My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 560 เส้นทางของเหล่าวายร้าย
เสียงกระบี่นิลโลหิตที่กระทบเข้ากับม่านพลังดังกึกก้องไปทั่วฟ้าเสียงที่ดังขึ้นดังไปถึงหูชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ แม้ว่าจะมีชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีชาวบ้านส่วนหนึ่งยังคงหลงเหลืออยู่อีก
ยู่ฉางตงกวาดสายตาไปทั่วเมืองตัวเขาเห็นพลเมืองทั้งหลายต่างก็วิ่งไปทางตะวันตก
ในตอนนั้นเองทหารจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นพวกเขาปรากฏตัวใกล้ๆ กับประตูทางด้านตะวันตก นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธปะปนอยู่ในนั้นอีกด้วย
“หยุดซะ!”
“จะไม่มีใครไปไหนได้ทั้งนั้น!”
“ใครก็แล้วแต่ที่กล้าออกจากเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเด็กหรือว่าคนแก่ จะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือไม่เป็นก็ตาม คนคนนั้นจะถูกประหารชีวิตในทันที!”
เสียงของผู้ฝึกยุทธที่พูดทั้งหยาบคายและฟังดูทรงพลังเหล่าทหารพยายามที่จะขับไล่ชาวเมืองที่กำลังจะหลบหนีให้กลับมาในเมือง
ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ชาวเมืองสามารถวิ่งไปทางตะวันออกได้เท่านั้น…
เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็จับตาดูชาวเมืองอย่างไม่คาดสายตา
ตู๊ม!
มีเสียงดังกึกก้องในอากาศอีกครั้ง
กระบี่นิลโลหิตได้จู่โจมม่านพลังแสงจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเกิดประกายระยิบระยับไปทั่วเมือง แสงประกายที่เกิดจากการปะทะเกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตู๊ม!ตู๊ม! ตู๊ม!
ไม่นานนักดาบพลังงานก็เริ่มจะจางหายไประลอกคลื่นพลังบนม่านพลังเองก็หายไปเช่นกัน
ยู่เฉิงไห่กำลังยืนอยู่บนรถม้าลอยฟ้าอย่างภาคภูมิใจตัวเขาในตอนนี้กำลังมองดูผู้คนที่อยู่ภายในเมือง ดูเหมือนว่าม่านพลังที่กำลังเผชิญอยู่จะมีพลังมากกว่าม่านพลังในมณฑลยู่ ยู่เฉิงไห่ได้ใช้พลังอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดไปถึงสองครั้ง แต่ถึงแบบนั้นม่านพลังก็ยังไม่เป็นอะไร
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นได้พูดขึ้น“หม่าลู่ปิงจะต้องมาเพราะความวุ่นวายครั้งนี้แน่ ยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นมีฝีมือสูงส่ง ข้าคิดว่าเขาจะต้องสามารถหลบหนีได้แน่”
“ข้าเองก็หวังว่าเขาจะไม่โง่เหมือนกับศิษย์พี่รองเจ้า”
“คนเป็นยอดฝีมือมักจะมั่นใจในตัวเองและเนื่องจากเขาคนนั้นเลียนแบบศิษย์พี่รอง ข้าคิดว่าเขาคนนั้นเองก็คงจะมีความมั่นใจเช่นกัน ข้ากังวลว่าเขาจะดื้อรั้นและฝืนต่อสู้ต่อไป” สีวู่หยาตอบกลับ
“ในตอนที่เจ้าพูดถึงเขาศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า ข้าก็คิดว่ายอดฝีมือผู้ลึกลับคนนี้จะต้องดื้อรั้นไม่ต่างจากเขาแน่” ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว “เขาจะต้องทำให้ข้าปวดหัวเหมือนกับศิษย์พี่รองเจ้าแน่…”
“…”
ยู่เฉิงไห่ดันฝ่ามือไปที่ด้านหน้า
กระบี่นิลโลหิตได้หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สาม
ในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนยู่เฉิงไห่ได้กางแขนก่อนจะลอยขึ้น กระบี่นิลโลหิตได้โฉบอยู่หน้ารถม้าลอยฟ้าก่อนที่จะปลดปล่อยกระบี่พลังงานจำนวนมากออกมา
“สืบสานราชันย์!”
ดาบพลังงานที่มีรูปร่างคล้ายกับกระบี่นิลโลหิตได้จู่โจมลงไปอย่างไม่หยุดพัก
ทหารรักษาการณ์ต่างก็รีบหยุดเคลื่อนไหวทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมองกระบี่พลังงานที่อัดแน่น
แม้แต่ผู้ที่มีฝีมือเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็ยังต้องหวาดกลัว
มีเพียงคนคนเดียวในใต้หล้าเท่านั้นที่จะใช้วิชากระบี่แบบนี้ได้คนคนนั้นก็คือเจ้าสำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยู่เฉิงไห่นั่นเอง
สิ่งที่ยู่เฉิงไห่ก็คือพลังจากอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดวิชาสืบสานราชันย์
ถ้าหากเป็นยู่เฉิงไห่ในตอนที่ต่อสู้อยู่ในป่าเมฆากระจ่างในตอนนั้นตัวเขายังมีพลังออร่าแห่งราชาไม่มากพอ แต่ในตอนนี้ตัวเขามีพลังออร่าแห่งราชามากพอแล้ว
ภายในเมืองมณฑลหยานใครก็ตามสัมผัสได้ถึงพลังการโจมตีนี้ต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า
พลังพายุกระบี่พลังงานยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ตู๊ม!ตู๊ม! ตู๊ม!
ม่านพลังกลับมาสั่นสะเทือนอีกครั้ง
การปะทะกันระหว่างกระบี่พลังงานและม่านพลังได้ทำให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยพลังงานที่ปั่นป่วน
ชาวเมืองที่อยู่ภายในม่านพลังต่างก็คิดว่าม่านพลังจะต้องพังทลายแน่
จุดที่วิชาสืบสานราชันย์โจมตีใส่ได้ทำให้เกิดระลอกคลื่นบนม่านพลัง
พลังการโจมตีของสืบสานราชันย์ได้โจมตีใส่ม่านพลังเป็นระยะเวลานานเมื่อได้รับการโจมตีอันรุนแรงม่านพลังก็เริ่มอ่อนพลังลง
เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่คิดจะปกป้องเมืองในตอนแรกเมื่อได้เห็นสภาพของม่านพลังในตอนนี้ก็เริ่มถอดใจทุกคนเริ่มรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงแล้ว เหตุผลที่ทำให้สำนักอเวจีกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้
ถ้าหากไม่มีดีอะไรสำนักอเวจีก็คงจะพิชิตดินแดนหยานไม่ได้แน่
ในรถม้าลอยฟ้าฮั๊วจงหยางก็ได้แต่กลืนน้ำลาย“เพลงกระบี่ของท่านเจ้าสำนักถือเป็นเพลงกระบี่อันดับหนึ่งจริงๆ”
ยู่เฉิงไห่ลดแขนลงในตอนนั้นกระบี่นิลโลหิตก็ได้กลับมาหาตัวเขา ยู่เฉิงไห่ได้มองลงไปที่ม่านพลังอย่างเย่อหยิ่ง
“ม่านพลังอ่อนแอลงแล้วข้าในใจว่าหม่าลู่ปิงจะต้องหันมาสนใจท่านแน่ ศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาออกความเห็น
ยู่เฉิงไห่เองก็พอใจกับการโจมตี“มันก็แค่ม่านพลังเท่านั้น มันจะต้องพังทลายแน่ถ้าหากได้รับการโจมตีอีกสามกระบวนท่า”
พรึ๊บ!พรึ๊บ! พรึ๊บ!
หน้าไม้ที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองได้ยิงลูกศรใส่รถม้าลอยฟ้าอย่างไม่หยุดพัก
เสียงลูกศรที่เสียดสีอยู่บนอากาศได้ดังไปทั่วฟ้า
ในตอนนี้ถึงเวลาที่ทหารรักษาการณ์จะโต้กลับแล้ว
เมื่อฮั๊วจงหยางเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก ปล่อยให้งานนี้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
“ไปซะ”
ฮั๊วจงหยางรีบกระโดดลงมาก่อนที่จะเรียกพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบออกมา
ซู่วว!
พลังอวตารเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว!
ลูกศรทั้งหมดที่ยิงเข้าใส่ล้วนถูกคลื่นพลังผลักออก
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าตัวเขาไม่ได้คิดที่จะสนใจหน้าไม้ป้องกันเมืองอีกต่อไป “ถ้าหากข้าโจมตีได้ถึง 3 กระบวนท่าแล้วหม่าลู่ปิงยังไม่ปรากฏตัว ข้าจะทำลายม่านพลังของพวกเจ้าแน่” เสียงของยู่เฉิงดังไปทั่วเมือง มันเป็นเสียงที่ถูกเสริมกำลังจากพลังลมปราณ
ในตอนนั้นเองเสียงที่หยาบคายและน่าเกรงขามก็ได้ดังขึ้นมันเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากทางทิศตะวันตกของเมือง
“ช่างยิ่งใหญ่อะไรแบบนี้เจ้าสำนักยู่”
ทุกๆคนต่างก็เหลือบมองไปทางนั้น..
เหล่าทหารรักษาการณ์เองก็ได้แต่โค้งคำนับ
“ท่านแม่ทัพหม่า!”
เหล่าผู้คนที่ลอยอยู่บนอากาศและบนกำแพงเมืองต่างก็โค้งคำนับให้
แม่ทัพหม่าลู่ปิงเป็นคนผอมบางตัวเขาไม่ได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่อะไรมากนัก แต่ถึงแบบนั้นการปรากฏตัวของเขาก็ยังดูองอาจ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น หม่าลู่ปิงก็คือหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปด แม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนักนั่นเอง
หม่าลู่ปิงชูมือขึ้นไปบนอากาศท่าทีของเขาดูสง่างามไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นราชา
ยู่เฉิงไห่มองไปที่หม่าลู่ปิงอย่างไม่พอใจ“หม่าลู่ปิง ถ้าหากเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากพอ เจ้าจงออกมาสู้กับข้าซะเถอะ”
ยู่เฉิงไห่และสีวู่หยาโล่งใจเมื่อได้เห็นหม่าลู่ปิงการที่ได้เห็นแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรูแบบนี้นั่นก็หมายความว่ายอดฝีมือผู้ลึกลับที่ได้ช่วยสำนักอเวจีมาโดยตลอดปลอดภัยแล้ว
หม่าลู่ปิงตอบกลับมา“เจ้าสำนักยู่ ถ้าหากเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากพอ เจ้าก็จงทำลายม่านพลังนี้ให้ได้และมาสู้กับข้าซะ”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เผชิญหน้าซึ่งกันและกัน
ยู่เฉิงไห่กำลังจะตอบโต้กลับไปแต่ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้ห้ามปรามเขาไว้ซะก่อน “ข้าคิดว่าหม่าลู่ปิงจะต้องมีกำลังเสริมแน่ศิษย์พี่ พวกเราควรจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นจะดีกว่า”
“กำลังเสริมอย่างงั้นเหรอ”
สีวู่หยาพูดต่อ“ซวนจิงหยวนและหวางยู่จะต้องปกป้องเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองคนนั้นรวมไปถึงผู้อาวุโสทั้งสิบคนจากสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ต่างก็มีความรู้เกี่ยวกับเขตแดนพลังทั้งสิบของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเขาทั้งหมดคงจะไม่ออกจากเมืองหลวงมาแน่ หลิวกู่เองก็ดูเหมือนจะเก็บตัวเงียบ คงจะมีแต่ประมุขแห่งสถานศึกษาทั้งสองและเหว่ยซู่หยาน ผู้บัญชาการสามกองทัพใหญ่ที่มีแนวโน้มว่าจะมาได้”
“เจ้าบอกว่าเหว่ยซู่หยานเป็นตัวปลอมไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแม้ว่าเขาจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการระดมทัพใหญ่ทั้งสามทัพได้…แม้ว่าเหว่ยซู่หยานจะไม่ได้มีทักษะที่เก่งกาจอะไร แต่ก็เพราะความโลภที่มีมันอาจจะทำให้เขายอมเคลื่อนไหวก็เป็นได้” สีวู่หยาให้เหตุผล
“ไอ้สารเลวนั่นเจ้านั่นจะกล้าหักหลังท่านอาจารย์อย่างงั้นเหรอ”
“ไม่มีใครรู้จิตใจของคนเราหรอกศิษย์พี่”
“ขอบคุณที่เตือนข้าศิษย์น้องผู้หลักแหลม” ยู่เฉิงไห่ได้ใช้พลังลมปราณไปมากแล้ว ตัวเขาจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะทำลายม่านพลังได้ เมื่อทำลายม่านพลังได้ในตอนนั้นตัวเขาก็จะไม่อยู่ในสถานะที่พร้อมต่อสู้อีก ยู่เฉิงไห่เลือกที่จะเดินมายังขอบรถม้าก่อนที่จะจ้องมองลงมาแทน “หม่าลู่ปิง วันนี้ข้าจะไม่ทำลายม่านพลังก็เพราะเห็นแก่ชีวิตชาวเมืองของเจ้า…”
ยู่เฉิงไห่ไม่คิดที่จะให้หม่าลู่ปิงตอบโต้ตัวเขาได้พูดต่อ “ตั้งแต่ที่ข้าก่อตั้งสำนักอเวจีขึ้นมา ข้าก็ยึดอยู่ในหลักการที่แน่วแน่อยู่เสมอ หลักการของข้านั้นง่ายมาก ไม่ว่าจะยังไงชาวเมืองหรือคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ได้รับบาดเจ็บ น่าเสียดายที่วันนี้ทหารของเจ้าใช้คนธรรมดาเป็นโล่กำบัง แม้ว่าข้าจะเป็นสำนักฝ่ายอธรรม แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่กล้าพอที่จะทำอะไรไร้ยางอายเหมือนกับที่เจ้าทำแน่!” ยู่เฉิงไห่หยุดพูดไปชั่วคราวก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าจะต้องบอกเรื่องนี้ให้กับชาวโลกได้รับรู้แน่”
“ถอยซะ”
รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีได้บินกลับไปอย่างช้าๆ
สาวกจากสำนักอเวจีที่อยู่นอกกำแพงเมืองเองก็เลิกโจมตีเช่นกัน
เหล่าฝูงชนต่างก็ล่าถอยกลับ
หม่าลู่ปิงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในโลกแห่งยุทธภพไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนเลยที่ดึงเอาคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่ถือเป็นกฎพื้นฐานที่แสนจะเรียบง่าย ยังไงซะทุกคนก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อน
การที่จะสังหารคนธรรมดาเป็นร้อยเป็นพันไม่ใช่เรื่องยากเลยแต่ถึงแบบนั้นการฆ่าล้างคนทั้งเมืองเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะให้อภัยได้
หม่าลู่ปิงยังคงตกตะลึง
เหล่าชาวเมืองต่างก็ปรากฏตัวออกมาตามท้องถนนทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็กรีดร้องก่อความวุ่นวาย
“ราชสำนักทำเหมือนกับพวกเราไม่ใช่คน!นี่มันจะมากไปแล้ว!”
“แม้แต่สำนักฝ่ายอธรรมอย่างสำนักอเวจียังรู้ดีว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราไม่ควรจะถูกลากเข้ามายุ่งเกี่ยว…แต่ถึงแบบนั้นแม่ทัพหลวงก็เลือกที่จะจับพวกเราเป็นตัวประกัน!มันช่างน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้!”
“เจ้าพวกทหารน่ารังเกียจ!พวกเจ้าคงคิดว่าชีวิตของพวกเจ้าสำคัญกว่าพวกเราสามัญชนคนธรรมดาอย่างงั้นสินะ! เจ้าพวกไร้ยางอาย!”
ชาวเมืองทั้งหลายเริ่มที่จะก่อความวุ่นวายมากขึ้นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเสียงของชาวเมืองก็ดังกว่าเดิมหลายเท่า
เปลือกตาของหม่าลู่ปิงกระตุกแม้ว่าตัวเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะสังหารทุกคนได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็คงจะไม่เหมาะแน่ถ้าหากหม่าลู่ปิงตัดสินใจทำแบบนั้น
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนพูดขึ้น“ท่านแม่ทัพ…ท่านรองแม่ทัพหม่าตายแล้วครับ!”
ดวงตาของหม่าลู่ปิงเบิกกว้างตัวเขาที่ได้ฟังแบบนั้นได้หันไปมองชาวเมืองทั้งหลาย “ใครก็ตามที่บังอาจโวยวายข้าจะฆ่าให้หมด!”
คลื่นเสียงของหม่าลู่ปิงดังไปทั่วเมือง
เสียงตะโกนเอะอะโวยวายเงียบลงในทันที
ชาวเมืองต่างก็เหลือบมองหม่าลู่ปิงอย่างตื่นกลัวพวกเขากลัวเกินกว่าที่จะส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
คนธรรมดาหลายคนถึงกับอยากให้สำนักอเวจียึดครองเมืองให้เร็วที่สุด
หม่าลู่ปิงได้พูดต่อย่างไร้อารมณ์“จับตาดูพวกมันซะ ประหารทุกคนที่คิดหลบหนีในทันที”
“ครับท่านแม่ทัพ!”
…
ในขณะเดียวกันที่ถนนใกล้ๆยู่ฉางตงมองไปที่รถม้าที่บินจากไป ตัวเขาเริ่มเดินไปอีกทิศทางหนึ่งในทันที
…
ณศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวยังคงนั่งทำสมาธิต่อไปตัวเขาได้นั่งทำสมาธิเพื่อศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มากว่าหลายวันแล้ว และในที่สุดตัวเขาก็ลืมตาขึ้น
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์…มีจดหมายจากศิษย์น้องเจ็ดครับ”
เอี๊ยดด!
ลู่โจวได้ออกมาจากห้องตัวเขามองเห็นหมิงซี่หยินที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยความเคารพ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็รีบรับจดหมายมา
หลังจากที่อ่านจบตัวเขาก็ได้พูดอย่างไม่พอใจ“เจ้านั่นคิดว่าข้าโง่มากสินะ”
หมิงซี่หยินเองก็ได้อ่านจดหมายแล้วเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงรู้สถานการณ์คร่าวๆ มาแล้วบ้าง “ท่านอาจารย์ ด้วยพลังวรยุทธที่ท่านมี ทำไมท่านถึงไม่บุกไปในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะขับไล่หลิวกู่มาเลยล่ะ ด้วยวิธีนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็จะไม่ต้องเจอกับปัญหาอะไรให้ยุ่งยาก”
“…”ลู่โจวพูดไม่ออก ‘ถ้าหากฉันทำแบบนั้นได้ ฉันก็ทำไปแล้ว แต่ในตอนนี้พลังที่ฉันมีมันไม่มากพอ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ’
หมิงซี่หยินเอามือแตะหน้าผากตัวเอง“ข้าต้องขอโทษจริงๆ ข้าลืมไปซะสนิท ข้าลืมเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนพลังทั้งสิบไปเลย พวกเราต้องการพลังสนับสนุนจากสำนักอเวจีเพื่อที่จะทำลายเขตแดนพลังทั้งสิบสินะครับ”
หลายปีผ่านมาราชสำนักก็ยังคงไม่พ่ายแพ้ให้กับผู้ใด นอกจากยอดฝีมือมากมายแล้วก็ยังมีเขตแดนพลังทั้งสิบอยู่ มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยถ้าหากบอกว่ามียอดฝีมือเกินครึ่งของดินแดนหยานอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แล้ว