My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 49
ดาบนิรนามได้ลอยกลับไปหาฝ่ามือลู่โจวราวกับสายลม แสงสีฟ้าอ่อนของมันได้ส่องไปทั่วคมดาบ เมื่อตัวเขากำลังจะทดสอบดาบอีกครั้งในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกมาจากด้านนอก
“นายท่าน ข้าฝางซงศิษย์จากสำนักบริสุทธิ์ มาขอเข้าพบครับ” ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้กำดาบในมือแน่นก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะหายไป
แม้ว่าจะพยายามหลายครั้งต่อหลายครั้งแต่การจับฉลากนำโชคของลู่โจวก็ยังไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร ตัวเขาในตอนนี้ได้อาวุธนิรนามตอบแทนมา แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่คุ้นเคยกับอาวุธชิ้นนี้เท่าไหร่นัก ตัวเขาจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะทำความเข้าใจและคุ้นชินกับอาวุธชิ้นนี้ไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ยังอยู่ในระดับต่ำจนเดินไป และเพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีที่แท้จริงออกมาจากอาวุธนิรนามได้
ส่วนบี่เอี๊ยน สัตว์ขี่ตัวใหม่ของเขา ลู่โจวคงจะสามารถเรียกมาได้ในตอนที่ตัวเขาว่างอยู่เท่านั้น
หลังจากที่ลู่โจวออกจากห้องลับไป ในตอนนั้นดาบที่วางเอาไว้บนชั้นก็แตกออกเป็นชิ้นๆ
เมื่อออกมาที่ด้านนอก ลู่โจวก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ได้ออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว โลกภายนอกในตอนนี้สดใสจนทำให้ตัวเขารู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ มีคนหลายคนในตอนนี้ที่กำลังรอคอยให้ลู่โจวออกมาอยู่
“ท่านผู้อาวุโส! “
“ท่าน…ผู้อาวุโส! “
หยวนเอ๋อที่เห็นลู่โจวออกมาก็รีบวิ่งไปช่วยพยุงพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ข้าไปสืบข่าวคราวมา ในระหว่างทางกลับข้าเห็นทั้งสองคนอยู่ที่ด้านนอกของม่านพลัง ศิษย์ที่เห็นแบบนั้นจึงพาพวกเขากลับมาด้วย ท่านอาจารย์อย่าถือสาศิษย์เลยนะ”
ขณะที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงพื้น ฝางซงก็ได้เหลือบมองชายที่เพิ่งจะปรากฏตัวออกมาเป็นครั้งคราว การที่จะจินตนาการว่าชายคนที่อยู่หน้าตรงนี้เป็นถึงกับปรมาจารย์มหาวายร้ายเป็นเรื่องที่ยากมาก ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นเหมือนกับชายชราธรรมดาๆ ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ กับเขาก็คือมู่หลงไห่ มู่หลงไห่ในตอนนี้กำลังนั่งสั่นไปทั้งกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองใคร
“เจ้าน่ะไม่ได้สร้างปัญหาที่นั่นสินะ? ” ลู่โจวพูดขึ้นพร้อมกับเอามือของเขาเคาะไปที่หัวของหยวนเอ๋ออย่างนุ่มนวล
“ไม่มีเลยค่ะ…ศิษย์ได้ข่าวคราวของยุทธภพมาด้วยแหละ! ” หยวนเอ๋อพูดตอบกลับมา
ลู่โจวพยักหน้าให้กับเธอก่อนที่จะหันไปสบหน้าของชายทั้งสองคน
“ยืนขึ้นและพูดซะสิ! “
ฝางซงลุกขึ้นยืนโดยไม่มีปัญหาอะไร ส่วนมู่หลงไห่ได้เซไปเซมาก่อนที่จะยืนขึ้น ตัวเขาเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น และหลังจากที่พยายามได้พักหนึ่งตอนนั้นเองในที่สุดเขาก็ยืนขึ้นมาจนได้ สายตาของเขากับลู่โจวได้สบตากันอีกครั้ง และหลังจากที่สบตาตัวเขาก็ล้มลงก่อนที่จะคุกเข่าอีกครั้ง
“นายท่าน…ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้ามันตาบอดโง่งมที่ไม่เห็นถึงพลังที่แท้จริงของนายท่าน! “
‘ฉันไปทำอะไรให้กับเจ้านี่กัน? เจ้านี่พูดจาเหมือนกับฉันไปฆ่าครอบครัวของมันเข้า? ‘ ลู่โจวคิดกับตัวเอง ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ยังไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เขาได้เอ่ยเรียกหยวนเอ๋อแทน “หยวนเอ๋อ” น้ำเสียงของลู่โจวในตอนนี้ฟังดูไร้อารมณ์
“ค่ะ ท่านอาจารย์? “
“ส่งเขาออกไปซะ”
“ข้าเข้าใจแล้วค่ะท่านอาจารย์”
มู่หลงไห่ในตอนนั้นหยุดคร่ำครวญไป แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา หยวนเอ๋อก็ได้ลากคอของเขาออกจากภูเขาไปราวกับลูกสุนัข ฝางซงที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ฝางซงได้แต่กลืนน้ำลายเมื่อเห็นภาพภาพนี้ ตัวเขาคิดมาตลอดว่าชายผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับภูเขาทองคนนี้จะต้องไม่ตายดี
“ฝางซง” ลู่โจวได้เรียกฝางซงก่อนที่จะสบตาเขา
ฝางซงที่ได้ฟังแบบนั้นกลัวจนตัวสั่น เขากำหมัดก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส! “
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับไป ตัวเขาเดินไปนั่งเก้าอี้อย่างช้าๆ แทน “เจ้าน่ะอยากที่จะมารับใช้ภูเขาทองของข้าอย่างงั้นน่ะหรอ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา ดวงตาของเขาในตอนนี้ดูสุขุมไร้อารมณ์ แต่ถึงแบบนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังทรงพลังมากอยู่ดี
ฟรึบ!
ฝางซงได้คุกเข่าลง “ใช่แล้ว ข้าอยากที่จะเข้าร่วมกับภูเขาทองของท่าน ได้โปรดยอมรับข้าด้วยเถอะ! “
ลู่โจวได้ใช้มือลูบเคราของตัวเอง สายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่ดวงตาของฝางซง ‘แม้ว่าเจ้าหมอนี่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินทั้งสามจนร่างกายได้รับความหนาวเหน็บไป แต่ถึงแบบนั้นเจ้านี่ก็จัดว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อีกคน’
หลังจากที่หยุดคิดไปชั่วขณะ ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ผู้คนทั่วทั้งมุมโลกต่างก็หวาดกลัวข้า สำนักจากฝ่ายธรรมะทั้งหมดต่างก็ต้องการที่จะจัดการกับข้า แม้แต่ลูกศิษย์ของข้าเองก็ยังอยากที่จะจัดการข้า…”
หัวใจของฝางซงเต้นรั่วขึ้นเมื่อได้ยินลู่โจวพูดแบบนั้น ตัวเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ลู่โจวกำลังพูดมีความหมายที่แท้จริงคืออะไร เขาไม่อาจที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของลู่โจวได้เลย
“หลังจากที่เจ้าเข้าร่วมกับภูเขาทองของพวกเรา ข้าน่ะจะปกป้องเจ้าเอง แต่ไม่ว่ายังไงถ้าหากวันนั้นมาถึง…” ลู่โจวจู่ๆ ก็หยุดพูดไปอย่างกะทันหัน
ฝางซงเข้าใจความหมายดี เขารีบก้มหน้าก่อนที่จะพูดตอบรับอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากข้าคิดร้ายต่อท่านผู้อาวุโสจริง ขอให้สักวันหนึ่งข้าถูกสับเป็นพันๆ ชิ้น! “
ความภักดีของฝางซงเพิ่มขึ้นมา 10%
“เยี่ยมมาก! ” ลู่โจวลูบเคราของตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้าน่ะรักษาคำมั่นสัญญาเสมอ เพราะงั้น…”
“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส! ” ฝางซงยืนขึ้นอย่างประหม่า
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วรอยยิ้ม
ในตอนนั้นหมิงซี่หยินที่เข้ามาคนสุดท้ายก็ได้พยักหน้าให้กับฝางซงก่อนที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าลู่โจว “ท่านอาจารย์ ข้าสามารถทำลายขีดจำกัดของตัวเองจนมีวรยุทธ์พัฒนาไปที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว! “
ฝางซงรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลายที่ฝึกฝนตนจนมาถึงขั้นนี้ได้จะถูกเรียกว่ายอดฝีมือไป แม้ว่าภูเขาทองจะเต็มไปด้วยเหล่าวายร้ายแต่ถึงแบบนั้นที่ภูเขาทองแห่งนี้ก็มียอดฝีมือเพียงหยิบมือเท่านั้น และฝางซงที่ได้ยินแบบนั้นจึงรู้สึกตกใจมาก
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็หยักหน้าก่อนที่จะพูดตอบกลับไป “ในเมื่อเจ้ามีวรยุทธ์ถึงระดับนี้แล้วเจ้าก็คงจะมีพลังอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถีแล้วสินะ ยิ่งวรยุทธ์ของเจ้าสูงมากขึ้นเท่าไหร่ กลีบดอกไม้ของร่างอวตารเจ้าก็จะมากขึ้นเท่านั้น จำเอาไว้ล่ะ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือไปแล้วแต่เจ้าจะต้องไม่หยิ่งผยองและดูถูกผู้อื่น! “
“ข้าจะจดจำคำสอนของท่านอาจารย์ทุกอย่าง! ” หมิงซี่หยินตอบกลับมาด้วยความจริงใจ
‘ติ้ง! คุณได้สั่งสอนหมิงซี่หยิน คุณได้รับแต้มบุญ 100 แต้ม’
ฝางซงที่มองดูเหตุการณ์ทุกอย่างก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ในอดีตเขามักจะได้ยินข่าวลือมาจากคนอื่นเสมอๆ ปรมาจารย์มหาวายร้ายแห่งภูเขาทองคนนี้มักจะเป็นคนวู่วาม เขามักจะสังหารคนที่กล้าแม้แต่สบตาเขาอย่างโหดร้ายและไร้ความปรานี แต่เขาคนนี้กับสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเป็นห่วงเป็นใย ปรมาจารย์คนนี้เป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่งก็ว่าได้ เขาคนนี้อาจจะเป็นอาจารย์ที่ดีกว่าอาจารย์ที่อยู่ในสำนักบริสุทธิ์ด้วยซ้ำไป
“ท่านอาจารย์ ข้าได้ไปสอนบทเรียนให้กับยี่เทียนซินมาแล้ว ข้าเพิ่งจะไปหาเธอที่อยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนมา! ” หมิงซี่หยินได้บอกกับลู่โจว
ใบหน้าของลู่โจวยังคงไร้อารมณ์ ‘ที่ฉันได้แต้มบุญก็เพราะหมิงซี่หยินอย่างงั้นสินะ’ แต่ถึงแม้ว่าครั้งนี้มันจะเป็นผลดี แต่ลู่โจวก็คิดว่าไม่ควรจะไปสั่งสอนเธอในตอนนี้ ดังนั้นตัวเขาจึงได้พูดออกมา “ให้เจ้าศิษย์โง่คนนั้นไตร่ตรองตัวเองในถ้ำไป นอกจากเจ้ายี่เทียนซินแล้ว เจ้าซู่ฮ่องกงรวมไปถึงเจ้าจ้าวยู่ต่างก็มีส่วนในการลักพาตัวคนสกุลซีด้วย”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นดวงตาก็เบิกโตในทันที “ท่านอาจารย์ ข้าเพิ่งจะมีวรยุทธ์ระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ข้าคิดว่าอยากที่จะทดสอบฝีมือกับใครสักคน ท่านอาจารย์ให้ข้าไปจับตัวศิษย์น้องแปดด้วยเถอะ ข้าจะจับเจ้าศิษย์ทรยศนั่นกลับมาให้ท่านอาจารย์ลงโทษเอง”
หมิงซี่หยินไม่ได้พูดถึงจ้าวยู่ ที่เขาไม่พูดออกมาก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอคนนีั้ไปอยู่ไหนแล้วนั่นเอง
‘แม้ว่าซู่ฮ่องกงจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้รับการสนับสนุนมาจากสีวู่หยาศิษย์คนที่เจ็ด แม้ว่าหมิงซี่หยินจะพาเขากลับมาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นอยู่ดี แถมการทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้สีวู่หยาระวังตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย…’
หลังจากที่พิจารณาได้สักพัก ลู่โจวก็ได้โบกมือปฏิเสธก่อนจะตอบกลับมา “ปล่อยเจ้านั่นเอาไว้ก่อนเถอะ”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นไม่อาจเข้าใจได้เลย แต่ตัวเขาก็โค้งคำนับก่อนที่จะยอมรับความจริงนี้ไป “ศิษย์เข้าใจแล้วครับท่านอาจารย์! “
“ข้าเหนื่อยแล้ว ออกไปซะ! “
“ครับ/ค่ะท่านอาจารย์! “
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้หยิบตาให้กับฝางซง เขาในตอนนี้กำลังดูเหม่อลอยอยู่
“ศิษย์พี่มีอะไรอย่างงั้นหรอ? “
หมิงซี่หยินได้ลากตัวของฝางซงออกมาจากปีศาจลอยฟ้า เมื่อพวกเขาทั้งหมดออกมาข้างนอกในตอนนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะเด็กใหม่อย่างงั้นหรอ? “
“ใช่แล้ว…ศิษย์พี่…สี่”
“ฮาฮ่า! ข้าน่ะถูกชะตากับเจ้าจริงๆ เจ้าน่ะอยากเห็นพลังร่างอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถีของข้ารึเปล่าล่ะ? “
“??? “
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็เพิ่งจะออกจากศาลาก่อนที่จะเดินมาใก้ลๆ กับหมิงซี่หยิน
“ศิษย์พี่สี่! “
“ศิษย์น้องเล็ก? เจ้ามาถึงก็ดีแล้ว! เจ้าเองก็มาดูพลังร่างอวตารกลีบดอกบัวแห่งร้อยวิถีของข้าซะสิ” หมิงซี่หยินเหยียดแขนออกไปราวกับว่าตัวเขากำลังจะต่อยใครบางคน
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบกลับมาในทันที “ไว้คราวหน้าดีกว่าศิษย์พี่ ตอนนี้มีกลุ่มชาวยุทธ์กำลังอยู่ที่เชิงเขา ข้าสงสัยว่าเจ้าพวกนั้นจะมาบุกรุกภูเขาทองอีกครั้ง! “
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกดีใจมาก “ยอดเยี่ยม! ข้าจะไปจัดการกับเจ้าพวกนั้นเอง เจ้าน่ะไม่ต้องมาจัดการด้วยตัวเองหรอก ปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการจะดีกว่า ข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว! “
“ศิษย์พี่ คนพวกนั้นคือเหล่าอิสตรีที่มาจากวังจันทราน่ะ! “
ก่อนที่หยวนเอ๋อจะพูดเสร็จ หมิงซี่หยินก็ได้หายตัวไปก่อนแล้ว ฝางซงในตอนนี้ดูสับสนมาก เขาไม่รู้เลยว่าควรจะตามไปช่วยไหม หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็กระทืบเท้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเธอหันกลับมาเธอก็เห็นฝางซงกำลังเหม่อลอยดูอะไรบางอย่างอยู่ เธอที่รู้สึกไม่สบอารมณ์จึงพูดออกไปในทันที “เจ้ามองอะไรกัน ฮะ? ถ้าหากเจ้ายังจะมองมาอีกข้าจะควักลูกตาคู่นั้นออกมาเอง! “
“…”
‘ข้าไปมองแม่หนูนี้เมื่อไหร่กัน…’