My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 571 ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนใจแคบ
คำถามของลู่โจวได้ทำให้ประมุขโจวถึงกับตกตะลึง งานศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับการตัดดอกบัวทองคำในก่อนหน้านี้ ทางสถานศึกษามักจะส่งมันให้กับราชสำนักแต่เพียงผู้เดียว มันเป็นข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยให้กับบุคคลภายนอกมาก่อน
ในขณะที่โจวยู่ไคกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เป็นทั้งผู้มีคุณธรรมและยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น ในช่วงเวลานั้นช่างเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ ย้อนกลับไปสมัยนั้น เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายต่างก็ปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับสถานศึกษา แต่เพียงไม่กี่ศตวรรษผ่านไปเท่านั้น…สถานศึกษาของเจ้าก็เปลี่ยนไป ในตอนนี้มันช่างโดดเดี่ยว เห็นแก่ตัว และยังไม่สนใจอะไรโลก…ไม่น่าแปลกเลยที่สถานศึกษาของเจ้าจะถดถอยจนเป็นแบบนี้”
โจวยู่ไครู้สึกละอายใจเมื่อได้ฟังแบบนั้น
หวางซื่อเจียพูดต่อ “ประมุขโจว…มีอะไรจะต้องกลัวกันเมื่อต้องพูดต่อหน้าพี่จี? พี่จีกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไปแล้ว เขาจะอยากได้ผลการศึกษาของท่านไปเพื่ออะไรกัน? อันที่จริงท่านอาจจะได้รับคำแนะนำจากพี่จีก็ได้ คำแนะนำนั่นจะต้องมีค่ากว่าการศึกษาเองแน่”
มันไม่ใช่คำพูดที่เกินเลยไปเลย สิ่งที่หวางซื่อเจียยกตัวอย่างไม่ต่างจากการอ่านตำรา ภายในโลกนี้มีตำรามากมายหลายเล่ม แต่จะมีสักกี่คนที่อ่านตำราจนสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงผู้เป็นอาจารย์จะมีไว้เพื่ออะไร?
ยิ่งไปกว่านั้นที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังมียู่ฉางตง ยู่ฉางตงเป็นผู้ที่ตัดดอกบัวทองคำของตัวเองก่อนที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบได้อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีเหตุผลเลยที่โจวยู่ไคจะต้องหวงงานศึกษาของตัวเขาเอาไว้
โจวยู่ไคตระหนักได้แล้ว ตัวเขาถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ท่านพูดถูกแล้วล่ะเจ้าเกาะหวาง ข้าเป็นคนใจแคบเอง…วัตถุประสงค์ของสถานศึกษาก็คือการมอบความรู้ให้แก่โลกใบนี้ ยังไงซะทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องมีความรู้เป็นรากฐาน” โจวยู่ไคหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าได้ศึกษาเกี่ยวกับการตัดดอกบัวทองคำมากกว่า 6 เดือนแล้ว…แต่ถึงแบบนั้นการศึกษาของข้าคืบหน้าเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
“เจ้าศึกษาได้อะไรบ้าง?” ลู่โจวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ตัวเองดูดุร้ายน้อยลง ตัวเขาพยายามเก็บอารมณ์ให้มากที่สุด ลู่โจวอยากให้การสนทนานี้เป็นเพียงการสนทนายามบ่ายของชายชราธรรมดาเท่านั้น
โจวยู่ไคพูดขึ้น “จากสิ่งที่พวกเราได้รู้ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าการฝึกยุทธหลังจากที่ตัดดอกบัวทองคำได้จะซับซ้อนกว่าที่พวกเราคาดไว้ หลังจากที่ดอกบัวทองคำถูกตัดออก ไม่เพียงแต่ความเร็วของการฝึกยุทธจะได้รับผลกระทบเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อร่างอวตารอีกด้วย อย่างที่พวกเราทุกคนได้รู้กันมา ร่างอวตารเป็นสิ่งที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ มันเป็นเหมือนกับรูปปั้นอันใหญ่ยักษ์ หน้าที่ของร่างอวตารมีเพียงการป้องกันผู้ใช้ก็เท่านั้น แต่เมื่อดอกบัวทองคำถูกตัดออก…ผู้ใช้ร่างอวตารก็จะสามารถควบคุมร่างอวตารให้เคลื่อนไหวตามเจตจำนงได้ และเพราะแบบนั้นทำให้การปลดปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชาเองจึงทรงพลังมากยิ่งขึ้น ว่ากันว่ากลีบดอกบัวที่เคยมีก่อนตัดดอกบัวทองคำจะส่งผลต่อความเร็วในการฝึกฝน…ยิ่งมีกลีบดอกบัวมากเท่าไหร่ การฝึกฝนใหม่อีกครั้งก็จะเร็วขึ้นเท่านั้น…ข้าเคยได้พูดคุยหารือเรื่องนี้กับเม้งหนานเฟย ประมุขแห่งสถานศึกษาผืนฟ้ามาก่อน พวกเราทั้งคู่ต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้….พวกเราเรียกมันว่าสภาวะฟื้นฟู”
หวางซื่อเจียอุทานออกมาด้วยความตกใจ “การตัดดอกบัวทองคำถือว่าเป็นประโยชน์อย่างงั้นสินะ?”
“ไม่ใช่อย่างงั้น” โจวยู่ไคอธิบายต่อ “ความลับของดอกบัวทองคำยังต้องรอการศึกษาเป็นการเพิ่มเติม เหตุใดดอกบัวทองคำถึงดูดซับอายุขัยและพลังชีวิตของผู้ฝึกยุทธ? สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องลึกลับที่ยังไม่อาจไขได้ มีบางอย่างขาดหายไปในการศึกษา พลังอวตารสามารถโจมตีหรือแม้แต่ป้องกันด้วยพลังอันมหาศาลได้ ดอกบัวทองคำยังสามารถใช้เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้อีกด้วย ถ้าหากไม่มีมัน พลังอวตารก็คงจะอ่อนแรงไปกว่า 1 ใน 3 จนถึงตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าดอกบัวทองคำจะเกิดขึ้นหลังจากที่ดอกบัวทองคำถูกตัดออกไหม ถ้าหากมีขีดจำกัดในการฝึกฝนไปขั้นที่เก้า มันก็อาจจะมีขีดจำกัดนอกเหนือไปกว่านั้นอยู่อีกก็ได้…”
เมื่อโจวยู่ไคพูดจบ ตัวเขากับหวางซื่อเจียก็หันไปหาลู่โจว เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรอฟังสิ่งที่ลู่โจวเสนอออกมา ยังไงซะลู่โจวก็เป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบในขณะที่มีดอกบัวทองคำ ถ้าหากจะมีใครสักคนพอจะล่วงรู้ความลับได้ คนคนนั้นก็คงจะต้องเป็นลู่โจว
ลู่โจวพูดขึ้น “ก่อนที่พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะเสถียร พลังอวตารดอกบัวสิบกลีบยังอยู่ห่างไกลจนเกินไป”
ทั้งสองคนต่างก็พยักหน้า
ลู่โจวได้ถามต่อ “สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ใกล้ชิดกับราชสำนักมาโดยตลอด เจ้ารู้ไหมว่าในราชสำนักมียอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบบ้างรึเปล่า?”
โจวยู่ไคส่ายหัวก่อนจะพูดออกมา “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ถ้าหากมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ที่นั่นจริงๆ ฝ่าบาทก็คงจะไม่ทรงงานหนักแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว…ในสมัยที่อดีตจักรพรรดิยังครองบัลลังก์อยู่ ในตอนนั้นก็มีข่าวลืออยู่หลายเรื่อง” โจวยู่ไคหยุดพูดก่อนจะพูดต่อ “อดีตจักรพรรดิสนิทกับท่าน ผู้อาวุโสจี พรสวรรค์ของอดีตจักรพรรดินั้นด้อยกว่าท่านมาก แต่หลังจากที่เขาได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ พลังวรยุทธของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และก็เพราะแบบนั้นอดีตจักรพรรดิจึงสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้”
ลู่โจวเหลือบมอง “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าผู้ชี้แนะคนนั้นอยู่ที่ไหนกัน?”
โจวยู่ไคถอนหายใจก่อนที่จะตอบกลับมา “ชายคนนั้นได้จากไปเมื่อนานมาแล้ว อดีตจักรพรรดิทรงร้องไห้กว่าสามวันสามคืน ชายคนนั้นถูกฝังไว้ในหลุมศพของเหล่าราชวงศ์เยี่ยงคนสำคัญ อดีตจักรพรรดิทรงปกป้องหลุมศพของเขาเป็นเวลากว่า 3 ปีด้วยกัน”
“เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นอย่างงั้นเหรอ?”
“เรื่องในตอนนั้นเกิดเมื่อนานมาแล้ว ข้าไม่ได้เห็นกับมันด้วยตาตัวเอง ที่ข้ารู้เรื่องทั้งหมดก็เพราะข่าวลือ” โจวยู่ไคตอบกลับมา
“สุสานนั่นอยู่ที่ไหนกัน?”
โจวยู่ไคพูดต่อ “ที่ราชสำนักรักษาความลับเอาไว้อย่างเข้มงวด เมื่ออดีตจักรพรรดิสั่งให้สร้างสุสาน ผู้สร้างสุสานทั้งหมดต่างก็ถูกสังหารตายเพื่อเก็บความลับเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีการบันทึกหลักฐานเป็นลายหลักอักษรอะไร ข้าเกรงว่าในตอนนี้คงจะไม่มีใครรู้ว่าหลุมฝังศพฝังอยู่ที่ไหนกันแน่”
ณ ตอนนี้ลู่โจวสามารถยืนยันได้แล้วว่าผู้ชี้แนะอดีตจักรพรรดิเป็นสุดยอดฝีมือลึกลับผู้มากับโลงศพ ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลิวเก้อจะไว้ใจยอดฝีมือคนนั้นมาก ยอดฝีมือคนนั้นตายหรือมีชีวิตอยู่กันแน่? ในเมื่อไม่ได้เห็นกับตา ก็คงจะไม่มีใครรู้ความจริงได้..
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็พูดขึ้น “แล้วจักรพรรดิในตอนนี้มีพลังอวตารดอกบัวกี่กลีบกัน?”
โจวยู่ไคเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยิน เหงื่อได้ไหลอาบใบหน้าของเขาในทันที โจวยู่ไคเหลือบมองสาวกนับพันด้วยความลังเล ตัวเขารู้ดีว่าคำตอบที่ผิดพลาดอาจจะทำให้สาวกทั้งหมดและตัวเขาต้องตายอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ในท้ายที่สุดโจวยู่ไคก็ได้ตอบกลับมา “ข้าจะบอกความจริง ยาเม็ดแห่งการเบ่งบานทั้งหมดที่ถูกปรุงขึ้นล้วนแต่ถูกส่งไปยังพระราชวัง ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมานี้ทั้ง 2 สถานศึกษาได้ปรุงยาเม็ดแห่งการเบ่งบานจนถึง 108 เม็ดแล้ว”
ดวงตาของหมิงซี่หยินเบิกกว้าง “แล้วใครเป็นผู้ที่กินยาพวกนั้นกัน? ในตอนนี้เจ้านั่นไม่ได้กลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัว 108 กลีบไปแล้วเหรอ?”
“…”
โจวยู่ไคไอก่อนที่จะส่ายหัว “การกินยาเม็ดแห่งการเบ่งบานไม่ได้รับประกันว่าจะสามารถสร้างกลีบดอกบัวกลีบใหม่ได้ ยาเม็ดแห่งการเบ่งบานจะช่วยให้ผู้ที่กินดูดซับพลังลมปราณเพื่อเพิ่มพลังวรยุทธ ในตอนที่ผู้ฝึกยุทธมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบขึ้นไป ผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะต้องกินยาเม็ดแห่งการเบ่งบานกว่าหลายสิบเม็ดกว่าที่จะผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ได้”
หมิงซี่หยินยังคงสงสัย “แล้ว…จักรพรรดิมีพลังอวตารดอกบัวกี่กลีบกันแล้วล่ะ?”
“…”
สำหรับโจวยู่ไค ตัวเขาที่ถูกถามไถ่อย่างไม่หยุดยั้งรู้สึกรำคาญ ตัวเขาเดินไปรอบๆ ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงพุ่มไม้ ถ้าหากผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจวไม่อยู่ด้วย ตัวเขาก็คงจะต่อยหมิงซี่หยินไปแล้ว
“พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทมีพลังอวตารดอกบัวกี่กลีบกันแล้ว…ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย พี่จี!” โจวยู่ไคตอบกลับมาด้วยความกังวลใจ
“หึ เจ้าไม่ยอมบอกอย่างงั้นสินะ?” หมิงซี่หยินกำลังอารมณ์เสีย
ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนที่จะหยุดหมิงซี่หยินเอาไว้ “ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า” โจวยู่ไคยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลู่โจวมีลูกศิษย์กี่คน แล้วหมิงซี่หยินจะไปคาดหวังให้โจวยู่ไครู้เรื่องขององค์จักรพรรดิได้
“ขอบคุณที่ยอมเชื่อข้า พี่จี” โจวยู่ไคถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ประมุขโจว…” ลู่โจวเหลือบมองไปที่โจวยู่ไคด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “แล้วต่อจากนี้เจ้าวางแผนไว้ว่ายังไงล่ะ?”
“ก็…” โจวยู่ไคคารวะให้ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำแต่สิ่งดีคอยช่วยเหลือผู้อื่น และจะฟื้นฟูสถานศึกษาของข้าให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”
“สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่มีศักยภาพที่มากพออยู่แล้ว เจ้าไม่ใช่คนที่ใจแคบโจวยู่ไค…ข้าแนะนำให้เจ้าลองเก็บเรื่องนี้ไปคิดให้ดี สถานศึกษาของเจ้าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร ถ้าหากเจ้าคิดอย่างรอบคอบมากพอ สถานศึกษาของเจ้าจะต้องอยู่ต่อไปได้แน่…อย่าได้รีบร้อนตัดสินใจหรือแม้แต่จงรักภักดีกับใครอย่างผิดๆ จงคิดให้ถี่ถ้วนเถอะประมุขโจว….” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างจริงจัง หลังจากที่พูดจบตัวเขาก็โบกมือเรียก “หมิงซี่หยิน”
“ข้าเตรียมรถม้าพร้อมแล้วท่านอาจารย์”
ลู่โจวกระโดดขึ้นไปบนรถม้าล่องเมฆา
โจวเหวินเหลียง หวางเจียงหราง และจางซงตามลู่โจวไปตามสัญชาตญาณ
หมิงซี่หยินหันไปมองทั้งสามคน “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? ไสหัวออกไปซะ!”
“ฮะ?”
“คิดจะเกาะติดศาลาปีศาจลอยฟ้าของเจ้าไปตลอดอย่างงั้นเหรอ? เจ้าพวกกาฝาก!” หมิงซี่หยินได้เตะทุกคนลงไป
โจวเหวินเหลียง หวางเจียงหราง และจางซงต่างก็คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรามาโดยตลอด ผู้อาวุโสจี ขอบคุณสำหรับความเมตตา!”
หวางซื่อเจียยืนขึ้นเช่นกัน ตัวเขาหันไปมองโจวยู่ไคก่อนจะพูดออกมา “ประมุขโจว ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมักจะดูสถานการณ์ นกที่ดีมักจะเลือกต้นไม้ที่ทำรัง รักษาตัวด้วย”
“ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี…” โจวยู่ไคพยายามระงับความรู้สึกเอาไว้ในขณะที่มองดูหวางซื่อเจียขึ้นรถม้าไป
หวืออ! หวืออ! หวืออ!
รถม้าลอยฟ้าได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ
ลู่โจวมองงลงมาก่อนที่จะพูดอย่างเฉยเมย “บอกเม้งหนานเฟยในเรื่องที่ข้าบอกไปด้วยล่ะ”
โจวยู่ไคโค้งคำนับให้อย่างสุดตัว “ข้าจะบอกเขาทุกอย่างเอง!”