My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 530 บนท้องฟ้ายามราตรี
ยู่เฉิงไห่มองดูกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ:ยู่เฉิงไห่ ยู่ฉางตง ต้วนมู่เฉิง หมิงซี่หยิน จ้าวยู่ ยี่เทียนซิน สีวู่หยา ซู่ฮ่องกง ซีหยวนเอ๋อ หอยสังข์ สีวู่หยาได้วาดวงกลมทับชื่อของทุกคนเอาไว้ เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดบทกวีขึ้น: ดวงจันทร์สุกสกาวสว่างไสวอยู่เหนือท้องทะเล พวกเราต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขซึ่งกันและกัน
“ข้าไม่เคยสังเกตเห็นเรื่องนี้มาก่อนเลย!”ยู่เฉิงไห่รู้สึกตกใจกับความเชื่อมโยงที่ถูกเปิดเผย
“นี่เป็นเหตุผลที่ข้าสงสัยว่าท่านอาจารย์ต้องการรับศิษย์ทั้งสิบตั้งแต่แรกเริ่ม”
“ช้าก่อน”ยู่เฉิงไห่ยกมือขึ้นมา “ถ้าหากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง แล้วทำไมหอยสังข์ถึงไม่ได้มีชื่อในบทกวีล่ะ”
สีวู่หยาตอบกลับมา“ข้าเคยค้นหาความจริงเรื่องนี้มาก่อน ฮั๊วจงหยางเป็นคนบอกข้าเองว่าสาวน้อยคนนี้ไร้เดียงสา นางไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง”
ดวงตาของยู่เฉิงไห่เป็นประกายตัวเขาพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เป็นไปได้ไหมว่า…สาวน้อยจะเป็น…ลูกนอกสมรสของท่านอาจารย์ บางทีนางอาจจะซ่อนชื่อจริงเอาไว้เพื่อไม่ให้พวกเรารู้ถึงอดีตที่น่าสะอิดสะเอียนของเขา?”
สีวู่หยาที่ได้ยินเรื่องนึ้เกือบจะสำลักออกมา
ยู่เฉิงไห่ที่เห็นแบบนั้นพูดต่อ“อย่าได้ตกใจไปเลย ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น”
สีวู่หยารู้สึกโชคดีที่อาจารย์ไม่ได้อยู่ตรงนี้ถ้าหากผู้เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ ยู่เฉิงไห่จะต้องถูกทรมานจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแน่
การนินทาลับหลังผู้เป็นอาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่สีวู่หยาชอบทำเท่าไหร่
“ข้าเคยได้อ่านตำราโบราณมากมายหลายเล่มมาแต่ข้าก็ไม่เคยพบกับบทกวีของท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นตำราประวัติศาสตร์รวมไปถึงตำราวรรณกรรมที่มีข้าก็ไม่เคยพบเห็นบทกวีนี่ และด้วยฝีมือการแต่งบทกวีที่ท่านอาจารย์มี ข้าไม่คิดว่าเขาจะคิดโคลงของบทกวีออกซะด้วยซ้ำ การที่ท่านอาจารย์จะเขียนบทกวีที่งดงามออกมาได้คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก” สีวู่หยาวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดออกมา
ยู่เฉิงไห่เอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดขึ้น“โลกใบนี้กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ ในตอนที่ท่านอาจารย์ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ในตอนนั้นเขาก็ได้ท่องไปทั่วมณฑลทั้งเก้าและท้องทะเลทั้งสี่ เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะได้พบกับเหตุการณ์และได้ยินบทกวีที่พวกเราไม่เคยได้ฟังมาก่อน สิ่งที่พวกเรารู้ไม่ใช่ทุกอย่างในโลกใบนี้”
สีวู่หยาพยักหน้าสิ่งที่ยู่เฉิงไห่พูดมีเหตุผล
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้าตอนนี้พวกเราคืบหน้ามามากแล้ว พวกเรามาคุยกันถึงเรื่องงานกันต่อเถอะ…” ยู่เฉิงไห่ไม่ได้สนใจอะไรบทกวีนี้ ตัวเขาเลือกที่จะเปิดแผนที่ของมณฑลยู่แทน
สีวู่หยาได้สลัดความคิดเกี่ยวกับบทกวีทิ้งไปตัวเขาได้หันไปให้ความสนใจกับแผนที่แทน “ครึ่งปี…พวกเราควรจะต้องรีบลงมือ ข้าคิดว่าคืนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดของพวกเรา”
คำพูดของสีวู่หยาทำให้ยู่เฉิงไห่ตกตะลึง
ยู่เฉิงไห่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นคืนนี้“พวกเราไม่รีบร้อนไปอย่างงั้นเหรอ”
“พวกเราควรจะลงมือโจมตีในตอนที่ศัตรูไม่ได้ตั้งตัวมากที่สุด”
“ดี!”ยู่เฉิงไห่ตบไหล่ของสีวู่หยาด้วยความรุนแรง “นี่สิเป็นคำพูดที่ข้าอยากจะฟังจากเจ้า ศิษย์น้องผู้ฉลาดหลักแหลมของข้า!”
…
ภายในห้องแห่งหนึ่งณ คฤหาสน์แม่ทัพของมณฑลยู่
มีหญิงสาวที่ดูกล้าหาญคนหนึ่งกำลังสวมใส่ชุดเกราอยู่ที่หน้ากระจกผมของนางถูกมัดม้วน แม้แต่ชุดเกราะและดาบที่มีก็ยังไม่อาจบดบังใบหน้าที่งดงามของนางได้
“แม่ทัพจี้ท่านดูแข็งแกร่งราวกับชายหนุ่ม .. ในตอนนี้ความเป็นอยู่ของมณฑลยู่ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว” ผู้ที่อยู่ข้างๆ นางพยายามพูดประจบประแจง
หญิงสาวคนนี้คือแม่ทัพหญิงเพียงคนเดียวจากแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดนางก็คือจี้ชิงชิง
จี้ชิงชิงได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ“เจ้าคิดว่ามณฑลยู่จะป้องกันศัตรูได้จริงๆ เหรอ”
รองแม่ทัพที่ได้ฟังแบบนั้นรีบคุกเข่า“ท่านแม่ทัพ ท่านคือผู้นำของพวกเรา ได้โปรดเข้มแข็งไว้ด้วย!”
“ไร้สาระ”จี้ชิงชิงขมวดคิ้วก่อนที่จะวางมือลงบนดาบ “รองแม่ทัพสี่ในแปดของข้าถูกจัดการตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้น สำนักอเวจีในตอนนี้ก็เป็นดั่งดวงตะวันในตอนเที่ยง ข้าตัวคนเดียวจะไปต่อกรอะไรกับสำนักอเวจีได้”
“เอ่อ…”รองแม่ทัพอึกอัก “ประ…ประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ชูเซียวซานได้นำสาวกกว่า 1,000 คนมาสมทบที่นี่แล้ว ด้วยกำลังพลที่เพิ่มมากขึ้นมันจะต้องช่วยท่านแม่ทัพได้แน่”
“พอแค่นั้นแหละ”จี้ชิงชิงโบกมือของนาง นางไม่ต้องการจะพูดคุยหารือเรื่องนี้อีก
…
ตกดึก
ที่ประตูเมืองทางทิศใต้
รถม้าสีดำมืดขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏตัวให้กับทุกคนได้เห็น
เมืองมณฑลยู่ยังคงสงบนิ่ง
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านบนของประตูเมืองมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“นั่นมันอะไรกัน”
“รถม้าลอยฟ้า”
ค่ำคืนนี้มันมืดมิดจนเกินไปและเพราะแบบนั้นจึงทำให้พวกเขามีวิสัยทัศน์ไม่มากนัก ทุกคนต่างก็เบิกตากว้างเพื่อที่จะจ้องมองอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่
ทันใดนั้นเองกระบี่เล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากรถม้ากระบี่เล่มนั้นได้ส่องแสงเจิดจ้าจางๆ ไม่นานนักแสงที่มีก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น มันได้พุ่งเข้าหาเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มันกำลังลอยลงมา แสงพลังที่อัดแน่นก็ได้พุ่งตามมาด้วย
นี่คือวิชากระบี่อันเลื่องชื่อมันคือเคล็ดวิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืด วิชาที่ยู่เฉิงไห่ใช้สร้างชื่อนั่นเอง
“แย่แน่!สำนักอเวจีอยู่นี่แล้ว!”
ตู๊ม!ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เหล่าผู้เฝ้ายามไม่มีแม้แต่เวลาจะจุดไฟสัญญาณ
วิชากระบี่อันเลื่องชื่อได้ฝ่าฟันทุกอย่างจนทะลวงผ่านประตูเมืองด้านทิศตะวันตกได้
ทันทีที่ประตูเมืองถูกเปิดสาวกสำนักอเวจีกว่าหลายหมื่นคนก็เริ่มบุกเข้ามาในเมือง เสียงโห่ร้องของเหล่าสาวกดังก้องไปทั่วเมือง
ที่รถม้าลอยฟ้ายู่เฉิงไห่ในตอนนี้กำลังยืนอยู่บนนั้น ตัวเขากำลังสังเกตการณ์การต่อสู้ที่อยู่ในเมืองด้านล่าง
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมเจ้าคิดว่ายังไง”
“วิชากระบี่ของท่านแข็งแกร่งจริงๆมันแข็งแกร่งจนทำให้ข้าตกใจเลยล่ะ” สีวู่หยามองไปที่วิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดอย่างตกตะลึง
ผู้ฝึกยุทธจากสำนักอเวจีทั้งหลายได้หลั่งไหลเข้าสู่มณฑลยู่อย่างรวดเร็วเมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธพบกับทหารรักษาการณ์ ทุกคนก็ลงมือสังหารเหล่าทหารยามในทันที
รถม้าลอยฟ้ากำลังเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างช้าๆทุกที่ที่รถม้าลอยฟ้าบินผ่านมันได้แหวกหมู่เมฆทั้งหมดที่เคยเรียงตัวให้แยกออกจากกัน
ณด้านบนประตูเมืองทางทิศใต้ มีใครคนหนึ่งเอามือกอดอกอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ชายคนนั้นกำลังเหลือบมองลงมา ตัวเขาเหลือบมองไปทางท้องฟ้าที่อยู่ทางทิศตะวันตก ชายผู้สังเกตการณ์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างเป็นวิธีการใช้กระบี่ที่หยาบกร้านซะจริง ช่างน่าเบื่อและดูโอ้อวด เพลงกระบี่นั่นไม่ได้รุนแรงอะไรเลย เพลงกระบี่ที่มีดีแค่รูปลักษณ์สินะ”
ชายคนนั้นยังคงเฝ้ามองการต่อสู้ต่อที่ชายคนนี้ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้นั้นเป็นเพราะว่าทหารรักษาการณ์ทั้งหลายอ่อนแอจนเกินไป มันอ่อนแอจนน่าเบื่อสำหรับเขา ชายคนนี้ไม่อยากที่จะเสียเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับทหารรักษาการณ์ทั่วไปได้
ครู่ต่อมาชายคนนั้นก็เหลือบเห็นผู้ฝึกยุทธกว่า1,000 คน ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดกำลังบินมากันเป็นกลุ่ม เป็นเพราะชายผู้สังเกตการณ์สวมชุดคลุมสีเขียวและอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน และเพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นชายผู้ลึกลับได้
“ชู่วว”หัวหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธยกมือขึ้น
“ท่านประมุขพวกเราจะทำอะไรต่อ”
“ตอนนี้พวกเราหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้แล้วพวกเราจะอ้อมออกจากมณฑลยู่ก่อนที่จะลอบโจมตีมณฑลจิงแทน…”
ทุกคนต่างพยักหน้า
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่ายู่เฉิงไห่จะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้…เป็นความคิดที่ดีแล้วที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเขา”
ในตอนนี้ยอดฝีมือแห่งสำนักอเวจีบางส่วนถูกส่งไปประจำการอยู่ที่มณฑลเหลียงเพื่อปกป้องเมืองจากชนเผ่าอื่น
ยู่เฉิงไห่และคนที่เหลือเดิมทีมีหน้าที่ปกป้องมณฑลจิงด้วยตัวเองแต่ในตอนนี้สำนักอเวจีเลือกที่จะเปิดการโจมตีใหญ่ขึ้น เป็นธรรมดาที่มณฑลจิงจะไร้ซึ่งการป้องกัน
“จีเทียนเด๋าได้ทำลายสถานศึกษาไท่ชูของพวกเราไปแล้วข้าจะต้องชำระแค้นให้ได้”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งดังขึ้นมันเป็นเสียงที่ดังมาจากทางด้านบน
“ข้าต้องขอโทษด้วย”
“นั่นใครกัน!”ประมุขคนใหม่เซียวซานสั่นไปทั้งตัว เขารีบเงยหน้ามองชายผู้เป็นเจ้าของเสียง ชายคนนั้นเป็นผู้ใช้ดาบชุดเขียว ชายผู้ใช้ดาบกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี
ชิ๊ง!
สิ้นสุดเสียงขอโทษดาบสีแดงจางๆก็ได้พุ่งออกจากด้านหลังชายผู้ใช้ดาบ ดาบได้แยกออกเป็นสองส่วนก่อนที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น…มันเพิ่มจำนวนจนทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาบ มันเป็นดาบพลังงานที่ถูกสร้างขึ้นมานั่นเอง
ซู่วว!
พลังอวตารปรากฏตัว!พลังอวตารที่ไร้ดอกบัวทองคำได้พุ่งเข้าหาทุกคนพร้อมกับดาบพลังงานนับพันเล่ม
พรึ๊บ!พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ดาบพลังงานได้เจาะทะลุทรวงอกของเหล่าสาวกสถานศึกษาไท่ชูไปอย่างง่ายดายเหล่าสาวกไม่มีโอกาสแม้แต่จะป้องกันตัวเอง
เซียวซานที่เห็นแบบนั้นรีบเรียกพลังอวตารของตัวเองออกมาตัวเขาบินขึ้นสูงเพื่อที่สกัดกั้นดาบพลังงานทั้งหลายเอาไว้
ทันทีที่เซียวซานบินสูงในตอนนั้นเองรอยยิ้มจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยู่ฉางตง ยู่ฉางตงได้ปรับวิธีการจับดาบยืนยาวก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปทางด้านหน้า
เกิดการเคลื่อนไหวเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว
ที่รอบดาบยืนยาวถูกล้อมรอบไปด้วยกลีบดอกบัวกว่าห้ากลีบ
ก่อนที่เซียนซานจะตอบสนองได้ทันกลีบดอกบัวทั้งหมดก็ได้เคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว ดาบยืนยาวพร้อมกลีบดอกบัวสามารถฟันทะลุการป้องกันที่เซียวซานมีได้
ดาบยืนยาวกับกลีบดอกบัวได้แทงทะลุไปที่จุดพลังลมปราณที่เซียวซานมี
เซียวซานที่ถูกแทงรู้สึกหนาวไปทั่วร่างหัวใจของเขากำลังจะหยุดเต้น สิ่งที่เซียวซานมองเห็นในตอนนี้ก็คือภาพที่สาวกทุกคนกำลังถูกดาบพลังงานเข่นฆ่า “ข้าจะพาเจ้าไปกับข้าด้วย!” ทันทีที่พูดจบเซียวซานก็ได้โคจรพลังลมปราณเฮือกสุดท้ายเพื่อระเบิดจุดพลังลมปราณ
ตู๊ม!
ยู่ฉางตงสัมผัสได้ถึงแรงระเบิดตัวเขารู้สึกถึงคลื่นพลังงานที่กำลังถาโถมเข้าใส่ ยู่ฉางตงที่สัมผัสได้แบบนั้นได้ใช้ดาบยืนยาวฟันคลื่นพลังงาน ยู่ฉางตงเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังดาบ การเคลื่อนไหวของยู่ฉางตงไม่มีอะไรที่สูญเปล่าไป ตัวเขาเคลื่อนไหวดุจดั่งสายลม พื้นที่รอบตัวกว่าสองเมตรมันเต็มไปด้วยเงาของดาบยืนยาว
…
บนรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจี
ยู่เฉิงไห่หันไปมองทางประตูเมืองทางตะวันใต้ในเวลากลางคืนแบบนี้ชาวสำนักอเวจีไม่อาจที่จะมองเห็นรูปลักษณ์หรือหน้าตาของใครที่อยู่ในระยะไกลได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยากที่จะพลาดการมองเห็นพลังอวตารขนาดใหญ่
“นั่นมันพลังอวตาร60 ฟุตไร้ดอกบัว” ยู่เฉิงไห่ตกใจ ตัวเขาไม่ได้ตกใจกับความสูงใหญ่ที่พลังอวตารมี แต่ยู่เฉิงไห่ตกใจกับความเร็วในการฝึกฝนตัวเองใหม่หลังจากที่แยกดอกบัวทองคำมากกว่า การที่แยกดอกบัวทองคำและฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบได้มันช่างเป็นความเร็วที่น่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ศิษย์พี่ใหญ่นั่นจะต้องเป็นดาบพลังงานไม่ผิดแน่ ยอดฝีมือคนนั้นคงจะเป็นผู้ใช้ดาบที่คอยช่วยเหลือพวกเรา” สีวู่หยาเองก็เห็นเช่นกัน