My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 294
ฮั๊ววู่เด๋าถึงกับพูดไม่ออก แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบเยือกเย็นเช่นเคย ตัวเขาไม่ต้องการให้สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าตัวเอง ฮั๊ววู่เด๋าเหลือบมองหยวนเอ๋อก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าจะต้องเหนือกว่าหยวนดู่อยู่แล้ว เจ้าน่ะถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ในหนึ่งพันปีจะปรากฏตัวออกมาสักคน…อัจฉริยะอย่างหยวนดู่ไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่าเมื่อต้องเทียบกับเจ้า”
ความแข็งแกร่งที่หยวนเอ๋อมีไม่อาจที่จะอธิบายว่าเป็นเพียงพรสวรรค์ได้อีกต่อไป
ฮั๊ววู่เด๋าได้พยายามสังเกตเหล่าศิษย์สาวกทุกคนในตลอดเวลาที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ ถ้าหากไม่ได้สังเกตนิสัยของทุกๆ คน ฮั๊ววู่เด๋าก็คงจะต้องรู้สึกเสียใจไปแล้ว เมื่อสังเกตเห็นนิสัยของทุกคนฮั๊ววู่เด๋าก็ได้แต่แปลกใจ ทุกๆ คนไม่ได้มีความขยันอะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงแบบนั้นการฝึกฝนตนเองของพวกเขากับก้าวหน้ากว่าผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไป ในบรรดาศิษย์สาวกที่ฮั๊ววู่เด๋ารู้จัก ตัวเขารู้จักต้วนมู่เฉิงดีที่สุด ท้ายที่สุดแล้วต้วนมู่เฉิงก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำลายพลังผนึกตราประทับทั้งหกของตัวเขาเองจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้…
หยวนเอ๋อที่ได้ยินคำเยินยอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะถามออกไป “ข้าสุดยอดขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? “
“แน่นอน”
“ถ้าหากข้ามีพลังมากพอข้าจะต้องทำลายพลังผนึกตราประทับทั้งหกของท่านได้แน่” หยวนเอ๋อได้พูดขึ้น
“…” ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “ข้าจะฝึกฝนตัวเองเพื่อรอคอยวันนั้น”
ต้วนมู่เฉิงไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนั้นเลย ตัวเขาได้ถามออกมา “หยวนดู่เป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอย่างงั้นสินะ? “
“ข้าเองก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น…” ฮั๊ววู่เด๋าได้ตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจ
ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาหลังจากที่ถอนหายใจไป “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้า “ม่านพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อ่อนกำลังลงแล้ว เวลาแบบนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเลยที่จะมีการต่อสู้ที่นี่…ข้าคิดว่าควรจะจัดการต่อสู้ในที่รกร้างที่อยู่ทางตอนเหนือของภูเขาทองไป 100 ไมล์จะดีกว่า”
ฮั๊วยู่จิงได้พูดขึ้น “ข้าเองก็เห็นด้วย พวกเราควรจะหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้ พื้นที่รกร้างทางตอนเหนือเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว…สถานที่แห่งนั้นยังเหมาะสำหรับเฝ้ามองดูการต่อสู้อีกด้วย ถ้าหากข้าได้ดูการต่อสู้ของท่านผู้อาวุโสกับหยวนดู่ชายในตำนานคนนั้น แม้จะต้องตายข้าก็ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตเลย”
มีคนมากมายหลายคนที่ต้องการชมการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ แต่แน่นอนว่าคนส่วนมากไม่มีโอกาสนั้น ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีมันสมองที่หลักแหลมมักจะดูการต่อสู้เพื่อนำไปปรับใช้กับการฝึกตัวเองได้ มันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้พวกเขาก้าวข้ามผ่านระดับที่มี นี้อาจจะเป็นโอกาสทองสำหรับพวกเขาก็ว่าได้
“เดี๊ยวก่อนนะ…ทำไมพวกเราพูดถึงเรื่องนี้อีกล่ะ? ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมา
ทันใดนั้นเองหัวข้อการสนทนาถึงสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้ก็ถูกเปลี่ยนไป
ฮั๊ววู่เด๋าได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง “พวกเรามาคุยเรื่องหนูขโมยทั้งห้ากันเถอะ”
“ถูกแล้ว…เรื่องหนูขโมยทั้งห้า”
“ไม่ว่าใครจะฆ่าหนูขโมยทั้งห้าไป คนคนนั้นก็ได้ทำในสิ่งที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะได้ประโยชน์! นี่ถือเป็นการดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแบบนั้นไม่จำเป็นเลยจะต้องเดาว่าใครกันเป็นผู้สะสางปัญหาของพวกเราแบบนี้” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดขึ้น
“ผู้อาวโสฮั๊วพูดมีเหตุผล” ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนนั้นเองเสียงของโจวจี้เฟิงก็ได้ดังมาแต่ไกล “ผู้อาวุโสฮั๊ว หนูขโมยทั้งห้าตายไปแล้ว แล้วเสื้อคลุมวิถีเซนอยู่ไหนกันล่ะ? “
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง ‘วันนี้มันมีอะไรผิดปกติกัน? ท่านปรมาจารย์ได้เก็บตัวฝึกฝนตนเองไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะแบบนั้นเรื่องทุกอย่างเลยต้องตกเป็นของข้าผู้ที่เป็นผู้อาวุโสไปแบบนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดดันมาเกิดอะไรในวันแบบนี้กัน? ‘
ต้วนมู่เฉิงตีหน้าผากของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ “จริงด้วย…ข้าเกือบจะลืมมันไปแล้ว ถ้าหากมีเสื้อคลุมนั่น ปัญหาของศิษย์น้องแปดก็จะถูกคลี่คลายไปได้”
“เอ่อ…” สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าได้เปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้างก่อนที่จะพูดออกมา “จากการกระทำของผู้ที่ลงมือสังหารหนูขโมยทั้งห้าไป บางทีคนคนนั้นอาจจะเอาเสื้อคลุมไปแล้วก็ได้”
โจวจี้เฟิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็รีบพูดออกมา “พวกเราปล่อยให้ท่านซู่ฮ่องกงอยู่ในสถานะแบบนั้นต่อไปไม่ได้แล้วนะครับ”
ฮั๊ววู่เด๋าขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาได้เดินไปเดินมาได้พักหนึ่งก่อนที่จะมองไปยังทางศาลาตะวันออก น่าเสียดายที่ทางศาลาตะวันออกไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ตัวเขาเพิ่งจะสงสัยเมื่อไม่นานมานี้ เหตุใดกันทำไมศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงประสบปัญหาในการฝึกฝนพลังวรยุทธของตัวเอง หลังจากที่พยายามหาเหตุผลอยู่นานดูเหมือนว่าปรมาจารย์จีจะตั้งใจขัดขวางการฝึกฝนของลูกศิษย์ทุกคนเอาไว้ไม่ให้คืบหน้าไปไหน
“พวกเราควรจะถามความเห็นของท่านปรมาจารย์ดีไหมครับ? ” โจวจี้เฟิงได้ถามออกมา
“ไม่” หยวนเอ๋อได้ตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล “ท่านอาจารย์บอกไม่ให้ใครไปรบกวนตัวเขา ข้าจะไปศาลาตะวันออกรอท่านอาจารย์เอง…” หลังจากพูดจบหยวนเอ๋อก็รีบเดินขวางหน้าทุกคนเอาไว้ ดูเหมือนนางจะไม่อยากให้ใครไปรบกวนลู่โจว
ถ้าหากลู่โจวพูดแบบนั้นแล้ว ก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่น ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างก็มีประสบการณ์กันมาบ้างแล้ว ถ้าหากพวกเขาทำผิดพลาดซ้ำสอง แน่นอนว่าผลที่เลวร้ายกว่าเดิมจะต้องตามมาแน่
ทุกๆ คนต่างก็เหม่อลอยหลังจากที่นึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น “ผู้อาวุโสฮั๊ว มีคนทิ้งของสิ่งนี้เอาไว้ที่เชิงเขา”
ทุกๆ คนต่างก็เดินมาดู ผู้ฝึกยุทธหญิงได้ส่งของชิ้นนั้นให้กับมือของฮั๊ววู่เด๋า มันเป็นเสื้อคลุมวิถีเซนนั่นเอง
ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึง
ฮั๊ววู่เด๋าได้ถามออกมา “ใครส่งมากัน? “
“เป็นคนธรรมดาจากเมืองถังสีค่ะ…”
“คนธรรมดาจะไปเอาเสื้อคลุมวิถีเซนมาจากหนูขโมยทั้งห้าได้ยังไงกัน? เป็นไปไม่ได้! ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดขึ้น
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นได้พูดต่อ “คนคนนั้นบอกไว้ว่ามีสตรีสีขาวคนหนึ่งฝากให้ส่งของสิ่งนี้มาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าค่ะ…”
“สตรีสีขาวอย่างงั้นหรอ? “
หยวนเอ๋อรีบพูดออกมา “ศิษย์พี่หกอย่างงั้นหรอ?! “
ยี่เทียนซินเป็นคนเดียวที่ตรงตามคำอธิบาย นางเป็นคนเดียวที่มีแรงจูงใจมากพอที่จะช่วยเหลือศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้ ตอนนี้ทุกอย่างได้ถูกคลี่คลายออกมาแล้ว
ต้วนมู่เฉิงถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “จะต้องเป็นศิษย์น้องหกแน่ ข้าคิดว่าพลังวรยุทธที่นางมีคงจะฟื้นคืนมาจนเกือบจะครบแล้ว ด้วยพลังวรยุทธเดิมที่นางมีการจะโค่นหนูขโมยทั้งห้าได้คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นหนูขโมยทั้งหมดยังได้รับบาดเจ็บไปแล้วด้วย”
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีใครคาดคิดเลยว่านี่จะเป็นผลงานของศิษย์คนที่หกอย่างยี่เทียนซินได้ น่าเสียดายที่นางถูกขับออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว นางในตอนนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป
‘ทำไมนางถึงทำแบบนี้กัน? ‘
‘นางต้องการจะกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้งสินะ? ‘
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองไปยังศาลาทางตะวันออก มีเพียงคนคนเดียวที่จะตัดสินทุกอย่างได้ คนคนนั้นได้อยู่ที่นั่นแล้วนั่นเอง
ในตอนนี้ลู่โจวยังคงใช้เวลาไปกับการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนใหม่ที่ได้รับมา มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยเห็น! ตัวเขาสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวได้อย่างชัดเจน ทุกๆ อย่างเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังหยุดนิ่ง ลู่โจวในตอนนี้ไม่รับรู้ถึงเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปได้เลย ความรู้สึกที่ตัวเขากำลังจมอยู่มันสบายจนทำให้ตัวเขาไม่อยากออกไปจากสภาวะนี้ โอกาสที่ลู่โจวจะได้อยู่อย่างสงบแบบนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ตัวเขาตัดสินใจที่จะไม่ยอมเสียสละเวลาอันมีค่าไปทำอย่างอื่นอีก
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ลู่โจวกำลังทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
ชั่วพริบตาเดียวเจ็ดวันก็ได้ผ่านพ้นไป
ฮั๊ววู่เด๋าและคนอื่นๆ ยังคงรออยู่ที่ด้านนอกของศาลาทางตะวันออก
“หยวนเอ๋อ ท่านปรมาจารย์ได้เคลื่อนไหวอะไรแล้วรึยัง? ” ฮั๊ววู่เด๋ารู้ดีว่านางสนิทสนมกับปรมาจารย์มากที่สุด นางได้ฝึกฝนตัวเองอยู่ที่ด้านหน้าศาลาทางตะวันออกไปพร้อมๆ กับรอคอยลู่โจวไปด้วย
“ไม่เลย” หยวนเอ๋อตอบก่อนที่จะส่ายหัวให้
“อืม…”
“ท่านอาจารย์น่าจะออกมาเร็วๆ นี้แน่ ไม่จำเป็นจะต้องกังวลไปผู้อาวุโสฮั๊ว” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ข้าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเท่าไหร่…ข้ากังวลเรื่องของหมิงซี่หยินที่ยังไม่กลับมามากกว่า” ฮั๊ววู่เด๋าตอบกลับ
หยวนเอ๋อได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดขึ้น “ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านน่ะกังวลมากเกินไปแล้ว ศิษย์พี่สี่ของพวกเราเจ้าเล่ห์เป็นที่สุด ท่านก็รู้ดีนิว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ฮั๊ววู่เด๋าเริ่มยิ้มได้
“ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะผู้อาวุโสฮั๊ว…ข้าจะรีบแจ้งให้ท่านทราบเองถ้าหากท่านปรมาจารย์ออกมาแล้ว”
“ขอบคุณมาก” ฮั๊ววู่เด๋าได้ออกจากศาลาทางตะวันออกไป
หยวนเอ๋อยังคงอยู่หน้าศาลาทางตะวันออกก่อนที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์ต่อไป
อีกเจ็ดวันต่อมา
ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้รับจดหมายมาจากหมิงซี่หยิน มันเป็นจดหมายที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ตัวเขาต้องการที่จะพาจ้าวยู่กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นตัวเขาเลยต้องการเวลาอีกสักพัก ต้วนมู่เฉิงต้องการที่จะรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้เป็นอาจารย์ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ถูกหยวนเอ๋อขวางเอาไว้ ต่อหน้าหยวนเอ๋อต้วนมู่เฉิงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยนอกจากรอคอย
เมื่อเวลาเกือบหนึ่งเดือนได้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่ได้สัญญาเอาไว้กับหยวนดู่เต็มที เหล่าสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป
ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง และคนอื่นๆ เองต่างก็มารวมตัวกันที่ศาลาทางตะวันออกอีกครั้ง “ผู้อาวุโสฮั๊ว…พลังวรยุทธที่ท่านมีลึกล้ำที่สุดในหมู่ของพวกเราแล้ว ท่านรู้ไหมว่าในศาลาทางตะวันออกกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกมา
เนื่องจากไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไป เพราะแบบนั้นทุกคนจึงได้แต่สังเกตการณ์อยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น
ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “คงจะเป็นการดีกว่าถ้าหากไม่รบกวนเขาในตอนนี้ เท่าที่ข้าสัมผัสได้ดูเหมือนว่าภายในนั้นจะมีพลังลมปราณผันผวนอยู่ มันเป็นพลังที่ดูอ่อนโยนและมั่นคง”
ต้วนมู่เฉิงพยักหน้า ตัวเขาได้เดินหน้าไปทางศาลาทางตะวันออก เขาเห็นหยวนเอ๋อกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าศาลาโดยที่ห้อยขาลงมาด้วย ต้วนมู่เฉิงได้มองไปที่นางก่อนจะพูดออกมา “ศิษย์น้องเล็ก พาอาจารย์ออกมาจากการฝึกฝนได้แล้ว”