My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 47
โจวได้เปิดเมนูขึ้นมาก่อนที่จะเปิดดูเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่อยู่ในนั้น ตัวเขาพยายามมองไปที่ตัวอักษรที่อ่านได้ ในตอนนี้ตัวอักษรที่อ่านได้ยังไม่เพิ่มจำนวนขึ้นมา และก็เพราะแบบนี้ตัวเขาจึงไม่สามารถอ่านอะไรเพิ่มเติมได้ ลู่โจวในตอนนี้จึงตัดสินใจที่จะอ่านเนื้อหาในส่วนที่อ่านได้ซ้ำอีกครั้ง ตัวเขาได้อ่านส่วนที่อยู่ด้านหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามที่จะเข้าใจความหมายให้ได้มากที่สุด ลู่โจวที่ทำแบบนี้หวังเพียงว่าส่วนต่อไปจะค่อยๆ เปิดเผยให้กับตัวเขาได้รู้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็มีตัวหนังสือพิเศษบางตัวที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยในการอ่านครั้งล่าสุด
ลู่โจวที่พยายามอย่างหนักได้รู้แล้วว่าการอ่านความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั้นเป็นไปได้แน่ แต่มันก็ยังยากมากอยู่ดี
แสงภายในห้องที่ลู่โจวอยู่ยังคงริบหรี่ ตัวเขาในตอนนี้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านและการทำความเข้าใจเคล็ดอักษรสวรรค์ และเมื่อเวลาได้ผ่านไปไปในตอนนั้นเองก็เกิดฉากมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้ง ลู่โจวในตอนนี้สามารถมองเห็นประกายแสงริบหรี่เหนือแหล่งกำเนิดแสงไฟสลัวๆ ภายในห้อง
แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตัวเขาได้นั่งอ่านเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไปจนเวลาได้ผ่านพ้นไปถึงสามวัน
…
บนภูเขาทอง โจวจี้เฟิงในตอนนี้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกเคล็ดวิชากระบวนท่าดาบเคล็ดวิชาใหม่ที่ได้มา ส่วนด้วนมู่เฉิงเองกำลังรักษาบาดแผลของตัวเขาอย่างเดียวดาย หมิงซี่หยินเองกำลังอยู่ในการรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในขั้นตอนที่กำลังพัฒนาวรยุทธ์ของตัวเอง หยวนเอ๋อเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ เธอรู้สึกเบื่อมากแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ออกจากหุบเขาลูกนี้ไปไม่ได้
โชคดีที่หุบเขาทองถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังป้องกัน ดังนั้นหยวนเอ๋อในตอนนี้จึงไม่ต้องคอยป้องกันหุบเขาด้วยตัวคนเดียว และแล้วก็ถึงวันที่สี่ ในตอนนั้นหยวนเอ๋อก็ได้เดินเล่นอยู่บนลานหน้าศาลาเช่นเคย ในตอนนั้นเองพืชพรรณที่ปกคลุมอยู่ก็ได้ขยับเขยื้อน
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอะไรบางอย่างที่แตกออกดังขึ้น หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้วิ่งกลับมาตรงจุดที่เสียงดังอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่สี่อย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อสังเกตเห็นเหล่าพืชพรรณทั้งหลายต่างก็ขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วจนเหนือธรรมชาติไป แต่นั่นมันก็แปลกอยู่ดี “ท่านอาจารย์บอกเอาไว้ว่าศิษย์พี่สี่จะต้องใช้เวลา 7 วันนิ แล้วทำไมมันถึงได้รวดเร็วแบบนี้ล่ะ? “
ไม่นานมากนักพืชพรรณทั้งหลายก็ได้เติบโตจนสูงเฉียดศาลาปีศาจลอยฟ้า หยวนเอ๋อในตอนนั้นพยายามที่จะเดินถอยหลังกลับไป กว่าครึ่งของลานหน้าศาลาได้ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณแล้ว หยวนเอ๋อที่ได้ถอยออกมาไม่มีที่ให้ยืนอีกต่อไป เมื่อเห็นแบบนั้นเธอจึงเลือกบินไปบนอากาศแทน
ตู้ม!
ทันใดนั้นเองพืชพรรณที่ได้ห่อหุ้มหมิงซี่หยินเอาไว้ก็ได้แตกออกจากกัน หยวนเอ๋อในตอนนั้นได้ปล่อยพลังตัวเองออกมา เธอพยายามที่จะป้องกันพลังที่จะเข้ามาโจมตีตัวเองเอาไว้ ในตอนนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งบินออกมา ร่างกายของคนคนนั้นได้ปล่อยคลื่นพลังไปทั่วตัว คลื่นพลังทั้งหมดรุนแรงเหมือนกับคลื่นทะเลที่ว่างเปล่า หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอยออกไปอีก คลื่นพลังนั้นเองได้ทำให้ทั่วทั้งศาลาปีศาจสั่นสะเทือน
กระแสคลื่นพลังที่เป็นเหมือนกับคลื่นน้ำวนได้ก่อนตัวขึ้นที่ลานแห่งนั้น ในตอนนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ลอยอยู่ที่กลางคลื่นพลัง หมิงซี่หยินกำลังหลับตาลงก่อนที่จะกางแขนออกมา
“ยินดีด้วยศิษย์พี่ ศิษย์พี่ได้พัฒนาวรยุทธ์ตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้ว! ” หยวนเอ๋อพูดแสดงความยินดีออกมาอย่างมีความสุข
…
ลู่โจวกำลังที่กำลังศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ในห้องแห่งความลับจับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นได้ ตัวเขาที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ในตอนนั้นชั้นหนังสือ, อาวุธทุกชิ้น รวมไปถึงของจิปาถะทุกอย่างก็ได้สั่นสะเทือน ในตอนนี้ลู่โจวไม่มีสมาธิอีกต่อไป ลู่โจวที่พยายามใช้สมาธิเหมือนถูกสั่นตัวตลอดเวลา
เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ตัวเขาไม่ได้พบกับเหล่าลูกศิษย์จอมวายร้ายของตัวเขา ในตอนนี้ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงดังรบกวนจนเกือบที่จะทำให้หลังคาห้องลับที่เขาอยู่พัง
“พวกแกกล้าดียังไงกัน! ” ลู่โจวพูดตวาดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่จะพยายามอ่านเคล็ดอักษรสวรรค์ต่อไป
…
หมิงซี่หยินได้ออกมาจากคลื่นพลังจนลอยมาถึงลานหน้าศาลา แขนของเขาที่ยื่นออกไปได้ถูกดึงกลับมา ดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี
“ศิษย์น้องเล็ก…”
“ทำไมศิษย์พี่ถึงได้ตื่นจากการหลับใหลเร็วแบบนี้? “
“ข้ารู้สึกดีมากเมื่อได้พัฒนาวรยุทธ์ของตัวเองไปถึงระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้ามีพลังร่างอวตารเป็นของตัวเองแล้ว โลกใบนี้จะต้องตกเป็นของข้าในไม่ช้า! “
“ศิษย์พี่ได้พลังอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถีมารึเปล่าคะ? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกไปด้วยความอิจฉา
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาเบาๆ “ก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะกลับมา ตัวข้าก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปซะก่อน และเพราะแบบนั้นข้าจึงไม่ต้องใช้เวลาถึง 7 วันยังไงล่ะ และก็เพราะความใส่ใจดูแลของศิษย์น้องอย่างใกล้ชิด เพราะเหตุนี้ข้าจึงใช้เวลาไม่นาน! “
หมิงซี่หยินพยายามที่จะใช้พลังร่างอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถีออกมา ในตอนนั้นเองแสงสว่างก็ได้ส่องออกมาเหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ตวาดออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงของเขาได้ดังไปกว่าเดิมมาก
“พวกแกกล้าดียังไง! “
ในตอนนั้นทั่วทั้งอากาศได้ถูกพลังอันร้อนแรงเข้าปกคลุม คลื่นแสงจางๆ ได้ส่องไปทั่วภูเขา ความเงียบเหงาที่เคยมีก็ถูกเติมเต็มไปด้วยแสงไฟอีกครั้ง
“เจ้ากำลังจะทำอะไรกัน? “
ฟรึบ!
หมิงซี่หยินที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยได้ล้มลงกับพื้น ตอนนี้ตัวเขาไม่กล้าที่จะแสดงพลังอีกต่อไป
หมิงซี่หยินได้รีบหันไปทางศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้น
“ศิษย์ผิดไปแล้วท่านอาจารย์! “
ในตอนนี้หมิงซี่หยินเพิ่งจะรู้ตัวว่าได้ทำผิดไป เขาเพิ่งจะแสดงพลังใกล้ๆ กับที่ที่อาจารย์ของเขากำลังพักผ่อน
หมิงซี่หยินในตอนนี้ตื่นตระหนกเกินกว่าที่จะกล้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“เอ๊ะ? ศิษย์พี่ตอนที่ศิษย์พี่คุกเข่าจำเป็นจะต้องใช้พลังร่างอวตารด้วยอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อที่บินอยู่บนฟ้าได้ถามออกมาทันทีที่ลงถึงพื้น
“แค่ก! แค่ก! ” หมิงซี่หยินลุกขึ้นยืนอย่างเขินอายก่อนที่จะมองไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาแกล้งทำเป็นไอเพื่อที่จะกลบเกลื่อนเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น “ข้าเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนมีวรยุทธ์ระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าก็ยังไม่รู้สึกชินเท่าไหร่ ตอนนี้ท่านอาจารย์อยู่ที่ไหนกัน”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้
หลังจนกที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดหมิงซี่หยินก็ได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องหกถูกทำลายวรยุทธ์และถูกขังไว้ที่หลังภูเขาอย่างงั้นสินะ? “
“ค่ะ”
“ข้าจะไปหาเธอสักหน่อย ทิ้งเรื่องบนภูเขาทองให้ข้าได้ดูแลแทนเอง เจ้ารีบไปรวบรวมข้อมูลจากจุดพักที่อยู่แถวๆ กับเมืองถังซีมาจะดีกว่า ท่านอาจารย์จะต้องถามข่าวคราวของยุทธภพแน่นอนหลังจากที่ท่านอาจารย์ออกมาจากการเก็บตัว” หมิงซี่หยินได้เสนอความคิดขึ้นมา
“ศิษย์พี่สี่ช่างฉลาดหลักแหลมจริง! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ” หยวนเอ๋อพูดเสร็จก็กระโดดจากไปอย่างมีความสุข
“อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาซะละ! ” หลังจากที่พูดจบหมิงซี่หยินก็ได้เกาหัวตัวเอง สิ่งที่ตัวเขาเพิ่งจะพูดออกไปมันฟังดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ตัวเขาเป็นเลย แล้วทำไมกันล่ะ คำคำนี้ถึงได้ดังออกมาจากเขาได้?
“ไม่ต้องห่วง ข้าน่ะเป็นเด็กสาวที่สุดแสนจะใจดี! ” หยวนเอ๋อพูดตอบกลับมาก่อนที่จะหมุนตัวลงไปจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
หมิงซี่หยินได้หันกลับไปมองศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เมื่อได้ยินคำเตือนในตอนนั้น หมิงซี่หยินเคยคิดไว้ว่าถ้าหากตัวเขาฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ตัวเขาจะไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดจะผิดอย่างมหันต์ หนทางในการฝึกฝนยังอีกยาวไกลนัก
ตัวเขาที่คิดได้ได้ออกจากลานหน้าภูเขาไปในทันที ตอนนี้ความเร็วของหมิงซี่หยินได้เพิ่มมากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว
ในพริบตาเดียวเท่านั้นตัวเขาก็เดินทางมาถึงด้านหลังภูเขาได้
“เอ๊ะ? เจ้า? ” หมิงซี่หยินในตอนนั้นเห็นโจวจี้เฟิงกำลังฝึกดาบอยู่
โจวจี้เฟิงรู้สึกตกใจเมื่อเห็นหมิงซี่หยินเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว โจวจี้เฟิงที่รู้สึกตกใจได้เหวี่ยงดาบเล่มนั้นไปยังหมิงซี่หยิน หมิงซี่หยินได้รับดาบเอาไว้ด้วยฝ่ามือของเขาได้ “ศิษย์พี่สี่…? “
โจวจี้เฟิงไม่ใช่ลูกศิษย์ของลู่โจว ดังนั้นตัวเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเรียกศิษย์คนอื่นๆ ยังไงดี
หมิงซี่หยินในตอนนั้นได้แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้ยินมาจากศิษย์น้องเล็กหยวนเอ๋อแล้ว เจ้าน่ะเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจากสำนักดาบสวรรค์อย่างงั้นสินะ”
“ศิษย์พี่พูดเกิดนไปแล้ว ข้าไม่สมควรที่จะได้รับคำเยินยอนั่นหรอก….”
“ดีเลย เจ้าในตอนนี้น่ะเหมาะที่จะเป็นคู่ซ้อมฝึกฝนกับตัวข้าที่สุดแล้ว” หมิงซี่หยินที่พูดเสร็จก็ได้เกร็งกล้ามเนื้อในร่างกายในทันที
“อะไรนะ! ” โจวจี้เฟิงไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่
ฟรึบ!
“พลังร่างอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถี! ” ร่างอวตารสูงกว่ายี่สิบฟุตกว้างกว่าห้าฟุตได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหมิงซี่หยิน
โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “นั่นมันช่างเป็นร่างอวตารที่เล็กอะไรแบบนั้น…”
“เจ้าพูดอะไรนะ? “
พรึบ!
โจวจี้เฟิงได้คุกเข่าลงกับพื้นก่อนที่จะโค้งศีรษะให้ “มันแข็งแกร่งมากเลยครับ! “
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาสงสัยว่าพลังระดับวรยุทธ์ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วแข็งแกร่งจริงๆ ไหม โจวจี้เฟิงในตอนนี้ได้แต่คุกเข่าก้มหัวให้กับเขาเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่หมิงซี่หยินจะทดสอบฝีมือกับผู้ที่ไม่มีใจสู้แบบนี้ “เจ้าน่ะหรออัจฉริยะ? เจ้ามันก็แค่คนธรรมดาก็เท่านั้น” หมิงซี่หยินได้หันหลังให้ก่อนที่จะรีบไปยังถ้ำด้านหลังภูเขา ถ้ำเงาสะท้อนนั่นเอง
โจวจี้เฟิงลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเขาก็ได้เอามือทุบไปที่หน้าอกของตัวเองก่อนที่ถอยหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ตัวเขาพยายามขับเลือดลมออกมาเพื่อที่จะสงบตัวเองลง ถ้าหากโจวจี้เฟิงไม่ได้ทำตัวเองให้ดูเหมือนอ่อนแอ ตัวเขาก็คงไม่สามารถที่จะตบตาลูกศิษย์จอมวายร้ายคนนี้ได้เลย ยังไงซะการทำร้ายตัวเองก็ดีกว่าการที่ปล่อยให้ผู้อื่นมาทำร้าย
…
ภายในศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นเองลู่โจวค่อยๆ เปิดตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนนี้แสงที่เคยส่องสว่างก็ได้หายไปแล้ว
หลังจากที่ศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มาได้หลายวัน ในที่สุดตัวเขาก็เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว การทำความเข้าใจนั้นเป็นเหมือนกับฝันที่แสนยาวนาน แม้ว่าตัวเขาจะพอทำความเข้าใจได้แล้วแต่ก็ยังมีเนื้อหาอีกมากที่รอคอยอยู่
ลู่โจวในตอนนั้นได้เปิดเมนูของระบบขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันจะใช้ค่าความโชคดีที่เหลือกว่า 60 นี้เอง…จับฉลากนำโชค! “