My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 574 จีเทียนเด๋า ยอดผู้ฝึกยุทธ
ในตอนแรกทุกคนรู้สึกประทับใจเล็กน้อยที่ฝานลี่เทียนสามารถคิดอะไรเช่นนั้นได้ ยังไงซะเขาคนนี้ก็คือยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ตัวเขาก็กลายเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า แล้วทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเหตุผลที่แสนง่ายเหมือนกับในตอนนี้? ท่านปรมาจารย์ในตอนนี้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ก่อนแล้ว แล้วทำไมเขาถึงต้องผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ในตอนนี้ด้วย? ท่านปรมาจารย์ย่อมไม่อาจผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ นั่นแปลว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าพยายามที่จะใช้วิชาใหม่ๆ มากกว่า!
ในที่สุดผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้ละสายตาไปจากฝานลี่เทียนผู้โง่เขลาก่อนที่จะมองไปยังศาลาตะวันออกที่ลู่โจวอาศัยอยู่
ซูยู่ชูเริ่มต้นพูดอีกครั้ง “เมื่อ 500 ปีก่อน ทุกคนต่างก็เกรงกลัวและเคารพข้าในฐานะอัจฉริยะแห่งลัทธิขงจื๊อ ในเวลานั้นพลังวรยุทธที่พี่ใหญ่มีไม่ได้ลึกล้ำอะไรมากมาย แต่ถึงแบบนั้นข้าก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ไม่ใช่คนธรรมดา และเมื่อ 300 ปีก่อนพี่ใหญ่ก็สามารถปีนขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดในฐานะผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ และก็อย่างที่พวกเจ้าได้เห็น ข้าน่ะพรสวรรค์ก็จริง แต่ข้ากลับโง่เขลาในตอนที่ยังเป็นเด็ก ข้าพลาดไปแล้วจริงๆ …”
“ช้าก่อน…” ฝานลี่เทียนยกมือขึ้น “พวกเราควรจะทิ้งเรื่องในอดีตเอาไว้ก่อน”
“หญิงชราคนนี้จะนึกถึงคืนวันอันรุ่งโรจน์ไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ?” ซูยู่ชูพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เล้งลั่วเงียบ เขาทำได้แค่เพียงมองทุกคน ‘ข้าน่ะไม่แปลกใจเลยที่เจ้าฝานลี่เทียนยังคงเป็นโสดอยู่’
คำพูดของฝานลี่เทียนทำให้ซูยู่ชูหมดอารมณ์ที่จะพูดต่อ
ผู้อาวุโสทั้งสี่เหลือบมองไปยังศาลาตะวันออกอีกครั้ง
ทุกอย่างเงียบลง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากศาลาตะวันออกอีกต่อไป
…
ภายในศาลาตะวันออก
ลู่โจวกำลังมองดูกลีบดอกบัวทองคำทั้งห้าบนฝ่ามืออย่างพึงพอใจ
ในโลกของการฝึกยุทธ มีเพียงผู้ที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริง และสำหรับผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหนึ่งกลีบจนไปถึงสี่กลีบจะถือเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบเป็นต้นไป พวกเขาเหล่านั้นจะถูกนับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ยิ่งใหญ่ และในตอนนี้ลู่โจวก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลู่โจวที่ได้เห็นแบบนั้นก็ได้กำหมัดก่อนที่ร่างอวตารจะหายจางไป ตัวเขารู้สึกค่อนข้างพอใจกับตัวเอง ลู่โจวมองไปรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นตัวเขาก็เดินไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ในใจกลางห้อง ตัวเขากำลังเหลือบมองภาพวาดอันเก่าแก่นั่นเอง
ภาพวาดยังคงแสดงแผนที่ของดินแดนหยานเหมือนกับเมื่อก่อน เส้นที่มีดูคมชัดมากยิ่งขึ้นแม้ว่าเวลาจะผ่านเลยมา
“ถ้าหากทุกอย่างที่ปรากฏบนภาพวาดนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ เบาะแสในการค้นหาคัมภีร์ม้วนอื่นๆ ก็คงจะอยู่ในดินแดนหยานสินะ”
ลู่โจวถอนหายใจออกมาเบาๆ ตัวเขายังคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคริสตัลแห่งความทรงจำ ในทำนองเดียวกันความคืบหน้าในการตามหาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ทั้งสามส่วนเองก็ยังหยุดนิ่งอีกด้วย
“เจ้านี่มันเป็นแผนที่ที่ไร้ประโยชน์ซะจริง แล้วฉันควรจะทำยังไงดี?”
ลู่โจวเดินออกมาจากห้อง
เอี๊ยดด!
ลู่โจวเปิดประตูก่อนที่จะเดินข้ามธรณีประตูในขณะที่เอามือไขว้หลัง ตัวเขาที่ยืนอยู่บนศาลาตะวันออกกำลังเหลือบมองลงมา
ผู้อาวุโสทั้งสี่ที่ยังไม่จากไปไหนต่างก็หันไปมองลู่โจวอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันทีที่หันไปทุกคนก็ได้แต่ตกตะลึง ทุกคนต่างก็ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
แม้ว่าเสื้อผ้า ท่าทาง รวมไปถึงพลังออร่ารอบตัวของลู่โจวจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่เส้นผม แววตา และแม้แต่ผิวเองกลับเปลี่ยนแปลงไป มันเปลี่ยนแปลงไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“นี่…นี่คือน้องชายของท่านปรมาจารย์ใช่รึเปล่า?” ฮั๊ววู่เด๋าถามออกมา
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพี่ใหญ่จะมีน้องชาย…”
“ข้าสงสัย…ข้าสงสัยว่ามีใครแอบอ้างเป็นเขา”
“เป็นไปไม่ได้! เว้นแต่ว่าจะเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบเท่านั้น! ไม่มีใครสามารถล่วงเกินท่านปรมาจารย์และหลบหลีกพวกเราทั้งสี่คนในเวลาเดียวกันได้ มีเพียงคนที่มีพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นได้ หรือว่าคนคนนั้นได้ปลอมตัวเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?” ทั้งสี่คนหันมาสบตากัน นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาทุกคนต่างก็คิดว่าสมเหตุสมผลมากที่สุดแล้ว
ซูยู่ชูเดินไปพร้อมกับไม้เท้ามังกรขดของนาง หลังจากนั้นนางก็โค้งคำนับก่อนจะพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านในตอนนี้…ดูอ่อนกว่าวัยไปกว่า 500 ปีซะอีก”..
ลู่โจวรู้สึกดีที่รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาได้ทำให้ผู้อาวุโสทั้งหมดตื่นตกใจ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม…ดูเด็กลง 500 ปีมันไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงไปหน่อยเหรอ? แม้ว่าลู่โจวจะเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้กังวลว่าผู้อาวุโสทั้งสี่จะสามารถสร้างปัญหาที่นี่ได้ แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งหมดวางแผนที่จะต่อต้านตัวเขาก็ตาม แต่ลู่โจวก็ยังสามารถจัดการทุกคนได้อย่างง่ายดายด้วยพลังวิเศษรวมไปถึงการ์ดที่มี ไม่ว่าจะยังไงลู่โจวก็มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับผู้อาวุโสทั้งสี่
ฝานลี่เทียนได้คารวะก่อนจะพูดขึ้น “ท่านดูแข็งแรงขึ้นมากจริงๆ แน่นอนว่าพลังวรยุทธที่ท่านมีเองก็ดูสูงขึ้นด้วย”
ฮั๊ววู่เด๋าพูดต่อ “ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวลงบันไดมา ในขณะที่ลงตัวเขาก็ได้เหลือบมองผู้อาวุโสทั้งสี่ก่อนที่จะพูดขึ้น “การผลิกลีบดอกบัวเพียงกลีบเดียวสามารถเพิ่มอายุขัยได้ 50 ปี แต่ข้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการผลิกลีบดอกบัวกลีบที่เก้ามันสามารถเพิ่มอายุขัยได้กี่ปีกันแน่”
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็ได้แต่ตื่นตกใจ เป็นไปตามที่คาดไว้ พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบสามารถยืดอายุขัยของผู้ฝึกยุทธได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากพิจารณาถึงรูปลักษณ์ที่มี อายุขัยที่เพิ่มขึ้นคงจะไม่ต่ำกว่า 50 ปีอย่างแน่นอน แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้รับรู้กลิ่นอายอะไรที่น่ากลัวจากตัวลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ไม่กล้าทำอะไรล่วงเกินเขา
เล้งลั่วคารวะก่อนที่จะพูดต่อ “ดูเหมือนว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบของท่านจะเสถียรแล้ว ท่านปรมาจารย์ ข้าในตอนนี้ช่างไร้ฝีมือ ข้าจะรีบกลับไปฝึกฝนตัวเอง”
“ข้าเองก็จะกลับไปฝึกฝนเช่นกัน”
ฮั๊ววู่เด๋าและซูยู่ชูเองก็ไม่กล้าพอที่จะยืนอยู่ต่อ
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้โบกมือก่อนจะตอบกลับไป “ไปซะ”
ลู่โจวในตอนนั้นกำลังจะกลับไปทำสมาธิกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ แต่ไม่ทันที่จะได้ไปไหนหมิงซี่หยินก็ปรากฏตัวออกมาซะก่อน
“สวัสดีครับท่านอาจารย์”
“มีอะไรกัน?”
หมิงซี่หยินโค้งคำนับให้ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ การฟื้นฟูขององค์หญิงหย่งหนิงใกล้จะเสร็จสิ้นเต็มที ข้าตั้งใจที่จะให้นางอยู่ที่นี่ต่อ แต่นางยืนยันที่จะกลับไป พวกเราควรจะให้นางอยู่ที่นี่หรือจะส่งนางไปดีครับ?”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อตัวเขาได้ต่อสู้กับจักรพรรดิหย่งโชวอย่างหลิวเก้อ ในตอนนั้นหย่งหนิงและจ้าวยู่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ยังไงซะทั้งสองคนก็มาจากราชสำนัก มันคงจะเป็นการดีกว่าที่ให้ทั้งสองคนหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ ตั้งแต่หลิวเก้อตายไป มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรถ้าหากทั้งคู่จะเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้
“พวกเราควรจะเคารพการตัดสินใจของนาง บอกสีวู่หยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ” ลู่โจวตอบกลับ
“ครับ ท่านอาจารย์”
หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็พูดต่ออย่างติดๆ ขัดๆ “ยัง…ยังมีอีกเรื่องครับ ศะ…ศิษย์พี่ใหญ่ได้ส่งจดหมายมา…ศิษย์พี่ได้เขียน…ไว้ว่า…”
“หืม?” ลู่โจวขมวดคิ้ว
หมิงซี่หยินที่เห็นลู่โจวขมวดคิ้วเริ่มพูดอย่างเร่งรีบ “ศิษย์พี่ใหญ่ได้บอกว่ารู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือของท่านอาจารย์ การที่ท่านอาจารย์ปรากฏตัวเพื่อข่มขู่กำลังเสริมของมณฑลหยานได้ทำให้เขาพิชิตมณฑลหยานได้ ท้ายที่สุดแล้วศิษย์พี่ก็ขอให้ท่านอาจารย์ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของเขาในอนาคตอีก”
“เจ้าสารเลว!”
หมิงซี่หยินพูดแทรก “ชะ…ใช่แล้ว…เจ้าสารเลวนั่น! เจ้านั่นกล้าดียังไงมาคุยกับท่านอาจารย์อย่างสามหาวแบบนี้! ท่านอาจารย์ ท่านควรจะทำอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการ แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของท่าน แต่การที่เขาไม่ตอบรับน้ำใจท่านและยังยับยั้งเป็นอะไรที่ไม่อาจจะให้อภัยได้ ท่านอาจารย์จะต้องสอนเขาให้รู้ถึงความเคารพแล้วล่ะ!”
ลู่โจวเหลือบมองหมิงซี่หยินก่อนจะพูดออกมา “ในเมื่อเจ้านั่นชอบทำอะไรอย่างยากลำบาก ก็ปล่อยมันไปเถอะ…ข้าไม่มีเวลาที่จะไปเสียกับเจ้านั่น”
“ท่านอาจารย์ได้โปรดสงบใจไว้ก่อน”
หลังจากที่คำนวณ ลู่โจวพบว่ายู่เฉิงไห่เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่จะหมดเวลา มันไม่ง่ายเลยที่จะใช้เวลาแค่นั้นพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ลู่โจวไม่คิดที่จะช่วยู่เฉิงไห่อีกต่อไป “ยี่เทียนซินเป็นยังไงบ้าง?”
“ศิษย์น้องหกปลอดภัยแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่านางได้สูญเสียพลังชีวิตไปกว่าหลายปีด้วยกัน…ข้าสงสัยว่านางจะฟื้นตัวจากการสูญเสียพลังชีวิตที่มีได้ไหม แต่มันก็ดีมากแล้วที่นางยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากนางได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ดีต่อนาง นางจะต้องอาการดีขึ้นแน่ ท่านอาจารย์จะให้ข้าเรียกนางมาพบไหม?”
“ไม่จำเป็น”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นข้าจะเขียนจดหมายตอบกลับศิษย์พี่ใหญ่เอง…ข้าจะสั่งสอนให้เขาทำตัวให้เหมาะสมกว่านี้ ท่านอาจารย์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ!” ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบ ตัวเขาก็จากไปด้วยความเคารพ
…
ณ ค่ำคืนหนึ่งในเมืองมณฑลหยาน
ยู่เฉิงไห่กำลังเอามือไขว้หลังในขณะที่มองไปยังฮั๊วจงหยาง
ฮั๊วจงหยางในตอนนี้กำลังอ่านจดหมายออกมาดังๆ “ท่านสี่ได้บอกเอาไว้ว่าท่านไม่ควรจะต่อต้านผู้อาวุโสจี ผู้อาวุโสจีน่ะแก่มากแล้ว และนอกจากนี้การพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านสี่ได้บอกเอาไว้ว่าท่านควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ”
สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่สี่ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้า “ท่านอาจารย์คงจะโกรธในสิ่งที่ข้าเขียนไปแน่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอีกแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือการเดินหน้าต่อ…”
“ศิษย์พี่ใหญ่ มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าหากปล่อยให้ท่านอาจารย์ช่วยพวกเรา? ทำไม…” สีวู่หยาไม่อาจเข้าใจความดื้อด้านที่ยู่เฉิงไห่มีได้เลย ตัวเขารู้ดีว่าศิษย์พี่คนนี้ต้องการที่จะพิชิตโลก และยู่เฉิงไห่ก็ได้ทำงานอย่างหนักก็เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะพบผู้เป็นอาจารย์มาโดยตลอด มันถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วที่ได้เวลามากว่า 6 เดือน และหนำซ้ำผู้เป็นอาจารย์ก็ยังช่วยข่มขู่สถานศึกษาทั้ง 2 ให้อีก แล้วทำไมศิษย์พี่คนนี้ถึงยังต้องดื้อรั้นอยู่?
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจ ตัวเขาโบกมือให้กับคนอื่นๆ “นอกเหนือจากศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้าคนอื่นออกไปก่อน”
“ครับ”
ทุกๆ คนรู้ดีว่ายู่เฉิงไห่ต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
ห้องโถงได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ในตอนนี้เหลือเพียงยู่เฉิงไห่และสีวู่หยา
สีวู่หยาไม่ได้พูดอะไรออกมา ตัวเขากำลังรอให้ฝ่ายผู้เป็นศิษย์พี่เป็นผู้เริ่มต้นพูด
หลังจากที่เงียบไปนานยู่เฉิงไห่ก็พูดออกมา “ข้า…ข้าน่ะคงอยู่ได้อีกไม่นาน”