My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 552 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ลู่โจวกวักมือเรียกหอยสังข์
ยี่เทียนซินมองไปที่สาวน้อยอย่างสงสัยที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะนางไม่เคยพบกับหอยสังข์มาก่อน
หอยสังข์เดินไปหายี่เทียนซินก่อนที่จะทักทายนาง“สวัสดีค่ะ ศิษย์พี่หก”
หยวนเอ๋อที่เห็นสีหน้าของยี่เทียนซินสับสนได้พูดอธิบายขึ้น“ศิษย์พี่ นี่ก็คือศิษย์น้องเล็กของพวกเรา ท่านอาจารย์เพิ่งจะรับนางเป็นศิษย์ได้ไม่นาน ข้าในตอนนี้น่ะไม่ใช่ศิษย์น้องเล็กอีกต่อไป…”
ยี่เทียนซินพยักหน้าให้“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ เจ้าก็คือศิษย์น้องคนใหม่ของพวกเรานี่เอง” นางได้เฝ้ามองดูหอยสังข์อย่างตั้งใจ ยี่เทียนซินรู้มาตลอดว่าอาจารย์เป็นผู้ที่มีเข้มงวดในการรับสาวก เป็นเพราะหอยสังข์ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นอาจารย์มาแล้ว นางเลยไม่สงสัยเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องมีความสามารถที่โดดเด่นแน่
“วันนี้ข้าคงต้องพอแค่นี้ก่อนศิษย์พี่หก ข้ายังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับท่านอีก”
“ได้เสมอ”
“งั้นพรุ่งนี้พวกเรามาเล่นด้วยกันนะศิษย์พี่”
ทั้งหยวนเอ๋อและหอยสังข์ต่างก็จับมือกันก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
‘คงต้องใช้เวลาอีกสักพักละนะกว่าที่จะบอกเรื่องของหอยสังข์กับยี่เทียนซินได้เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน’ ลู่โจวที่คิดแบบนั้นได้ถามออกมา “เจ้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ยี่เทียนซินไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังอะไรนางเลือกที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้กับลู่โจวฟัง ตั้งแต่ที่นางออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้า ตั้งแต่ที่นางฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บจนเดินทางไปยังดินแดนทางตอนเหนือ เรื่องที่ได้พบกับผู้ที่เป็นศิษย์พี่รองอย่างยู่ฉางตงก่อนที่จะเดินทางไปยังทิศตะวันตกและทิศใต้ และในที่สุดนางก็เดินทางไปถึงป่าที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์จนตกสู่เหวลึก ยี่เทียนซินได้พบกับเฉิงกวางที่นั่นและมุ่งมั่นฝึกฝนตัวเอง แม้ว่ายี่เทียนซินจะเล่าทุกอย่างอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อได้ฟังลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่าชีวิตที่ผ่านมาของนางไม่ใช่ชีวิตที่สวยหรูเลย
ลู่โจวตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเฉิงกวาง“เฉิงกวางมีอยู่จริงอย่างงั้นสินะ”
“ค่ะ!ข้าได้เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลึกไปในป่าที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์ ในตอนนั้นข้าคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอดซะแล้ว เป็นโชคดีของข้าที่ได้พบกับเฉิงกวางเข้า!” ยี่เทียนซินมักจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์อยู่เสมอ แต่เมื่อนางเล่าถึงสิ่งที่ได้เจอ นางดูเหมือนจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ ราวกับว่านางได้ลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เพิ่งจะได้รับมา
ยี่เทียนซินได้อธิบายถึงขนาดและรูปลักษณ์ของเฉิงกวางอย่างละเอียดนางอย่างบอกอีกว่าได้พบกับสัตว์ร้ายต่างๆ ที่หุบเหว ความยากลำบากที่ต้องเผชิญในขณะฝึกฝน และความสุขที่ได้รับเมื่อสามารถผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ได้
ลู่โจวที่ฟังเรื่องทั้งหมดลูบเคราของตัวเองตัวเขาพยักหน้า บางครั้งตัวเขาก็ตกใจกับคำพูดของยี่เทียนซิน
ครึ่งวันได้ผ่านไปชั่วพริบตา…
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของยี่เทียนซินลู่โจวก็ได้พูดกลับไป “ข้าไม่คิดเลยว่าเฉิงกวางจะมีอยู่จริง ดูเหมือนสิ่งที่บันทึกเอาไว้จะไม่ใช่ของปลอมสินะ”
ยี่เทียนซินพยักหน้าให้ก่อนที่จะตอบกลับ“น่าเสียดายที่เฉิงกวางไม่ต้องการออกจากป่า”
“การที่เฉิงกวางอยู่ในนั้นคงจะเป็นเรื่องดีกว่าด้วยขนาดตัวของมัน การที่สัตว์ร้ายขนาดมหึมาปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ ข้าคิดว่าคงจะต้องมีผู้คนรวมตัวกันเพื่อโจมตีมันแน่ การออกจากป่าก็เหมือนกับการหาเรื่องใส่ตัวซะเปล่าๆ”
“ท่านพูดถูกต้องทุกอย่างแล้วท่านอาจารย์”
“มีตำราได้บันทึกเอาไว้ผู้ใดที่สามารถขี่เฉิงกวางได้จะทำให้อายุขัยของคนคนนั้นเพิ่มขึ้นถึง 2,000 ปี…เจ้าคิดว่ายังไงกัน”
“ข้าเคยขี่เฉิงกวางมากว่าหลายครั้งแล้วข้าไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างเลย… มีเพียงแค่รูปร่างของมันที่ใหญ่กว่าสัตว์ขี่ทั่วไปก็เท่านั้น”
ตามที่คาดไว้เฉิงกวางคงจะไม่สามารถให้อายุขัยได้อย่างง่ายดายไว้ได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังแปลกอยู่ดี การที่เรื่องของเฉิงกวางถูกบันทึกไว้ในตำรานั่นก็หมายความว่ามีผู้รู้เรื่องเฉิงกวาง แล้วทำไมทุกคนถึงสงสัยถึงการมีอยู่ของมันล่ะ ดูเหมือนว่าป่าแสงจันทร์ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีมนุษย์เข้าไปสำรวจได้อย่างง่ายดายสินะ
เมื่อลู่โจวเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วตัวเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดออกมา “เจ้ายังไม่หายดี พักผ่อนให้เพียงพอซะ”
“ท่านอาจารย์…ราชสำนักท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงเพียงนี้…”
ก่อนที่นางจะพูดจบลู่โจวก็ได้ยกมือก่อนที่จะพูดแทรกออกมา “ข้าจำสิ่งที่ราชสำนักทำได้ดี” หลังจากพูดเสร็จตัวเขาก็เดินจากไป
ยี่เทียนซินโค้งคำนับให้นางได้แต่เฝ้ามองจากการจากไปของผู้เป็นอาจารย์ “ท่านอาจารย์ รักษาตัวด้วย”
…
ที่เชิงเขา
ยู่เฉิงไห่สังเกตเห็นร่องรอยของการต่อสู้ครั้งก่อนได้ตัวเขาตกใจและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “นี่ข้ามาช้าไปรึเปล่า”
ที่พื้นดินเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงมีเลือดกระเซ็นไปทั่ว บนพื้นมีหลุมที่มีรูปร่างคล้ายกับฝ่ามือ
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้วตัวเขายังคงตรวจสอบรอบตัวต่อไป ผ่านไปแค่ครู่เดียว ตัวเขาก็เดินไปยังตีนเขาได้ ยู่เฉิงไห่เดินตามเลือดที่สาดกระเซ็นต่อไป เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ตัวเขาก็เริ่มรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น“ศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นเหรอ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะไม่ยอมทิ้งศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแน่…” หมิงซี่หยินลากซากศพไปข้างหลังก่อนที่จะเดินเข้ามาหายู่เฉิงไห่
ยู่เฉิงไห่กระแอมก่อนจะยืดหลังตรงตัวเขาเหลือบมองไปที่ศพที่อยู่กับหมิงซี่หยิน “ศิษย์น้องสี่อย่างงั้นเหรอ เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่กัน?”..
หมิงซี่หยินตอบกลับมา“ข้าน่ะเหรอ นี่คือร่างของอดีตจักรพรรดิหลิวเก้อ ข้าก็แค่รู้สึกหงุดหงิดน่ะ ข้าที่ไม่สบอารมณ์ก็เลยได้ฆ่าเขาไป”
“…”เปลือกตาของยู่เฉิงไห่กระตุก ตัวเขาไม่รู้ว่าจะโต้ตอบกลับว่าอะไร
“ศิษย์พี่ใหญ่พวกเราไปกันเถอะ…ไปกับท่านอาจารย์บนภูเขากัน”
“ข้าก็แค่ผ่านทางมาข้าไม่ได้ต้องการจะขึ้นไป”
‘ผ่านทางมานี่คือข้ออ้างที่เขาใช้อย่างงั้นเหรอ…’ หมิงซี่หยินมองไปทางซ้ายและทางขวาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านน่ะมาสายไป ท่านอาจารย์ได้ออกมาจากการฝึกฝนแล้ว เขาออกมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ ตาแก่หลิวเก้อนั่นถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้วล่ะ!”
“…”
“นอกจากนี้ยังมีคนของเขาชู่เฉิงอยู่ที่นั่นด้วย! นี่ก็คือศพของเขาไงล่ะ น่าอนาถอะไรเช่นนี้! เขาถูกสังหารด้วยดาบ เอ่อศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงได้เหงื่อออกล่ะ”
“เป็นอย่างงั้นเองสินะข้าก็แค่ร้อนน่ะ”
“ร้อนแต่ผู้ที่มีฝึกยุทธมักจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง…”
“ข้าร้อนก็คือร้อน”ยู่เฉิงไห่ขึ้นเสียง
หมิงซี่หยินเกาหัวก่อนที่จะคลายมืออย่างช่วยไม่ได้“ท่านรู้อะไรไหม ท่านน่ะดูร้อนจริงๆ ด้วยแหละ”
ยู่เฉิงไห่พยายามเปลี่ยนเรื่อง“ศิษย์น้องสี่ ศิษย์น้องรองอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม”
ด้วยความแข็งแกร่งที่ยู่ฉางตงมีถ้าหากเข้าอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วย ทั้งชู่เฉิงและหลิวเก้อคงจะไม่อาจสร้างปัญหาได้มากขนาดนี้ นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีหวางซื่อเจียอยู่ด้วย
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมา“ศิษย์พี่รองอยู่ที่มณฑลยู่ไม่ใช่เหรอศิษย์พี่”
“มณฑลยู่”มีอะไรบางอย่างก่อกวนใจของยู่เฉิงไห่อยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ทำไมท่านไม่มาพบท่านอาจารย์บนภูเขา มาคุยกับเขาก่อนล่ะ ในเมื่อท่านก็อยู่ใกล้แค่นี้แล้ว”
“เอาไว้ข้าจะคิดดูอีกทีก็แล้วกัน”
“อืมศิษย์พี่ใหญ่ ข้าฝากไว้ให้ท่านคิดเลยละกัน ข้าจะต้องทำงานต่อแล้ว”
ยู่เฉิงไห่ยังคงนิ่งเงียบในขณะที่มองขึ้นไปบนศาลาปีศาจลอยฟ้าตัวเขายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เมื่อเห็นหวางซื่อเจียบินมาจากระยะไกล ยู่เฉิงไห่ก็ยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาเลือกที่จะโบกมือให้กับหวางซื่อเจียเพื่อส่งสัญญาณให้กับเขาขึ้นไปบนภูเขาทอง
หวางซื่อเจียที่บินมาก็ได้แต่ตกตะลึงร่องรอยการต่อสู้ที่อยู่แถวนี้มันเสียหายหนักจนเกินไป ในตอนที่หวางซื่อเจียต้องการจะพูดอะไรออกมา ในตอนนั้นเองตัวเขาก็สังเกตเห็นใบหน้าของยู่เฉิงไห่ที่ผิดแปลกไป เมื่อได้เห็นแบบนั้นหวางซื่อเจียก็ตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบก่อนที่จะขึ้นไปบนศาลาปีศาจลอยฟ้าแต่เพียงผู้เดียว
…
พระอาทิตย์ได้ตกดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
ณศาลาตะวันออก
ลู่โจวมองไปที่เมนูระบบ
ชื่อ:ลู่โจว
เผ่าพันธุ์:มนุษย์
วรยุทธ:ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์
แต้มบุญ:112,233
อวตาร:อวตารร้อยวิถี
อายุขัย:20,596 วัน
ของที่มี:การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตx1, การ์ดประกันชีวิตx62, การ์ดกรงผนึกกักขังx4, วิซซาร์ด, บี่เอี๊ยน, การ์ดรักษาฉุกเฉินx2, การ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่x1, การ์ดคลื่นพลังสายฟ้าx1, การ์ดปลอมแปลงx1, กระจกทองคำไท่ชู, การ์ดแปลงกายx4, การ์ดพลังชีวิตx49
อาวุธ:อาวุธนิรนาม, กระบี่ตัดชีวา, แส้หยกหางม้า
เคล็ดวิชา:เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
รางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ได้มาจากการทำสมาธิครั้งล่าสุดก็คือการเปิดใช้งานคัมภีร์เปิดโลกาหนึ่งในคัมภีร์ของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ส่วนรางวัลอื่นๆ เป็นเพียงรางวัลที่ยิบย่อยเท่านั้น
ลู่โจวได้ตรวจสอบราคาการ์ดวิเศษต่อไปเป็นอย่างที่คาดไว้ พวกมันทั้งหมดมีราคาเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตและการ์ดป้องกันไร้ที่ติถูกขายด้วยราคา10,000 แต้มบุญ แต่เมื่อพิจารณาถึงพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ลู่โจวก็ไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องใช้การ์ดทั้งสองใบนี้บ่อยๆ เมื่อได้คิดแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกดีมากขึ้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ลู่โจวจะไม่ยอมคิดถึงต้นทุนในเรื่องของราคาแต้มบุญแน่
‘แล้ว…การเพิ่มสิทธิ์ของระบบอยู่ที่ไหนกัน’ลู่โจวยังคงครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนี้ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“สวัสดีครับท่านอาจารย์”
“มีอะไรกัน”
“เจ้าเกาะหวางกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วครับศิษย์พี่ใหญ่มาได้ทันเวลาก่อนที่จะสังหารกู่ยี่หรานไป” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
“ข้ารู้แล้วแล้วเขาอยู่ไหนกันล่ะ”
“ข้าได้จัดเตรียมที่พักให้กับเจ้าเกาะหวางที่ศาลาทางใต้แล้วส่วนศิษย์พี่ใหญ่…ตอนนี้เขาอยู่ที่เชิงเขา…เขาไม่…เขาไม่กล้าขึ้นมาที่นี่ครับ” หมิงซี่หยินตอบกลับ