๋าและฮั๊วยู่จิงก็ได้เดินมาหา
ฮั๊วยู่จิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไร้ความสามารถปล่อยให้หนูขโมยทั้งห้าหนีไปได้ ได้โปรดลงโทษข้าด้วยท่านปรมาจารย์”
ฮั๊ววู่เด๋าไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะการโจมตี การที่ตัวเขาจะไม่สามารถจับหนูขโมยทั้งห้าได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แต่ในฐานะที่ฮั๊วยู่จิงเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธนู การที่นางปล่อยให้หนูขโมยทั้งห้าหนีไปได้แสดงว่าหนูขโมยทั้งห้ามีไหวพริบที่มากกว่าคนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งลู่โจวก็ได้พูดออกมา “พวกเราจะพูดถึงเรื่องหนูขโมยทั้งห้าในภายหลัง วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน”
หลังจากที่ยุ่งกับธุระมาหลายวันลู่โจวก็ต้องการเวลาที่จะอยู่กับตัวเอง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ทุกๆ คนได้โค้งคำนับให้
ในป่าแห่งหนึ่ง
“พี่ใหญ่ พลังวรยุทธของน้องห้ายังคงถูกผนึกเอาไว้ พวกเราไม่สามารถทำอะไรกับผนึกได้เลยในตอนนี้ พวกเราควรจะทำยังไงกันดี? “
ผู้ที่เป็นผู้นำและเป็นพี่ใหญ่าของหนูขโมยทั้งห้านั่นก็คือหานยู่ฟาง
หานยู่ฟางได้จ้องมองไปที่ลู่ชิวผิงที่กำลังยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ “ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด…พวกศาลาปีศาจลอยฟ้าคงไม่คิดว่าพวกเราจะพักอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาทองแบบนี้แน่
“พี่ใหญ่ช่างฉลาดหลักแหลมซะจริง สมแล้วที่เป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ตลอดไป นี่มันก็สองวันผ่านมาแล้ว” ซู่เหวินหนูขโมยคนที่สองได้พูดขึ้น
เจียงถังหนูขโมยคนที่สามที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ข้าคิดว่าพี่ใหญ่พูดถูกแล้ว ในตอนนี้พวกเราควรจะรอโอกาสก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง…ภารกิจช่วยเหลือน้องห้าในครั้งก่อนได้ทำให้พวกเราได้รับบาดเจ็บมา ข้าว่าพวกเราควรจะเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บแล้ว”
“พี่ใหญ่และพี่สามพูดมีเหตุผล การจะช่วยเหลือใครสักคนไม่ใช่เรื่องถนัดสำหรับพวกเรา น่าเสียดายในตอนที่ช่วยน้องห้าพวกเราขโมยอะไรมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้ การจะทำแบบนั้นได้มันสุ่มเสี่ยงเกินไป พวกเราเองก็เคยบุกศาลาปีศาจลอยฟ้ามาแล้ว ถ้าหากพวกเราหาสมบัติล้ำค่าอะไรมาสักอย่าง…บางทีพวกเราอาจจะไปตั้งตัวอยู่ที่อื่นได้ เมื่อปรมาจารย์มหาวายร้ายตายไป เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้แล้ว” หนูขโมยคนที่สี่หลิวหยุนไป่ได้พูดออกมา
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นหยักหน้า ลู่ชิวผิงพยายามเก็บอาการเจ็บปวดในร่างกายเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณพี่ใหญ่, พี่รอง, พี่สาม และพี่สี่จริงๆ ที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยข้าแบบนี้”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน การที่พี่น้องจะช่วยเหลือกันมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ”
ในขณะที่พวกเขากำลังวางแผนที่จะเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในตอนนั้นเองสายลมอันเหน็บหนาวก็ได้พัดผ่านป่าแห่งนี้ไป
แกร๊บ!
“ใครกัน?! ” ผู้นำหนูขโมยทั้งห้าอย่างหานยู่ฟางมองเข้าไปในส่วนลึกของป่าแห่งนั้น
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมักจะมีสัมผัสที่เฉียบคมมากว่าคนทั่วๆ ไป ยิ่งไปกว่านั้นหนูขโมยทั้งห้ายังเกิดมาพร้อมกับสัมผัสการรับรู้ที่ดีกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปอีกด้วย ในวันนี้เป็นวันที่สดใสและมีแดดอ่อนๆ การที่จะมีสายลมประหลาดพัดแรงในกลางวันแสกๆ แบบนี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องที่ปกติ
หนูขโมยทั้งห้าได้เตรียมพร้อมขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนนั้นเองมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินเล็กๆ คนคนนั้นสวมใส่ชุดคลุมสีขาว เสื้อผ้าที่คนคนนั้นใส่เป็นของหญิงสาว นางกำลังถือล้มสีขาวเอาไว้ในมือ นอกจากนี้นางยังมีเส้นผมสีขาว หญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นดูเป็นคนละเอียดอ่อนและเป็นคนที่มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
หนูขโมยทั้งห้าต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เคยพบเห็นหญิงสาวคนไหนแต่งกายด้วยลักษณะแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่านางจะลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ป่าน นางดูไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป
หญิงสาวได้เดินมาก่อนที่จะหยุดเดิน ในตอนนี้นางอยู่ห่างจากพวกหนูขโมยทั้งห้าเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น
หานยู่ฟางเป็นคนแรกที่แสดงท่าทีออกมา ตัวเขาได้แต่ขมวดคิ้วก่อนจะใช้ความคิด ‘หญิงสาวที่ไหนจะมาปรากฏตัวกลางป่าแบบนี้ได้กัน? ‘ แม้ว่าจะพยายามคิดไปมันก็ไร้ประโยชน์ “ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปขอให้พวกเราทราบชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางจะได้ไหม? แม่นางมาจากไหนและกำลังจะไปไหนกันแน่? “
ซู่เหวินเองก็ได้พูดออกมาทั้งรอยยิ้ม “ในป่าที่ทุรกันดารแบบนี้…การที่แม่นางจะมาเดินอยู่ที่นี่ได้คงจะต้องเจออันตรายแน่ ถ้าหากไม่ว่าอะไรให้ข้าไม่ส่งแม่นางที่บ้านดีไหมล่ะ? “
หญิงสาวได้เงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่จะกวาดตามองไปที่พวกเขาทั้งห้าคน “หนูขโมยทั้งห้าอย่างงั้นหรอ? “
“แม่นางรู้จักพวกเราด้วยสินะ? ” หานยู่ฟางถึงกับตกตะลึง ตัวเขาได้ที่ได้ยินแบบนั้นรีบเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในทันที
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะโด่งดังไปไกลแล้วสินะ? ชื่อเสียงของพวกเราหนูขโมยทั้งห้าที่สั่งสมมาในที่สุดก็มีคนจดจำได้…ถูกต้องแล้ว พวกเราคือหนูขโมยทั้งห้า”
“คนคนนี้ก็คือพี่ใหญ่ของพวกเรา เขาเป็นผู้นำและเจ้าแห่งการวางแผน ชื่อของเขาก็คือหานยู่ฟาง ส่วนพี่รองของข้าเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วไร้เงา เขามี่ชื่อว่าซู่เหวิน ส่วนข้า…” เจียงถังเอามือทุบอกของตัวเอง “หนูขโมยคนที่สามผู้ที่อยู่ยงคงกระพันในผืนน้ำได้ ชื่อของข้าคือเจียงถัง ส่วนคนถัดมาก็คือน้องสี่ของข้าเอง เขาคนนี้ก็เป็นเหมือนกับสายลมที่เป็นอิสระ ชื่อของเขาคือหลิวหยุนไป่…ท้ายที่สุดก็คือน้องห้าของพวกเราเอง น้องห้าเป็นสุดยอดนักหลบหนี เขามีชื่อว่าลู่ชิวผิง…”
หญิงสาวที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าให้เล็กน้อย “ดีจริงๆ”
หานยู่ฟางที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกแปลกๆ “แม่นาง ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้ามาเลยนะ”
หญิงสาวนางนั้นมองไปที่หานยู่ฟาง “ต่อหน้าที่คนกำลังจะตายจะตอบอะไรไปมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี”