My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 533 ภาวนาเพื่อสันติภาพโลก
หลิวจือองค์รัชทายาทคุกเข่าลงก่อนที่จะพูดเสียงสั่น“ตะ…แต่ ท่านเป็นคนเดียวที่จะจัดการเรื่องในครั้งนี้ได้ท่านปู่ ถ้าหากท่านไม่ทำอะไร พวกเราจะต้องถูกโค่นล้มแน่!” ในขณะที่หลิวจือกำลังพูด น้ำตาที่ไหลมาจากดวงตาของเขาก็หยดลงสู่พื้น
หลิวเก้อเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ยืนยาวมานานตัวเขามองหลิวจือออกอย่างง่ายดาย “เจ้าก็ไปขอความช่วยเหลือจากพ่อของเจ้าซะสิ”
ราชสำนักเองก็มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเองเนื่องจากหลิวเก้อเกษียณตัวเองและมีการประกาศข่าวว่าตัวเขาเสียชีวิตไปแล้ว ราชสำนักเองจะได้รับความไว้วางใจเหมือนเดิมได้ยังไงถ้าหากประกาศข่าวว่าหลิวเก้อยังมีชีวิตอยู่
เสียงของหลิวจือดูแผ่วเบา“เสด็จพ่ออยู่อย่างสันโดษ เขาไม่มีเวลาที่จะจัดการกับเรื่องนี้”
หลิวเก้อดูสับสน“ข้าได้ยินมาว่าพ่อเจ้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้เมื่อนานมาแล้ว แล้วทำไมเขาถึงต้องเก็บตัวฝึกฝนด้วย”
“เสด็จพ่อกำลังฝึกตัวเองเพื่อพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ”หลิวจือตอบกลับ
หลิวเก้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า‘เก้ากลีบ’ ดวงตาของเขาเป็นประกายไปด้วยความโกรธ
ตู๊ม!
หลิวเก้ากระแทกมือลงบนโต๊ะหิน
หลิวจือตกใจมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว“ท่านปู่! ได้โปรดใจเย็นลงก่อน!”
“ข้าพูดไปหลายครั้งแล้วแท้ๆว่าไม่ให้ใครในราชสำนักฝึกฝนตัวเองเพื่อพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…หลิวกู่ เจ้าโง่นั่น! เรียกเขามาที่นี่ซะ” ใบหน้าของหลิวเก้อซีดเซียว มันซีดเซียวก็เพราะความโกรธ
หลิวจือไม่คิดว่าปู่ของตัวเองจะโกรธได้ถึงเพียงนี้ตัวเขารู้สึกมั่นใจน้อยลงมากขึ้นทุกที แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามหลิวจือก็ไม่มีทางเลือกอื่น “ท่านปู่…ท่านปู่อยู่ในห้องลับนี่นานเกินไปแล้ว มีหลายอย่างที่ท่านไม่ได้รู้จากโลกภาพนอก ในตอนนี้โลกแห่งการฝึกฝนได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว…มันเปลี่ยนไปก็เพราะมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ในโลก!”
หลิวเก้าขมวดคิ้วอีกครั้งตัวเขามองไปที่หลิวจืออย่างตื่นตกใจ “ลุกขึ้น และอธิบายต่อซะ”
“ครับ”หลิวจือลุกขึ้นมาด้วยความเคารพ หลังจากนั้นตัวเขาก็เดินไปยังด้านข้างของหลิวเก้อ
“เจ้าเคยเห็นมันกับตารึเปล่า”หลิวเก้าถาม
“ข้าไม่เคยเห็น…แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเจ็ดสำนักใหญ่ได้ล้อมศาลาปีศาจลอยฟ้าเอาไว้ แต่พวกเขาทั้งหมดถูกจีเทียนเด๋า ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจัดการจนหมด ผู้ฝึกยุทธทั่วโลกต่างก็รู้เรื่องนี้ดี” หลิวจือได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“จีเทียนเด๋าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ”สีหน้าของหลิวเก้าเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
“ครับท่านปู่” หลิวจือตอบกลับมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
หลิวเก้อไม่ได้ดูแปลกใจเลยแม้แต่น้อยตัวเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แทน “เป็นเขาไปได้ยังไง” น้ำเสียงของหลิวเก้อเต็มไปด้วยความสับสน
“ท่านรู้จักจีเทียนเด๋าอย่างงั้นเหรอ”
“รู้จักอย่างงั้นเหรอพวกเราสองคนในอดีตถือเป็นคนรู้จักเก่าแก่ก็ว่าได้” หลิวเก้อตอบกลับ “แต่น่าเสียดาย เส้นทางที่พวกเราเลือกเดินนั้นมันแตกต่างกัน จีเทียนเด๋าอุทิศตนให้กับการฝึกฝน ส่วนข้าอุทิศตนให้กับการบริหารบ้านเมือง พวกเราทั้งสองคนต้องเลือกเดินคนละทาง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้หลังจากที่ผ่านมาหลายปีแบบนี้”
หลิวจือพูดต่อ“ไม่เพียงแต่จีเทียนเด๋าจะกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่ในตอนนี้โลกแห่งการฝึกยุทธก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย”
“เปลี่ยน”
“ให้ข้าได้อธิบายอย่างละเอียดเถอะ”หลังจากนั้นหลิวจือก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่จีเทียนเด๋ากวาดล้างสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดด้วยพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของทฤษฎีการตัดดอกบัวทองคำ และสถานการณ์ล่าสุดของโลกให้กับหลิวเก้อ จักรพรรดิหย่งโชวได้ฟัง
ดวงตาของหลิวเก้อเบิกกว้างเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดในขณะที่ฟังเรื่องเล่าจนมาถึงส่วนท้าย หลิวเก้อก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป “นี่มันมากเกินไปแล้ว! ใครกันเป็นผู้เสนอวิธีการตัดดอกบัวทองคำแบบนี้”
“ทฤษฎีการตัดดอกบัวทองคำมันมาจากข่าวลือที่ถูกพูดถึงเมื่อเวลาผ่านไปข่าวลือที่มีก็เริ่มส่งต่อกันมากยิ่งขึ้น เมื่อมีผู้คนรอดจากการทดสอบมาได้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มตัดดอกบัวทองคำ แม้แต่…เสด็จพ่อเองก็ยังตัดดอกบัวทองคำและกำลังฟื้นฟูพลังวรยุทธอยู่”..
เปลวเพลิงแห่งความโกรธที่หลิวเก้อมีเริ่มโหมกระหน่ำมากยิ่งขึ้นแต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามตัวเขาไม่ใช่จักรพรรดิผู้ควบคุมดินแดนแห่งนี้แล้ว ชายชราที่ทิ้งเรื่องทางโลกไปนานจะไปออกความเห็นอะไรได้กัน กฎราชสำนักที่หลิวเก้อเคยตั้งไว้ถูกละเลย ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “แล้วมีเหตุการณ์อะไรแปลกประหลาดอีกรึเปล่า?”
“เหตุการณ์ประหลาด”หลิวจือดูงุนงง
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงสั่งห้ามไม่ให้ใครพยายามฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ”หลิวเก้อถามออกมาห้วนๆ
หลิวจือส่ายหัว
หลิวเก้อมองไปที่หลิวจือก่อนจะส่ายหัวเช่นกัน“ลืมมันไปซะเถอะ…สิ่งที่เจ้าต้องทำคือการบอกข้าว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก”
ทฤษฎีการตัดดอกบัวทองคำการปรากฏตัวของผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ และวิกฤตการณ์ที่ราชสำนักกำลังเจอ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างงั้นเหรอ
หลิวจือส่ายหัวอีกครั้ง
หลิวเก้อได้พูดออกมาอย่างจริงจัง“ข้าโชคดีได้พบกับสุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าก็ได้ฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ จากนั้นข้าก็ได้นำความสงบสุขมาสู่ดินแดนหยานแห่งนี้…จะบอกว่าข้าได้ทำตามขั้นตอนที่สุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นวางไว้ก็ได้”
หลิวจือยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม“ท่านปู่ ข้าไม่เข้าใจเลย สุดยอดฝีมือคนนั้นเชื่อถือได้อย่างงั้นเหรอ”
หลิวเก้อมองไปยังหลิวจือตัวเขาได้พูดออกมาอย่างฉุนเฉียว “สามหาว!”
“ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่ากันว่าเมื่อมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบปรากฏตัว เมื่อนั้นจะเกิดภัยพิบัติ แต่จีเทียนเด๋าก็ได้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมาสักพักแล้ว แต่ถึงแบบนั้นมันยังไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้น!”
กฎแห่งสวรรค์เป็นเหมือนกับวัฏจักรสวรรค์ต้องมีเหตุผลที่บอกว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบถือเป็นหายนะ ถ้าหากมีมนุษย์คนใดกล้ารุกล้ำกฎแห่งสวรรค์ไป มนุษย์ทั้งหลายก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่ได้ทำ
หลิวเก้อละสายตาจากผู้เป็นหลายชายของตัวเอง“ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะพิสูจน์พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบด้วยตาของตัวเอง”
หลิวจือดีใจที่ได้ยินแบบนั้น“ท่านปู่กำลังจะออกจากภูเขาแล้วสินะครับ”
หลิวเก้อขยับแขนก่อนที่จะเลื่อนแขนออกมาจากแขนเสื้อการเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างอะไรกับชายชราคนอื่น มันดูเชื่องช้าและดูกวดขัน เมื่อได้ลุกขึ้น หลิวจือก็เห็นได้ว่าหลังของหลิวเก้อนั้นค่อมลงเล็กน้อย หลิวเก้อที่ลุกขึ้นได้ถามออกมา “แล้วใครเป็นแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดในตอนนี้”
หลิวจือตอบกลับ“แม่ทัพชวนจิงหยวนผู้รักษาการณ์ประตูด่านเหนือ, แม่ทัพหวางเยว่ผู้รักษาการณ์ประตูด่านใต้, แม่ทัพฮันยู่หยวนผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันออก…แต่ในตอนนี้เขาเสียชีวิตในหมู่บ้านฤดูร้อนโดยฝีมือของยอดฝีมือแห่งลัทธิเต๋า, แม่ทัพจี้ชิงชิง และนอกจากนี้ก็ยังมีเซียงลี่ผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันตก แต่น่าเสียดายที่เขาได้พ่ายแพ้ให้กับศึกที่เกิดขึ้นในเมืองมณฑลเหลียง ปัจจุบันตำแหน่งของเขายังว่างอยู่ พวกเรายังมีแม่ทัพหม่าลู่ปิงผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันออกเฉียงใต้, แม่ทัพกู่ยี่หรานผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันออกเฉียงเหนือ, แม่ทัพชู่เฉิงผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันตกเฉียงเหนือ และแม่ทัพคนสุดท้าย แม่ทัพเหวินชูผู้รักษาการณ์ประตูด่านตะวันตกเฉียงใต้ แต่เขาได้เสียชีวิตในขณะที่ปกป้องมณฑลจิงเอาไว้”
เมื่อได้ยินชื่อของเหล่าแม่ทัพหลิวเก้อก็ได้พูดขึ้น“ฮันยู่หยวนชอบใช้แผนการสกปรก ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาจะต้องจบชีวิตลงแบบนั้น เหวินชูและเซียงลี่เป็นผู้ใหญ่และดูมุ่งมั่นในการทำหน้าที่มาโดยตลอด พวกเขาทั้งคู่โดนจัดการไปได้ยังไงกัน”
“มันเป็นฝีมือของศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้าสีวู่หยาเขาคนนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการวางแผน เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และแสนจะน่ารังเกียจ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นราชครูอยู่ที่ราชสำนัก และเพราะแบบนั้นทำให้หย่งหนิงเข้าข้างเขา สีวู่หยาได้ก่อตั้งสำนักแห่งความมืดจนมีเครือข่ายข้อมูลอันกว้างขวาง ชายคนนี้ได้ส่งสายลับไปทั่วทั้งดินแดน และเพราะแบบนั้นแม่ทัพเซียงและแม่ทัพเหวินจึงตกเป็นเหยื่อของแผนการอันเจ้าเล่ห์จากชายคนนี้”
หลิวเก้อส่ายหัว“ข้าประเมินเขาต่ำเกินไปจริงๆ จีเทียนเด๋าได้เลือกสาวกที่มีความสามารถซะจริง” จากนั้นหลิวเก้อก็ก้าวไปที่ด้านหน้า “ถ้าหากเป็นแบบนั้นให้กู่ยี่หรานกับชู่เฉิงไปกับข้า”
หลิวจือที่ได้ยินดังนั้นโค้งคำนับอย่างเร่งรีบ“ครับ ท่านปู่!”
เมื่อหลิวจือเดินออกไปจากห้องหลิวเก้อก็ได้แต่มองฝุ่นที่มุมห้องก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ข้าภาวนาให้โลกใบนี้สงบสุขมาโดยตลอด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นได้แค่เพียงความฝันซะแล้ว”
…
ในขณะเดียวกันณ ห้องลับของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวถูกล้อมรอบไปด้วยอักษรลึกลับดูเหมือนว่าเขาจะไร้สติ ไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง ลู่โจวไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงตัวเขาก็ไม่อยากให้สภาวะแบบนี้ต้องจบลง ความรู้สึกที่ได้รับจากสถานะนี้มันเป็นเหมือนกับความรู้สึกที่ได้ดื่มด่ำกับการนอนหลับสนิท
อักษรได้ปรากฏขึ้นในใจของลู่โจวตัวอักษรค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปก่อนที่จะเริ่มเรียบเรียงตัวเองเพื่อสร้างคำพูดหนึ่งขึ้นมา: ขั้นตอนแรกคือการเชื่อมต่อพลังกับจิตใจ และขั้นสุดท้ายก็คือเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ การหยั่งรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกอย่างเชื่อมถึงกัน เมื่อนั้นเส้นทางไปสู่บัลลังก์ก็จะปรากฏขึ้น
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งการได้ยินทุกสรรพสิ่ง
สติของลู่โจวเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยตัวเขาเคยเห็นคำพูดเหล่านี้เมื่อเปิดคัมภีร์มนุษย์ (เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรก) เป็นครั้งแรก แล้วทำไมมันถึงมีคำพูดพวกนี้ในคัมภีร์โลกาด้วย ลู่โจวไม่เข้าใจ
ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนอย่างคลุมเครือ
“ศิษย์น้องเล็กนี่เป็นวิธีที่เจ้าจะต้องทำ…แบบนั้นแหละ…ใช่แล้ว…”
…
นอกห้องโถงใหญ่
ซู่ฮ่องกงกำลังสาธิตการควบแน่นพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังงานอยู่
“ยิ่งดาบพลังงานที่ต้องการสร้างใหญ่มากแค่ไหนมันก็ยิ่งต้องใช้พลังลมปราณและการควบคุมที่มากขึ้นเท่านั้น เจ้าเพิ่งจะเพิ่มฝึกฝน ข้าว่าพวกเราควรจะฝึกเรื่องพื้นฐานก่อนจะดีกว่า เมื่อเจ้ามีพลังลมปราณที่มากพอจนฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นสัมผัสแห่งการควบคุมได้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะสร้างดาบพลังงานอันบริสุทธิ์ได้แน่”