My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 572 ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีก่อน
ภายใต้การควบคุมของหมิงซี่หยิน รถม้าล่องเมฆาก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อโจวยู่ไคเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขามองไม่เห็นรถม้าคันเดิมอีกต่อไป ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้แต่นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน โจวยู่ไคใช้เวลาไปกว่าชั่วครู่ก่อนที่จะฟื้นตัว
เมื่อสาวกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เห็นรถม้าลอยไปจากสายตา ทุกคนที่เห็นแบบนั้นก็รีบบินเข้าหาผู้เป็นประมุขในทันที ทุกคนตกใจที่เห็นประมุขโจวนั่งอยู่กับพื้น บางคนลงไปช่วยพยุงตัวโจวยู่ไคให้ยืนขึ้นมา
สาวกหลายคนก้าวออกมาข้างหน้าด้วยความกังวล “ประมุขโจว ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ท่านประมุข มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าทำร้ายท่านมา? ท่านคงจะบาดเจ็บสาหัสอยู่สินะครับ?”
โจวยู่ไคลุกขึ้นยืนก่อนที่จะตบสาวกที่เรียกจีเทียนเด๋าขึ้นมาห้วนๆ “หุบปาก!” หลังจากที่ตบสาวกคนนั้นแล้วตัวเขาก็ได้พูดออกมา “เจ้ารู้จักคำว่า ‘ปากพาจน’ บ้างรึเปล่าล่ะ?”
สาวกคนนั้นเอามือแต่ไปที่แก้มของตัวเอง “ครับ”
“ประมุข พวกเราจะยังไปมณฑลหยานอยู่ไหม?”
“พวกเราจะไปทำไมกัน?” โจวยู่ไคไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองมณฑลหยานซะด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ เว้นแต่ว่าอยากจะตายเท่านั้น มีเพียงแค่คนแบบนั้นเท่านั้นที่อยากจะเข้าไปในเมือง
‘ข้าจะฟื้นฟูสถานศึกษาได้ยังไงในเมื่อสถานศึกษาข้าเต็มไปด้วยพวกโง่แบบนี้’
“กลับไปที่สถานศึกษาซะ” โจวยู่ไคออกคำสั่ง ตัวเขาที่ออกคำสั่งเสร็จได้ลอยขึ้นฟ้าไป
“ครับ ท่านประมุข” สาวกกว่า 1,000 คนได้บินตามขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง
ไม่นานหลังจากนั้นโจวยู่ไคก็ได้พูดต่อ “ไปที่สถานศึกษาผืนฟ้าก่อน”
“ครับ!”
…
ณ สถานศึกษาผืนฟ้าในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
เม้งหนานเฟย ประมุขแห่งสถานศึกษาผืนฟ้ากำลังจิบชาเพื่อสงบจิตใจของตัวเอง
แม้ว่าเม้งหนานเฟยจะกลับมานานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพที่ได้เห็น “นั่นมันภาพลวงตาอย่างงั้นเหรอ?”
“ท่านประมุข นั่นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่…พะ…พวกเราเองก็มองเห็นเช่นกัน มันจะต้องเป็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไม่ผิดแน่”
“ข้าเองก็เห็นเหมือนกัน! มันคือดอกบัวเก้ากลีบอย่างแน่นอน ท่านประมุข ยังดีที่พวกเราล่าถอยได้ทันเวลา!”
เม้งหนานเฟยมองไปที่สาวกทั้งสอง ในตอนนี้ตัวเขาไม่มีอารมณ์มากพอที่จะฟังสาวกทั้งสองคนออกความคิดเห็น
ในตอนนั้นเองก็มีสาวกคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา “ท่านประมุข ประมุขโจวแห่งสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่มาถึงที่นี่แล้ว!”
“ให้เขาเข้ามาซะ!”
ไม่นานนักโจวยู่ไคก็ได้เดินเข้ามา
เม้งหนานเฟยรีบเดินไปยังห้องโถงเพื่อพบโจวยู่ไค ตัวเขาที่เห็นโจวยู่ไคได้ทักทายด้วยรอยยิ้ม “ได้โปรดยกโทษให้พวกเราที่ไม่ได้ต้อนรับท่านให้ดีด้วยเถอะ ประมุขโจว ท่านเดินทางมาไกลจริงๆ”
“ข้าไม่มีเวลามากพอจะมาเสีย ผู้อาวุโสจีแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าฝากให้ข้านำข้อความมาส่งถึงเจ้า” โจวยู่ไคพูดออกมาอย่างกระวนกระวาย
“ข้อความอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้าน่ะมองเห็นเจ้าที่กำลังหนีไปได้อย่างชัดเจนเลยละ…”
“หนีไป? ใครที่หนี? ใครกันจะขี้ขลาดตาขาวแบบนั้นได้?” เม้งเฟยหนานได้ถามออกมาอย่างไม่รู้สึกละอาย
“เลิกเสแสร้งได้แล้วล่ะ…ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยเจ้า ยังไงซะข้าเองก็อยู่ที่นั่นด้วย” โจวยู่ไคพูดออกมา
“…”
หลังจากนั้นโจวยู่ไคก็เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขา ก่อนท้ายที่สุดแล้วตัวเขาจะถ่ายทอดข้อความของลู่โจวให้กับเม้งเฟยหนาน
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวยู่ไค เม้งเฟยหนานก็ได้แต่เดินโซเซถอยกลับมา เข่าของเขาสั่นเครือ ‘เกือบไปแล้วจริงๆ !’
เมื่อโจวยู่ไคมองเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของเม้งหนานเฟย ตัวเขาก็ได้พูดต่อ “เจ้าไม่ได้เชื่อถือจดหมายของโจวเหวินเหลียงเลยอย่างงั้นสินะ? โจวเหวินเหลียงเป็นถึงผู้อาวุโสคนที่ 2 แห่งสถานศึกษาไท่ชู”
“พี่โจว พอแค่นี้เถอะ ตอนนี้ข้ากลัวจนปัญญาแล้ว” เม้งหนานเฟยรีบโบกมือ ตัวเขารู้สึกโชคดีแล้วที่ไม่ได้แสดงตัว ถ้าหากตัวเขาแสดงความเห็นที่ผิดพลาดออกไปแม้แต่นิดเดียว ตัวเขาก็คงจะถูกพลังฝ่ามือจัดการไปแล้ว
…
หลังจากที่เมืองมณฑลหยานล่มสลายไป คนส่วนใหญ่ต่างก็มีความคิดเห็นเป็นสองความคิดเห็น
มีผู้ที่สนับสนุนสำนักอเวจีเพิ่มมากขึ้น สำนักที่ได้รับการสนับสนุนจากศาลาปีศาจลอยฟ้า สถานที่ที่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ ส่วนผู้คนที่เหลือก็ยังคงเชื่อมั่นในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาผู้ตัดดอกบัวทองคำเอง พวกเขาทั้งหมดต่างก็ฝึกฝนตัวเองใหม่อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เองทุกคนจึงมั่นใจว่าจะต้องมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นแน่
…
เช้าวันต่อมา ณ ศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากที่ทำสมาธิกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มาได้ระยะหนึ่ง ลู่โจวก็ได้ประเมินพลังวิเศษของเขาอีกครั้ง แม้ว่าในตอนนี้ตัวเขาจะสามารถทำสมาธิเพื่อเติมพลังได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาจะต้องใช้เวลากว่า 5 วันเพื่อเติมเต็มพลังให้สมบูรณ์พร้อมได้
“จนถึงตอนนี้ฉันก็มีแต้มบุญมากกว่า 100,000 คะแนนแล้ว มันถึงเวลาแล้วล่ะที่จะยกระดับพลังวรยุทธที่ตัวเองมี” ลู่โจวประเมินพลังวรยุทธภายในจุดพลังลมปราณ
ตัวเขาพยักหน้า ดูเหมือนว่าพลังที่มีจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ตัวเขาพัฒนาตัวเองได้ ลู่โจวไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้มาก่อน บางทีมันอาจจะเป็นผลมาจากการรวมคัมภีร์มนุษย์เข้ากับคัมภีร์โลกา ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นมาได้ยังไงแต่ยังไงซะมันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับลู่โจว
“ก่อนอื่นก็ต้องเพิ่มอายุขัยที่มีก่อน”
อายุขัยที่เหลือ 20,593 วัน
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้ใช้การ์ดพลังชีวิตไปอีกใบ
ในตอนนั้นพลังแห่งชีวิตจำนวนมากก็มารวมตัวกัน ด้วยการใช้การ์ดพลังชีวิตทำให้อายุขัยของลู่โจวเพิ่มมากขึ้น 500 วัน
แต่ครั้งนี้ลู่โจวได้รับพลังชีวิตเพียงแค่ 300 วันเท่านั้น
“57 ปีอย่างงั้นเหรอ…” ลู่โจวพอใจกับอายุขัยที่เหลืออยู่ สำหรับผู้ฝึกยุทธ เมื่อใดก็ตามที่เหลืออายุขัยไม่ถึง 100 ปี เมื่อนั้นพลังวรยุทธของคนคนนั้นก็จะถดถอยลง แต่สำหรับลู่โจวตราบใดที่ตัวเขาใช้การ์ดพลังชีวิตจนมีอายุขัยต่ำกว่า 900 ปีได้ พลังวรยุทธที่ตัวเขามีก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากอายุขัยอีก..
เมื่อคิดแบบนั้นลู่โจวก็ไม่รอช้า ตัวเขาได้สั่งการใช้บัตรพลังชีวิตอีกครั้ง “ใช้บัตรพลังชีวิตอีกครั้ง”
ศาลาตะวันออกถูกล้อมรอบไปด้วยพลังแห่งชีวิตจำนวนมากอีกครั้ง
ถ้าหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีต ทุกๆ คนในศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะตื่นตกใจ แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เคยชินกันแล้ว และเพราะแบบนั้นเองจึงไม่มีใครคิดว่ามันแปลกประหลาดอีกต่อไป
ในขณะที่พลังแห่งชีวิตมารวมตัวกัน ในตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งสี่แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็เหลือบมองมายังศาลาตะวันออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้าว่าท่านปรมาจารย์คงกำลังฝึกฝนวิชาลับบางอย่างอยู่แน่” ฮั๊ววู่เด๋าเหลือบมองไปที่ศาลาตะวันออกอย่างงุนงง
“วิชาลี้ลับอย่างงั้นเหรอ?”
“ดูนั่นสิ บนศาลาตะวันออก ที่ตรงนั้นมีพลังชีวิตอันมหาศาลกำลังมาบรรจบกัน ท่านปรมาจารย์คงจะอยู่เหนือกว่าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไปแล้วแน่ แล้วทำไมเขาถึงต้องดูดซับพลังอยู่แบบนี้?” ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกสงสัย
ซูยู่ชูส่ายหัวก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากมันเป็นวิชาลี้ลับจริง มันคงจะดีกว่าไหมถ้าหากดูดซับพลังชีวิตจากมนุษย์คนอื่นเอาน่ะ? ทำไมเขาจะต้องทำอะไรที่ยุ่งยากแบบนั้นด้วย?”
ฝานลี่เทียนแสดงความเห็นต่อ “ข้าว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น จะต้องมีอะไรบางอย่างที่คอยขัดขวางไม่ให้ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเราก้าวหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าท่านปรมาจารย์จะเป็นผู้พิเศษมากแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธอยู่ดี คงจะดีกว่าถ้าหากพวกเราทำความคุ้นเคยกับมัน ยังไงซะเดี๋ยวมันก็จบลงแล้วล่ะ”
“ผู้อาวุโสฝาน เจ้าพูดมีเหตุผล”
ซู่ววว!
เสียงก้องกังวานได้ดังมาจากด้านบนของศาลาตะวันออก
ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างก็เหลือบมองไปทางนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไหนเจ้าบอกว่ามันกำลังจะจบลงไง? มันยังดูไม่หยุดเลยซะด้วยซ้ำ?”
ฝานลี่เทียนตอบกลับ “บางทีการฝึกฝนอาจจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์…ข้าเองก็เคยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ในตอนนั้นข้าก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงถึง 2 ครั้งติดต่อกัน…”
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก ดูเหมือนว่าท่านปรมาจารย์จะได้รับพลังที่มากกว่าปกติสินะ
ครู่ต่อมาในที่สุดศาลาตะวันออกก็เงียบลง แต่ถึงแบบนั้นความเงียบสงบก็เกิดเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
ซู่วว!
เป็นอีกครั้งที่พลังแห่งชีวิตมาบรรจบกัน
“นี่มัน….” ฝานลี่เทียนดูงุนงง
“ผู้อาวุโสฝาน ดูเหมือนว่ามันยังไม่จบแค่นั้นนะ…” เล้งลั่วมองไปที่ฝานลี่เทียน
“มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ทั้งสี่คนต่างก็มองไปยังศาลาตะวันออก
หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างจบลง พลังชีวิตใหม่ก็เริ่มมาบรรจบกันอีกครั้ง
เรื่องแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายรอบ…
เมื่อพลังชีวิตมาบรรจบกันถึง 10 ครั้ง ผู้อาวุโสทั้งสี่แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็นั่งเงียบราวกับรูปปั้น
หลังจากที่ความโกลาหลหลายครั้งผ่านไป ในที่สุดทุกคนก็ฟื้นคืนสติ
ซูยู่ชูพูดขึ้น “ทำไมพวกเราไม่ยอมใช้ประโยชน์อะไรจากพลังชีวิตพวกนั้นกันล่ะ? พวกเราจะปล่อยให้พลังพวกนั้นจางหายไปอย่างงั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสทั้งสามคนต่างก็เหลือบมองมายังซูยู่ชู
เมื่อพลังงานชีวิตอันมหาศาลมาบรรจบกัน ในตอนนั้นย่อมมีพลังส่วนหนึ่งไหลรั่วมาอย่างสิ้นเปลือง พลังตรงนั้นไม่ควรที่จะถูกปล่อยไปอย่างสูญเปล่า
“ท่านพูดมีเหตุผลจริงๆ …”
ผู้อาวุโสทั้งสี่คนของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็เดินทางไปยังศาลาตะวันออก ในตอนนั้นทุกคนก็ได้พบกับพลังแห่งชีวิต พลังแห่งชีวิตที่ไม่ได้รับการดูดซับจะรั่วไหลออกไปเอง ถ้าหากพลังแห่งชีวิตจะต้องสลายหายไปฟรีๆ มันจะดีกว่าไหมถ้าหากทุกคนเก็บเกี่ยวพลังเอาไว้กับตน?
ผู้อาวุโสทั้งสี่ยืนอยู่ที่ด้านนอกของศาลาตะวันออกแล้ว เมื่อมองขึ้นไปทุกคนก็ได้เห็นพลังชีวิตอันมหาศาลมารวมตัวกัน
ทุกคนต่างก็เหลือบมองไปที่ด้านบนศาลา ทุกคนต่างก็สบตากันเมื่อได้เห็นแบบนั้น ในตอนที่ทุกคนอยู่ในห้องโถง ทุกคนก็เริ่มทำสมาธิก่อนจะควบคุมลมหายใจ
ที่รอบห้องของเขาเต็มไปด้วยพลังชีวิต มันเป็นพลังชีวิตที่ไหลผ่านเข้ามาในห้องอย่างไม่หยุดพัก