My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 53
“มีคุณสมบัติคู่ควรกับผีสิ! “
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็รู้สึกประหลาดใจที่อยู่ดีๆ ด้วนมู่เฉิงก็รู้สึกโกรธจนลุกขึ้นมาเป็นไฟอีกครั้ง แม้แต่ลู่โจวเองก็ไม่คาดคิดอะไรแบบนี้มาก่อน ตัวเขามองศิษย์คนที่สามคนนี้เป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ด้วนมู่เฉิงกลับเปลี่ยนไป ท่าทีที่สงบนิ่งของเขาได้หายสาบสูญไปจนหมด ในตอนนี้เหลือเพียงคนใจร้อนบ้าดีเดือดเท่านั้น!
หลังจากที่ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดหนึ่งครั้งด้วนมู่เฉิงก็ได้ใส่พลังที่ตัวเองมีลงไปบนโซ่ที่อยู่บนตัว ในตอนนั้นเขาได้ใช้ส่วนเกินของโซ่เหวี่ยงไปด้วยพลังทำลายล้างอันรุนแรง โชคดีที่ห้องโถงแห่งนี้กว้างขวางมากพอ ไม่อย่างงั้นห้องโถงนี้ก็จะถูกทำลายไปแล้วด้วยฝีมือของด้วนมู่เฉิง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ด้วนมู่เฉิงรีบกระโดดไปข้างหน้าก่อนที่จะเข้าไปต่อสู้กับซู่จินฉานอย่างดุเดือดอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเกิดการปะทะกันระหว่างคลื่นพลังท่ามกลางอากาศ แม้ว่าจะมีการโจมตีที่รุนแรงแค่ไหน แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ทันทีว่าวรยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน ซู่จินฉานจงใจที่จะใช้ด้วนมู่เฉิงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไร้พลังของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ยังเฝ้ามองดูการต่อสู้ต่อไปเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยและไม่ได้ตั้งใจที่จะหยุดการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ตัวเขาทำเพียงจ้องมองการต่อสู้ต่อไป ลู่โจวจะสามารถดูความแข็งแกร่งที่แท้จริงของลูกศิษย์ได้รวมไปถึงตัวเขาจะได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของซู่จินฉานอีกด้วย เขาคนนี้เป็นถึงกับรองเจ้าสำนักของวิหารปีศาจ
แม้ว่าจีเทียนเด๋าจะเคยเอาชนะยอดฝีมือจากสำนักฝ่ายธรรมะมาแล้วกว่าหลายครั้งและแสดงให้เห็นแล้วว่าฝีมือของเขาแท้จริงแล้วยังแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นทุกคนในยุทธภพก็ต่างรู้ดี อายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้วรยุทธ์ที่เคยมีถดถอยลงไปด้วย จนถึงตอนนี้ไม่มีใครในโลกที่จะสามารถทำลายขีดจำกัดทางอายุนี้ได้
ในทางกลับกัน วิหารปีศาจนั้นเป็นสำนักที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในโลกของชาวยุทธภพแล้ว วิหารปีศาจยอมที่จะทำทุกอย่างก็เพื่อที่จะกลืนกินทุกสิ่งสุกอย่างที่จะทำให้สำนักของตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในอดีตวิหารปีศาจเองก็เคยเข้าปะทะกับสำนักทางใต้มาก่อน แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะไม่มีความขัดแย้งอะไรเป็นพิเศษแต่ถึงแบบนั้นทั้งคู่ก็ยังกลัวความแข็งแกร่งของกันและกันอยู่ดี
การโจมตีของชาวยุทธ์หญิงที่มาจากวังจันทราเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของซู่จินฉานคือการเยี่ยมเยียนภูเขาทองนั่นเอง ถ้าหากวิหารปีศาจสามารถเป็นมิตรกับภูเขาทองได้ แน่นอนว่าสำนักของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น คนในยุทธภพก็จะต้องเกรงกลัวพวกเขามากยิ่งขึ้น
แท้จริงแล้วลู่โจวต้องการพันธมิตรจริงๆ อย่างงั้นหรอ? แล้วอะไรกันล่ะถึงทำให้ชาววิหารปีศาจคิดว่าตัวเองคู่ควรพอที่จะมาเป็นพันธมิตรได้?
ในโลกใบนี้มีพลังอำนาจมากมายอยู่ในโลก วิหารปีศาจเองไม่ใช่เพียงสำนักเดียวที่ต้องการจะจับมือกับภูเขาทองแบบนี้ ถ้าหากจะวัดการที่คุณสมบัติของความแข็งแกร่งแล้วไม่มีใครที่ไหนที่จะกล้าเถียงว่าภูเขาทองแห่งนี้เป็นที่อยู่อันแข็งแกร่งของสุดยอดฝีมือ ในตอนนี้ผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำลับดับที่สามเท่านั้นกล้าดีที่จะมาขอภูเขาทองแห่งนี้เป็นพันธมิตร และเพราะแบบนั้นเองลูกศิษย์ของลู่โจวทั้งหลายจึงคิดว่านี่คือการดูหมิ่นของซู่จินฉาน
ถึงแม้ว่าจะรู้เหตุผลทุกอย่างแต่ลู่โจวก็ไม่ได้ห้ามปรามลูกศิษย์ของเขาเลย
เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป ในตอนนั้นเองความต่างของพลังยุทธ์ระหว่างพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ซู่จินฉานเป็นฝ่ายที่เริ่มโจมตีด้วนมู่เฉิงด้วยสุดยอดพลังฝ่ามือของเขาก่อน ในตอนนั้นด้วนมู่เฉิงได้กระเด็นไปหาฝางซงที่กำลังยืนดูอยู่
ตู้ม!
แรงกระแทกได้ทำให้ฝางซงกระเด็นถอยหลังไปหลายกล้าวด้วยกัน “ศิษย์พี่สาม ท่านหยุดซะเถอะ! ” ฝางซงพยายามห้ามปรามด้วนมู่เฉิง
เมื่อมาถึงตอนนี้ด้วนมู่เฉิงก็ตระหนักได้แล้วว่าช่องว่างระหว่างวรยุทธ์ที่ตัวเขามีกับซู่จินฉานมันแตกต่างกันขนาดไหน ตัวเขาไม่สามารถใช้พลังใจในการจัดการกับศัตรูคนนี้ได้
หมิงซี่หยินเองกระโดดลงไปที่ใจกลางห้องโถงใหญ่อีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างสองยอดฝีมือได้ทำให้การต่อสู้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะดุเดือดมากขนาดไหนแต่เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับศาลาปีศาจลอยฟ้าพวกเขาทั้งหมดจึงต้องต่างควบคุมพลังกันให้ดี
เช่นเดียวกับด้วนมู่เฉิง ความทุกข์ทรมานที่จีเทียนเด๋ามอบให้หมิงซี่หยินหลายปีทำให้ตัวเขามีฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นผู้ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้กลับเป็นถึงยอดฝีมือระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวถึง 4 กลีบด้วยกัน
การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ซู่จินฉานสนุกจนทำให้ลืมตัวตนของตัวเองไป ภายใต้การใช้พลังร่างอวตารดอกบัวสี่กลีบแห่งร้อยวิถีในตอนนั้นซู่จินฉานก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ข้าเข้าใจแล้ว จะต้องทำให้จิตใจว่างเปล่าอย่างงั้นสินะ! ” หลังจากที่คิดได้ซู่จินฉานก็ได้ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งจี้ไปที่จุดตันเถียนของตัวเองก่อนที่จะทำให้จิตใจว่างเปล่าไป การเคลื่อนไหวแบบนี้เรียกว่าธยานมุทรา มันเป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งที่สุดที่ถูกสอนในวิถีแห่งเซ็น
[หมายเหตุ: ธยานมุทราคือการทำสมาธิรูปแบบหนึ่ง]
ทันทีที่พลังปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเองคลื่นพลังมหาศาลที่เคยล้อมรอบตัวก็ได้ทำให้หมิงซี่หยินกระเด็นกลับไป
“ศิษย์พี่! ” หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นรู้สึกกังวล
ผลลัพธ์ที่ตามมาได้ทำให้โจวจี้เฟิงและฝางซงที่ดูอยู่รู้สึกกลัวเช่นกัน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายคนนี้เป็นเพียงแค่รองเจ้าสำนักของวิหารปีศาจ ซู่จินฉานแข็งแกร่งเกินไป ในเวลาเดียวกันนั้นเองทั้งสองคนก็ได้รู้แล้วว่าทำไมวิหารปีศาจจึงกลายเป็นสำนักที่แสนน่ากลัวผู้ชั่วร้ายไปได้โดยใช้เวลาเพียง 3 ปีสั้นๆ แบบนี้
การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไป แต่ถึงแบบนั้นซู่จินฉานก็ไม่ได้ถอนพลังร่างอวตารของเขาไป และในตอนนี้เองตัวเขาก็ยังใช้การเคลื่อนไหวแบบธยานมุทราอีกด้วย ซู่จินฉานที่รู้สึกพึงพอใจในตัวเองมากได้เงยหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ด้วนมู่เฉิง เจ้าน่ะคงจะพอใจกับผลการต่อสู้แล้วสินะ? “
“…”
ห้องโถงใหญ่ยังคงเงียบต่อไป ไม่มีใครสักคนที่ตอบคำถามเมื่อครู่นี้
“เจ้าจะเอาคำตอบไปโอ้อวดกับใครกัน? เจ้าน่ะเป็นถึงกับผู้มีวรยุทธ์ระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ และยังมีพลังร่างอวตารดอกบัวถึง 4 กลีบแต่กับภาคภูมิใจกับการเอาชนะพวกเราแบบนี้! ” หยวนเอ๋อพูดต่อว่าออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่ของเจ้าน่ะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ หรอกนะ พวกเขาทั้งสองสามารถบังคับให้ข้าใช้ธยานมุทราออกมาได้ ข้าน่ะยอมรับในความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองคนจริงๆ ได้โปรดให้อภัยที่ข้าล่วงเกินด้วย”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกโกรธน้อยลงเลย “ถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองยังอยู่แล้วล่ะก็ เจ้าน่ะคงไม่ได้พูดจาอวดดีแบบนี้แน่ แม้ว่าเจ้าจะมีพลังอวตารดอกบัวถึง 6 ดอกเจ้าก็คงไม่อาจที่จะต้านทานพวกเขาได้! ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างมีอารมณ์
ซู่จินฉานรู้ดีว่านั่นเป็นคำพูดที่ช่วยทำให้พวกศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ขายหน้า แต่เพียงเพราะคำพูดเท่านั้นไม่อาจทำให้ตัวเขาใส่ใจอะไรได้
ในตอนนั้นเองลู่โจวที่ทนเงียบอยู่นานก็ได้เอ่ยปากขึ้น “ซูจินฉาน! ” ในตอนนั้นเองเสียงอันแผ่วเบาของลู่โจวได้ทำให้ทุกๆ คนที่อยู่ตรงนั้นหันมาสนใจตัวเขา “เจ้าน่ะใช้พลังธยานมุทราได้ชาญฉลาดจริงๆ “
“ข้าขอบคุณท่านผู้อาวุโสสำหรับคำชมเชย ถ้าหากเป็นไปได้ข้าก็อยากที่จะฝึกฝนการต่อสู้กับท่านผู้อาวุโสจีดูบ้าง”
คำพูดนี้เองทำให้ด้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, หยวนเอ๋อ, โจวจี้เฟิงและฝางซงหันกลับมามองที่ลู่โจว
ในตอนนั้นเองชาวยุทธ์ชุดดำทั้งสี่ที่ติดตามซู่จินฉานมาด้วยต่างก็รู้สึกตกใจเช่นกัน คำพูดก่อนหน้านี้ของเขาไม่ได้อยู่ในแผนการเลยแม้แต่น้อย! แม้แต่ยอดฝีมือที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ และ 8 กลีบเองก็ยังไม่กล้าที่จะพูดแบบนี้เช่นกัน ผู้ติดตามทั้งหมดต่างก็สงสัยว่ารองเจ้าสำนักมีจุดประสงค์อะไรกันที่ทำให้ตัวเขาพูดแบบนี้ แค่การเอาชนะด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินได้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งได้แล้ว แล้วทำไมเขาถึงได้เคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นแบบนี้ล่ะ?
ดวงตาของลู่โจวเองยังไร้อารมณ์เช่นเดิม เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับคำร้องขอเลย
ที่ใจกลางห้องโถงเอง ธยานมุทรายังคงส่องสว่างออกมาจากพลังร่างอวตาร พลังที่เปล่งออกมาได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของซู่จินฉาน ดูเหมือนว่าเขาในตอนนี้กำลังท้าทายให้ลู่โจวได้ลงไปต่อสู้
ซู่จินฉานที่กำลังได้ใจก็ได้ขึ้นเสียงก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป พลังธยานมุทราของข้าสามารถป้องกันสุดยอดเคล็ดวิชาได้! ถ้าหากท่านผู้อาวุโสเอาชนะข้าได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าก็จะยอมแพ้แต่โดยดี! ” น้ำเสียงของซู่จินฉานเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความหยิ่งผยอง
ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ตัวเขาค่อยๆ จ้องมองซู่จินฉาน “ศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะไม่ได้ทรงพลังเหมือนกับที่เจ้าเห็นอีกต่อไป…” น้ำเสียงที่ลู่โจวพูดขึ้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น “…แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เศษเดนอย่างเจ้าจะกล้ามาทำตัวโอ้อวดแบบนี้! “
เมื่อพูดเสร็จลู่โจวก็ได้เหยียดแขนของตัวเองออกไปก่อนที่จะกางฝ่ามือขึ้น ที่มืออีกข้างของเขาได้ซ่อนการ์ดใบหนึ่งเอาไว้ มันเป็นการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตนั่นเอง ในตอนนั้นลู่โจวก็เริ่มหมุนวนฝ่ามือเพื่อรวบพลัง แสงสว่างที่มาจากฝ่ามือของเขาได้บดบังแสงจากการใช้การ์ดใบนั้น และเมื่อการใช้งานเสร็จสิ้นในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้สะบัดแขนเสื้อเบาๆ
ในตอนนั้นเองมีฝ่ามือฝ่ามือหนึ่งได้ลอยเข้าใส่ซู่จินฉาน ฝ่ามืออันนั้นมันดูใหญ่ยักษ์จนเกินไป
“สุดยอดฝ่ามือไร้ปรานี? ” ซู่จินฉานที่เห็นฝ่ามือได้พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว ในตอนนี้ธยานมุทราที่ตัวเขามีเป็นเพียงพลังเล็กๆ น้อยๆ เมื่อต้องต่อการกับสุดยอดพลังแบบนี้
“รองเจ้าสำนัก! ” ชายทั้งสี่ที่ติดตามมาด้วยต่างตะโกนออกมาพร้อมๆ กัน
‘พลังที่ไม่อาจพรรณนาได้’ ทำให้ทุกๆ คนที่อยู่ตรงนี้ต่างรู้สึกตกใจกลัว!
ฝ่ามือที่โจมตีออกมาเป็นเหมือนกับฝ่ามือพระพุทธองค์ที่ใช้จับเจ้าแห่งวานร ไม่มีทางเลยที่ซู่จินฉานจะสามารถหนีไปได้
พรึ๊บ!
ในพริบตาเดียวสุดยอดฝ่ามือไร้ปรานีก็ได้กลืนกินพลังธยานมุทราเอาไว้ได้ ซูจินฉานที่เห็นแบบนั้นได้เบิกตากว้างก่อนที่จะใช้แขนทั้งสองข้างใช้ความสามารถธยานมุทราอีกครั้ง ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตาร 4 กลีบดอกบัวก็ได้ระเบิดหายไป
แม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ฝ่ามือของลู่โจวก็ยังคงกดดันไปที่ซู่จินฉานได้อยู่ดี พลังอันมหาศาลได้กลืนกินพลังของซู่จินฉานไป จากนั้นเองของฝ่ามือก็ได้เข้าปะทะเข้ากับหน้าอกของซูจินฉาน ตัวเขาที่ถูกการโจมตีเข้าไปอย่างจังได้กระเด็นออกไปที่ด้านนอกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ตู้ม!
ทุกๆ คนที่เห็นการโจมตีต่างก็รู้สึกประหลาดใจในความแข็งแกร่งนี้ ถึงแม้ว่าการโจมตีของปรมาจารย์มหาวายร้ายจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนแต่ซูจินฉานก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้
เมื่อซูจินฉานถูกซัดกระเด็นไปที่ลานศาลา ตัวเขาก็รีบพลิกกลับก่อนที่จะพยายามยืนขึ้นด้วยสองเท้าที่มี ในตอนนั้นพื้นหินทั้งหมดได้ถูกทำลายไปด้วยพลังฝ่ามือ!
ซู่จินฉานค่อยๆ โซเซยืนขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว