My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 51
แต้มบุญที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ลู่โจวตกใจ
“แต้มบุญจากคนสวามิภักดิ์อย่างงั้นหรอ? ลูกศิษย์ของฉันได้ออกไปบำเพ็ญประโยชน์ในตอนนี้หรือยังไงกัน? “
ในระหว่างที่คิดอยู่ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“ท่านอาจารย์ศิษย์พี่สี่กำลังสังหารคนอยู่! “
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ยืดตัวขึ้นมาในทันที “เกิดอะไรขึ้นกัน? “
หยวนเอ๋อได้ยินเสียงที่ดังมาจากเชิงเขา หลังจากนั้นเธอก็รีบมารายงานท่านอาจารย์ในทันที ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา เหล่าชาวยุทธ์หญิงทั้งหลายล้วนแต่เป็นคนของวังจันทรา เป็นคนของยี่เทียนซิน แล้วในตอนนี้ผู้นำวังจันทราของพวกเธอก็ถูกจับขังอยู่ที่ด้านหลังของภูเขาทอง แล้วทำไมเจ้าพวกนี้ถึงกล้าที่จะคิดโจมตีภูเขาทองกันอีกล่ะ?
ถึงแม้ว่าชาวยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นเพศหญิง แต่ถึงแบบนั้นพวกเธอทั้งหมดต่างก็มีวรยุทธ์อยู่ที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ลู่โจวคิดว่าจะต้องเหนื่อยมากแน่นอนถ้าหากเขาจะต้องจัดการกับพวกเธอทั้งหมดด้วยร่างกายอันแก่ชรานี้เห็นทีจะเป็นเรื่องยากจนเกินไป
“นี่คงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมเจ้าไม่จัดการมันด้วยตัวเองซะละ” ลู่โจวได้ตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
“ได้ค่ะ! ศิษย์จะจับตาดูศิษย์พี่เอาไว้ให้ท่านอาจารย์เอง ท่านอาจารย์พักผ่อนต่อเถอะค่ะ” หยวนเอ๋อพูดกลับไป
ลู่โจวได้นอนพิงเก้าอี้ตัวเดิม หลังจากนั้นเขาก็เอามือก่ายหน้าผากเอาไว้ก่อนที่จะพักผ่อนต่อ ‘ฉันปวดหัวไม่ไหวแล้ว เห็นทีจะต้องพักการจับฉลากนำโชคนั่นไปก่อน วันนี้ฉันจะต้องหยุดพักซะหน่อย ถ้าหากฉันต้องใช้เวลาไปกับการจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่อีกฉันควรจะเอาเวลาไปใช้หารูปแบบในการจับฉลากนำโชคยังจะดีกว่า’
ที่เชิงเข้าของภูเขาทอง หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา “ทำไมกันล่ะ? เจ้าไม่พอใจในตัวข้าอย่างงั้นหรอ? “
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดนั้นชาวยุทธ์ชายชุดดำถึงกับผงะ ในตอนนั้นเขากำลังคิดคำพูดโต้ตอบกลับไป แต่เสียงกระดิ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาก่อน มันดังมาจากรถม้าลายมังกรดำ
ในตอนนั้นเองเสียงของใครบางคนก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านในรถม้า “หมิงซี่หยิน ข้าขอพบท่านอาจารย์ของเจ้าจะได้ไหม? ” เสียงที่ได้ดังออกมานั้นไม่ได้ดังจนเกินไป แต่พลังที่มาพร้อมกับเสียงกับเป็นพลังอันทรงพลัง
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจนัก “ท่านอาจารย์ของข้าน่ะไม่ชื่นชอบความบันเทิงเหมือนกับเจ้าหรอกนะ”
“…”
ในตอนนั้นเสียงจากภายในรถม้าไม่ได้โต้ตอบกลับมา แม้ว่าชาวยุทธ์ชุดดำคนอื่นจะยังไม่เคลื่อนไหวอะไร แต่หมิงซี่หยินก็สำผัสได้ถึงพลังอันชั่วร้าย
“และเพราะว่าวันนี้ข้าอารมณ์ดี ดังนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าถอยกลับไป เอาล่ะถอยกลับไปยังที่พวกเจ้ากลับมาซะ” หมิงซี่หยินวันนี้รู้สึกอารมณ์ดีอย่างแท้จริง แต่ถึงแบบนั้นคำพูดที่เขาใช้ก็ได้ไปดูถูกพวกชาวยุทธ์ชุดดำแทน มันเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่เข้าหูเท่าไหร่
ในตอนที่หมิงซี่หยินหันกลับ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงพลังเข้าปะทะกับม่านพลังป้องกัน หมิงซี่หยินได้ยินเสียงดังชัดเจน
ตู้ม!
เหล่าชาวยุทธ์หญิงที่มาจากวังจันทราต่างก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นเมื่อเห็นพลังร่างอวตารออกมาจากรถม้ามังกีสีดำ
“หึมมม? ” หมิงซี่หยินได้หันหลังกลับไปมอง ในตอนนั้นเองเห็นร่างอวตารกลีบดอกบัวแห่งร้อยวิถีโผล่พ้นมาจากรถม้าลายมังกรสีดำ ที่ร่างอวตารนั่นสูงประมาณกว่า 50 ฟุต และที่ด้านหลังเองมีกลีบดอกบัวทั้งสี่แฉกอยู่ข้างๆ ใกล้ๆ กับพลังร่างอวตารนั่นเองเหล่าชาวยุทธ์ชุดดำต่างก็ปล่อยพลังออกมาจากตัวเอง ในตอนนั้นทำให้พลังออร่าที่อยู่รอบๆ รถม้าดูแข็งแกร่งขึ้นมาไปอีกหลายเท่าตัว
“หมิงซี่หยิน ในตอนนี้ข้าคู่ควรที่จะพบกับอาจารย์ของเจ้าบ้างรึยัง? “
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้ว ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก นอกจากอาจารย์ของเขากับศิษย์พี่คนโตรวมไปถึงศิษย์พี่คนรอง ทั้งสามคนนั้นมีพลังแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับชายคนนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามภูเขาทองก็ได้สูญเสียความรุ่งโรจน์ในอดีตไปนานแล้ว
“นี่มันยอดฝีมือระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์! ถ้าหากเจ้ามาที่นี่เพื่อที่จะโอ้อวดพลังแล้วละก็ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมาผิดที่ซะแล้วล่ะ” หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย เขาพูดตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอกนะ” เสียงของชายคนเดิมได้ดังขึ้น “ข้าซู่จินฉานจากวิหารปีศาจ ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะมาพบกับท่านผู้อาวุโสจี ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจนะ ช่วยไปบอกกับอาจารย์ของเจ้าที”
เมื่อเสียงได้จางหายไป ตอนนั้นเองชาวยุทธ์ชุดดำทั้งหมดก็เริ่มทยอยลงมาจากท้องฟ้า รถม้าลายมังกรดำเองก็ลงมาที่พื้นเช่นกัน ในไม่ช้าซู่จินฉานก็ได้เดินออกมาจากรถม้าอย่างช้าๆ ใบหน้าของซู่จินฉานเป็นใบหน้าที่ซูบผอมและหมองคล้ำ ดวงตาทั้งคู่ที่เขามีเป็นดวงตาที่ดูลึกล้ำ ลักษณะที่ซูบผอมของชายคนนี้ทำให้เขาดูอ่อนแรง
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นถึงความจริงใจของข้า” ซู่จินฉานได้พูดก่อนที่จะโบกมือให้ ในตอนนั้นเองชาวยุทธ์ชุดดำกว่าหลายสิบคนก็ได้ถอยหลังห่างออกไป ในตอนนี้เหลือเพียงชายชุดดำทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างเขาเท่านั้น ซู่จินฉานได้จ้องมองไปที่หมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้ส่ายหัวไป ตัวเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ‘เจ้านี่พยายามที่จะขู่ให้ข้ารู้สึกกลัวอย่างงั้นหรอ? ‘ ในตอนนั้นเองที่หมิงซี่หยินกำลังจะคิดปฏิเสธ หยวนเอ๋อก็ได้พูดขึ้นมาก่อน “ศิษย์พี่สี่…” หยวนเอ๋อที่พูดออกมาได้ออกจากม่านพลังไป “ท่านอาจารย์บอกให้พาพวกเขาขึ้นภูเขาไปน่ะ”
ซู่จินฉานที่ได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเขาเห็นหยวนเอ๋อกำลังลอยตัวลงมาจากกลางอากาศ ในตอนนั้นเองเขาก็กล่าวชมเชยหยวนเอ๋อ “เจ้าคงเป็นหยวนเอ๋อ ศิษย์คนที่เก้าอย่างงั้นสินะ ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว! “
“โอ้? ชื่อเสียงอย่างงั้นหรอ ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะขึ้นมา
“หยวนเอ๋อ เจ้าน่ะมีชื่อเสียงโด่งดังมาก” ซู่จินฉานยังพูดต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ “หลังจากที่เข้ามาที่ภูเขาทองตั้งแต่อายุแค่ 10 ขวบ เจ้าก็ใช้เวลาเพียงสิบวันเท่านั้นจนฝึกฝนวรยุทธ์ไปถึงขั้นรู้แจ้งเห็นจริง ต่อมาก็ได้ใช้เวลาสามเดือนก็สามารถพัฒนาวรยุทธ์ไปถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ หลังจากนั้นเจ้าก็ยังใช้เวลาอีก 2 ปี เจ้าก็สามารถเบิกเส้นพลังลมปราณทั้ง 8 จุดของขั้นมหาราชครูได้ และในท้ายที่สุดเจ้าก็ได้ใช้เวลาอีก 3 ปีจนสามารถฝึกฝนตัวเองมาที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้ ข้าน่ะมั่นใจมากกว่าในโลกใบนี้คงจะไม่มีใครอัจฉริยะไปกว่าเจ้าแล้ว หยวนเอ๋อ”
หมิงซี่หยินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น ‘เจ้านี่เป็นยอดฝีมือที่มีพลังร่างอวตารกลีบดอกบัวถึง 4 กลีบจริงๆ อย่างงั้นหรอ? ทำไมเจ้านี่ถึงประจบประแจงคนอื่นเก่งนัก? ‘
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกมีความสุขมาก เมื่อได้ยินแบบนั้นเธอก็ตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าน่ะมีฝีปากที่ยอดเยี่ยมมาก! ท่านอาจารย์บอกให้ข้าพาเจ้าไปที่ห้องโถงใหญ่น่ะ”
ซู่จินฉานที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองไปที่ชาวยุทธ์ที่เหลืออยู่ ในตอนนั้นเองชาวยุทธ์ชุดดำทั้งหมดก็ถอยกลับไปอีกก้าว
หลังจากนั้นเองหมิงซี่หยินก็นำคนทั้งสี่รวมไปถึงตัวเขาเดินเข้ามาในม่านพลัง เมื่อเหล่าชาวยุทธ์ชุดดำเข้ามา ในตอนนั้นเองชาวยุทธ์หญิงทั้งหมดที่มาจากพระราชวังจันทราก็ตัวสั่นไปด้วยความกลัว
…
ที่ห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นเองลู่โจวกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขา เป็นเวลานานแล้วที่ตัวเขาได้นั่งบนบัลลังก์แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขาที่ได้กลับมานั่งรู้สึกถึงความหนาวเย็นและความอึดอัดมาก ด้วนมู่เฉิง, โจวจี้เฟิง และฝางซงเองในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ทางซ้ายและทางขวามือแล้ว
ไม่นานนักหมิงซี่หยินก็พาซู่จินฉานมาถึงห้องโถงใหญ่แห่งนี้ได้
“ซู่จินฉานจากวิหารปีศาจขอทักทายท่านผู้อาวุโสจี! ” ซู่จินฉานได้ทักทายลู่โจว
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ชายคนที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ในตอนนี้ห้องโถงใหญ่เงียบสงบ เนื่องจากลู่โจวไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยไม่มีใครที่จะกล้าส่งเสียงหรือแม้แต่ขยับตัว
หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่งลู่โจวก็เริ่มพูดขึ้น “นั่งลงก่อนสิ”
“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส! “
ซู่จินฉานนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะจ้องมองปรมาจารย์มหาวายร้ายที่เคยสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั้งโลกได้ ตัวเขาในตอนนี้ไม่กล้าที่จะสัมผัสถึงพลังวรยุทธ์ของลู่โจวที่อยู่ตรงหน้าเลย ซู่จินฉานที่คิดแบบนั้นจึงได้สัมผัสพลังโดยใช้เวลาสั้นๆ ตัวเขาพบว่าไม่ว่าจะดูยังไงพลังรอบตัวของปรมาจารย์คนนี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย มันเหมือนกับพลังของคนธรรมดาทั่วไป แต่ยังไงซะในโลกใบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่ดีที่ใครสักคนจะเก็บซ่อนพลังวรยุทธ์ที่แท้จริงเอาไว้ และเมื่อคิดแบบนั้นซู่จินฉานก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร
ซู่จินฉานได้เหลือบมองไปที่รอบๆ ห้อง ในห้องโถงนี้ไม่ได้ดูหรูหราหรือโอ่อ่าอะไร ในความเป็นจริงแล้วมันก็เหมือนกับห้องโถงของสำนักธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีสิ่งผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า สถานที่ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับคนนับไม่ถ้วน
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากัน? ” ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเริ่มเปิดฉากสนทนา
ซู่จินฉานที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้กำหมัดก่อนที่จะตอบกลับไป “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของภูเขาทองมาก็เนิ่นานแล้ว มีทั้งหมดสามเรื่องด้วยกันที่ข้าอยากจะคุยกับผู้อาวุโสในวันนี้ ในอดีตวังจันทราได้โจมตีวิหารปีศาจมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว ข้าดีใจที่ท่านผู้อาวุโสจับตัวผู้นำของวังจันทราได้ เจ้านั่นสมควรที่จะได้รับโทษจากผู้เป็นอาจารย์แล้ว แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเหล่าสาวกของวังจันทราไป เจ้าเหล่าชาวยุทธ์หญิงพวกนั้น ได้โปรดท่านผู้อาวุโส โปรดมอบชาวยุทธ์พวกนั้นให้กับข้าด้วย”
ในตอนนั้นซู่จินฉานก็ได้หยุดพูดไปชั่วคราว แต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มพูดเรื่องที่สอง ในตอนนั้นเองด้วนมู่เฉิงก็ได้ขยับตัวก่อนที่จะพูดออกมาก่อน “วังจันทราน่ะถูกก่อตั้งโดยคนทรยศจากภูเขาทอง เจ้าที่เป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเจ้าพวกนั้น”
“ด้วนมู่เฉิง แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่…” ซู่จินฉานไม่ได้หาเหตุผลมาหักล้างเรื่องนั้น เขาในตอนนั้นได้พูดต่อไป “นี่คืองานที่สำนักบริสุทธิ์มอบให้กับข้าได้ทำ ฝางซงคนทรยศของสำนักจะต้องถูกวิหารปีศาจจัดการ บางทีพวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ ฝางซงคนนี้เคยสนใจที่จะเข้าร่วมกับวิหารปีศาจของข้าเมื่อนานมาแล้ว เจ้าคนขี้โลเลอย่างฝางซงไม่มีสิทธิ์ที่จะมายืนอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้…”
ด้วนมู่เฉิงในตอนนั้นเลือกที่จะพูดขั้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้ยกมือห้ามเอาไว้ซะก่อน “พูดต่อซะสิ”
ซู่จินฉานโค้งคำนับให้ก่อนจะพูดต่อไป “แต่ถ้าหากพวกเราตกลงกันในเรื่องที่สามได้ ข้าก็พอจะลืมเรื่องสองอย่างแรกไปได้” ในตอนนั้นเองซู่จินฉานก็ได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดัง “พวกเราวิหารปีศาจและภูเขาทองล้วนแต่เป็นสำนักที่ถูกเกลียดชังจากสำนักฝ่ายธรรมะมาโดยตลอด เหล่ายอดฝีมือของฝ่ายธรรมะทั้ง 10 ต่างก็ได้ประมือกับท่านผู้อาวุโสมาแล้วหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน และทุกครั้งพลังของเจ้าพวกนั้นก็เพิ่มมากขึ้นแทนที่จะลดลง ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้ายอมร่วมมือกับวิหารปีศาจของข้า…แน่นอนว่าจะไม่มีใครในโลกเป็นคู่ปรับของพวกเราได้แน่”
“หุบปาก! ” ด้วนมู่เฉิงที่ทนฟังมานานในที่สุดก็อดทนไม่ไหว