My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 56
ภายในศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถต้านทานฝีมือของซู่จินฉานได้ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากซู่จินฉานไม่ได้อวดอ้างฝีมือกับปรมาจารย์มหาวายร้าย ตัวของเขาก็คงจะไม่ต้องจบชีวิตแบบนี้
แต่ซู่จินฉานก็ไม่ได้ไม่รอบคอบซะทีเดียว ก่อนที่ลู่โจวจะซัดฝ่ามือใส่ตัวเขา ซู่จินฉานก็ได้ใช้พลังอะไรบางอย่างเพื่อรับมืออยู่ก่อนแล้ว
ลู่โจวในตอนนี้กำลังเหลือบมองแต้มบุญที่กำลังมีอยู่ ตัวเขาในตอนนี้มีแต้มบุญกว่า 2,600 แต้มอยู่ในระบบ
ลู่โจวรู้ดีว่าตัวของเขาไม่ได้โชคดีเท่าไหร่นัก ตัวเขาที่ทุ่มแต้มบุญไปกับการจับฉลากนำโชคครั้งล่าสุดได้ของตอบแทนกลับมาเพียงการ์ดพลังชีวิตเท่านั้น ตัวของลู่โจวคาดหวังเอาไว้ว่าจะได้รางวัลที่ดีกว่านี้
สิ่งที่ลู่โจวจะต้องทำในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนวรยุทธที่เคยมีให้กลับมาแข็งแกร่งให้ได้อีกครั้ ยังไงซะวรยุทธก็คือรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากที่คิดได้แบบนั้นแล้วลู่โจวก็ได้ใช้แต้มบุญซื้อการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตกลับมาอีกใบ ยังไงซะตัวเขาก็ไม่สามารถใช้แต้มบุญที่มีซื้อวรยุทธที่สูงกว่านี้ได้
“ดูเหมือนว่าการทำภารกิจให้สำเร็จจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่จะหาแต้มบุญได้ เหล่าลูกศิษย์ทั้งหมดจะช่วยให้ฉันหาแต้มบุญใหม่ได้…”
ลู่โจวกำลังคิดถึงลูกศิษย์คนที่หกของเขา ยี่เทียนซินเป็นคนที่เกลียดชังตัวเขามาก ถ้าหากเขายังเป็นจีเทียนเด๋าคนเดิมอยู่เขาก็คงสังหารลูกศิษย์ที่ทรยศคนนี้ไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลู่โจวก็คงจะไม่เลือกที่จะทำแบบนั้นแน่
“ทำไมยี่เทียนซินถึงได้แค้นตัวฉันถึงขนาดนี้? ” ลู่โจวพยายามนึกถึงความทรงจำที่เคยมี
คำตอบของเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำที่ขาดหายไป ลู่โจวในตอนนี้ได้แต่ขมวดคิ้วเพียงสงสัยเท่านั้น ความทรงจำที่ขาดหายไปอาจจะเป็นแค่ผลข้างเคียงจากการเดินทางข้ามมิติเท่านั้น ลู่โจวคิดว่าบางทีตัวเขาอาจจะระลึกถึงความทรงจำทั้งหมดได้ในไม่ช้านี้ ถ้าหากตัวเขาสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะต้องระลึกถึงความทรงจำทั้งหมดที่ขายหายไปได้แน่
หลังจากพยายามนึกอยู่นานในที่สุดลู่โจวก็ได้แต่ยอมแพ้ไป นอกจากที่เขาจะไม่ได้คำตอบอะไรแล้วภายในหัวของเขามีเพียงอาการเวียนหัวเท่านั้น
“ถ้าหากฉันยังคงนึกอะไรไม่ออกอยู่แบบนี้ บางที่นี่ก็อาจจะเป็นชะตากรรมของเธอคนนั้นก็เป็นได้…” ลู่โจวหยุดคิดฟุ้งซ่านก่อนที่จะเริ่มศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกครั้ง
…
หมิงซี่หยินได้เดินกลับมายังถ้ำแห่งเงาสะท้อนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเดิมมาพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย ใบหน้าของยี่เทียนซินทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าที่ซี้ดเซียว
“ข้าน่ะบอกกับเจ้าแล้วศิษย์น้อง คนจากวังจันทราของเจ้าน่ะยังไงก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ถ้าหากไม่ได้ท่านอาจารย์คอยช่วยเอาไว้ เหล่าสาวกของเจ้าทั้งหมดก็คงจะต้องตายไปแล้ว” หมิงซี่หยินพูดออกมาให้ยี่เทียนซินฟัง
ยี่เทียนซินเอนหลังของเธอก่อนที่จะพิงลงบนหลังของกำแพงหินอันเหน็บหนาว หลังจากนั้นตัวเธอก็พูดออกมาอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “เจ้าหมอนั่นที่มาจากวิหารปีศาจน่ะเป็นแค่คนฉวยโอกาสกระจอกๆ เท่านั้น ถ้าหากข้ายังอยู่เจ้านั่นคงไม่มีโอกาสที่จะทำร้ายเหล่าสาวกของข้าได้แน่”
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ แล้วเจ้าคิดยังไงกับสำหนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักหลัวล่ะ? เจ้าอาจจะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าซู่จินฉานแต่เจ้าจะต่อต้านความโกรธแค้นของทั้งสามสำนักได้ยังไงกัน? ” หมิงซี่หยินถามออกมาอีกครั้ง
ยี่เทียนซินพูดไม่ออก
สำนักทั้งสามล้วนแต่มีเหล่ายอดฝีมือสังกัดอยู่ และการมารวมตัวกันของเหล่ายอดฝีมือ เพราะแบบนั้นเองจึงทำให้ทั้งสามสำนักเป็นสำนักที่แข็งแกร่งมากกว่าสำนักไหนๆ และทั้งสามสำนักที่ว่ามาก็ยังแข็งแกร่งกว่าตัวเธอ ยี่เทียนซินอีกด้วย
“ยี่เทียนซิน…ข้าน่ะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มากหรอกนะ” หมิงซี่หยินพูดเสร็จก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ในตอนแรกข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่ะจะกลัววิหารปีศาจเลยจะมอบคนจากวังจันทราให้กับเจ้าพวกนั้นไป แต่ว่า…” หมิงซี่หยินได้หยุดพูดก่อนที่จะหัวเราะออกมาแทน “…แต่ว่าท่านอาจารย์น่ะกับจัดการกับซู่จินฉานด้วยการโจมตีเพียงเท่านั้น”
“การ…โจมตีเดียวอย่างงั้นหรอ? “
“ใช่ เจ้าน่ะได้ยินถูกแล้วล่ะ! ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั่นยังเป็นสุดยอดฝ่ามือไร้ปรานี”
“เขาไม่กลัววิหารปีศาจจะบุกมาอย่างงั้นหรอ? เบื้องหลังของสำนักนั่นไม่ได้มีแค่ยอดฝีมือเพียงไม่กี่คนหรอกนะ…”
“ข้าก็คิดเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ศิษย์น้องหญิง…เจ้าน่ะยังเด็กจนเกินไป” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างไม่สนใจไยดี
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน? “
“ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะอยู่ภายใต้การควบคุมขอวท่านอาจารย์แล้วไงล่ะ…” หมิงซี่หยินพูดออกมาในขณะเดียวกันเขาก็พยักหน้าไปด้วย
ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะจำความเมตตาของศิษย์พี่เอาไว้”
ไม่นานหลังจากที่ยี่เทียนซินพูดจบ เธอก็ได้ไอออกมาอย่างรุนแรง หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของศิษย์น้องคนนี้ เขาได้รวบรวมพลังเอาไว้บนนิ้วมือก่อนที่จะจิ้มไปที่ปอดของเธอ ด้วยพลังของหมิงซี่หยินจะช่วยบรรเทาอาการไอของยี่เทียนซินได้ แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเธอก็กับซีดลงไปอีก
“ผมของเจ้ามัน…” หมิงซี่หยินสังเกตเห็นผมสีเงินที่อยู่ท่ามกลางผมสีดำของเธอ
“ปล่อยข้าไว้คนเดียวซะเถอะ วรยุทธทั้งหมดของข้าน่ะถูกทำลายไปทั้งหมดแล้ว ข้าไม่สามารถรวบรวมพลังเอาไว้ที่จุดตันเถียนได้อีกต่อไป ในตอนนี้ก็เหลือแต่เวลาแล้วล่ะ…” ยี่เทียนซินพูดออกมาอย่างไม่สนใจไยดี
“ฟังข้าซะ เจ้าน่ะควรไปขออภัยจากท่านอาจารย์ซะ บางทีท่านอาจารย์อาจจะช่วยชีวิตเจ้าได้ ถ้าหากพิจารณาถึงสายสัมพันธ์ที่มีมาในอดีตเขาจะต้องช่วยเจ้าแน่ ยังไงซะเจ้าก็ยังเคยเป็นลูกศิษย์ขอิงเขา” หมิงซี่หยินได้พูดเตือนสติอีกครั้ง
ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว เธอในตอนนี้พยายามต่อสู้กับอาการบาดเจ็บที่มีในร่างกายของตัวเอง หลังจากที่ทนความเจ็บปวดได้เธอก็เงยหน้ามองหมิงซี่หยินอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ท่านน่ะเคยสงสัยไหมล่ะว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองถึงจากที่นี่ไป? “
“ข้าน่ะไม่รู้หรอก และข้าเองก็ไม่อยากรู้เหตุผลด้วย” หมิงซี่หยินได้ส่ายหัวปฏิเสธไป ในตอนที่เขากำลังจะเห็นยี่เทียนซินเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง ในตอนนั้นหมิงซี่หยินก็ได้โบกมือของเขาก่อนที่จะชิงพูดออกมาก่อน “ข้าน่ะจะทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่ เจ้าน่ะไตร่ตรองความผิดของตัวเองซะ ถ้าหากเจ้าสำนักเมื่อไหร่ข้าจะขอร้องท่านอาจารย์ให้ปล่อยตัวเจ้าเอง”
เมื่อพูดจบหมิงซี่หยินก็ได้กะพริบตาให้ก่อนที่จะออกไปจากถ้ำไป เขาไม่เปิดโอกาสให้ยี่เทียนซินพูดกลับมาได้
ภายนอกถ้ำแห่งเงาสะท้อนเอง หมิงซี่หยินในตอนนี้กำลังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดพึมพำอะไรบางอย่างออกมา “ข้าน่ะไม่เหมือนกับเจ้าหรอกนะศิษย์น้อง…ข้าน่ะยังเคารพในตัวของท่านอาจารย์มาก” หลังจากพูดจบเขาเองก็ได้ประสานมือเอาไว้ด้านหลังก่อนที่จะจากถ้ำแห่งนี้ไป
ระหว่างทางกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ มันเหมาะที่จะฝึกฝนวรยุทธมาก
หมิงซี่หยินเห็นฝางซงและโจวจี้เฟิงกำลังฝึกซ้อมระหว่างที่เดินทางกลับ ในตอนแรกเขาคิดเอาไว้ว่าจะไปให้คำแนะนำซะหน่อย แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเขาก็ตัดใจยกเลิกความคิดแบบนั้นไป
“กรุณารอก่อนศิษย์พี่สี่! ” ฝางซงที่สังเกตเห็นหมิงซี่หยินได้เรียกเขาเอาไว้
“เจ้ามีธุระอะไรกัน? ” หมิงซี่หยินถามออกมาอย่างสงสัย
ฝางซงที่เห็นหมิงซี่หยินหยุดแล้วก็ได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะถามอะไรบางอย่างออกมา “ศิษย์พี่สี่ ข้ามีเรื่องสงสัยอยากที่จะไถ่ถามท่านสักหน่อย? “
“ไม่” หมิงซี่หยินพูดเสร็จก็ได้จากไปในทันที
“…”
ถ้าหากเป็นเวลาอื่นฝางซงคงจะไม่มีความกล้ามากพอที่จะเรียกเพื่อหยุดหมิงซี่หยินอีกครั้งแน่ แต่ครั้งนี้ฝางซงมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือ ฝางซงที่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ศิษย์พี่ได้โปรดฟังข้าด้วย ข้ากลัวว่าตัวข้าอาจจะอยู่ได้เพียงสามเดือนสุดท้ายเท่านั้น ความเหน็บหนาวได้เข้าปกคลุมร่างกายของข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ท่านอาจารย์ได้เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะให้เคล็ดวิชาหยางทั้งหกให้…ศิษย์พี่สี่ได้โปรด…ช่วยข้าด้วย…” ความกล้าที่รวบรวมมาได้หายไปเรื่อยๆ ในประโยคคำพูดนี้
“หมดเรื่องแล้วสินะ? ” หมิงซี่หยินจ้องมองไปที่ฝางซง
“ใช่ครับ”
“ถ้าหากท่านอาจารย์สัญญากับเจ้าแล้ว ท่านอาจารย์จะไม่กลับคำแน่ เวลาอีกสามเดือนน่ะยังอีกยาวไกล…มีคนมากมายที่ไม่รู้เลยว่าชีวิตในวันนี้หรือในวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันสุดท้ายกันแน่ เจ้าน่ะอย่าได้รีบร้อนไปเลย” หมิงซี่หยินที่ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ได้หายจากไปอย่างรวดเร็ว
“…”
ฝางซงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่จ้องมองการจากไปอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงก็ได้ทิ้งดาบของเขาลงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าบอกเจ้าแล้ว แม้ว่าศิษย์พี่หมิงซี่หยินจะดูเหมือนคนใจดีก็จริง แต่ถึงแบบนั้นคำพูดของเขาก็จะมีขวากหนามซ่อนเอาไว้อยู่เสมอ ข้าว่าเจ้าน่ะไปคุยกับศิษย์พี่เก้าจะดีกว่านะ เธอคนนั้นใสซื่อ, เรียบง่าย และใจดีกว่ามาก และท่านอาจารย์เองก็ยังให้ความสำคัญกับเธอมาก ข้าคิดว่าเธอคนนั้นจะต้องช่วยเจ้าแน่ถ้าหากเจ้าพูดดีกับเธอ”
“นั่นมันสมเหตุสมผลจริงๆ ” ฝางซงพยักหน้าเห็นด้วย
…
หลังจากที่อ่านเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไปอีกถึง 3 ครั้งด้วยกัน ลู่โจวก็ไม่ได้พบความเปลี่ยนแปลงไปเลย ตัวอักษรที่เคยไม่เข้าใจตอนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม การทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อเป็นอย่างมาก เมื่อคิดแบบนั้นตัวเขาจึงได้เปิดหน้าต่างเมนูที่ไม่ได้เปิดมานานแล้วขึ้นมา
“ท่านอาจารย์! ” เสียงของหยวนเอ๋อได้ดังมาจากด้านนอก
“เข้ามาสิ”
เด็กหญิงตัวน้อยได้กระโดดมาเข้ามาจากด้านนอกอย่างมีความสุข “ท่านอาจารย์ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่จ้าวยู่มา! “
“บอกข้ามาสิ”