My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 582 เขตแดนพลังทั้งสิบ
ยู่เฉิงไห่มองไปที่สีวู่หยาที่กำลังใช้ความคิดอยู่ “ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า พวกเราจะจัดการประตูทางตะวันตกกับทางใต้ยังไงดีล่ะ?”
สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะตอบกลับมา “ปล่อยให้คนของพวกเราที่นั่นต่อสู้ต่อไปนั่นแหละ ถ้าหากศัตรูบุกเข้ามาเราก็จะถอยกลับ แต่ถ้าหากพวกเขาถอย เราก็จะก้าวต่อ ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่มีหน้าที่อะไรให้มารวมตัวกันที่ประตูตะวันออก”
“ดี” ยู่เฉิงไห่รีบเรียกสาวกก่อนจะถ่ายทอดคำสั่ง
สีวู่หยามองลงไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ว่ายังไงก็ตามเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังใหญ่มาก ภายในนั้นอาจจะมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ ในรัศมีรอบๆ ประตูตะวันออกหลายไมล์ ถ้าหากมีศัตรูผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบปรากฏตัวขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็คงจะพึ่งพาศิษย์พี่ได้คนเดียว ศิษย์พี่จะจัดการกับศัตรูทั้งหมดได้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ?”
ยู่เฉิงไห่ดูสงบและยังคงมั่นใจไม่เปลี่ยนแปลง สีวู่หยารู้สึกสงสัยถึงความมั่นใจที่ยู่เฉิงไห่มี และเป็นเพราะเหตุผลที่ไม่อาจรู้ได้ สีวู่หยายังรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป สีวู่หยาไม่อาจสงบใจได้เลย ตัวเขาทำงานอย่างหนักก็เพื่อพิชิตดินแดนหยาน พิชิตโลกใบนี้ สาวกจากสำนักอเวจีเองก็เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วคนที่ต้องเผชิญหน้ากับหลิวกู่ องค์จักรพรรดิปัจจุบันก็คือยู่เฉิงไห่
…
ครึ่งวันต่อมา ณ ประตูเมืองด้านทิศตะวันตก
ผู้นำทัพย่อยของสำนักอเวจีทั้งสี่อย่างหนิงจินซุย เฉียนฮู่ เม้งจือฉานและกงเฟิง ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองประตูเมืองทางทิศตะวันตกในที่ที่ห่างไกล “เป็นไปตามคาดจริงๆ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยังคงยืนหยัดอยู่ได้แม้จะถูกพวกเราล้อมแล้วก็ตาม”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป…ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว อดทนต่อไปทุกคน!”
สาวกของสำนักอเวจีนับร้อยต่างก็บินขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในเวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังขั้นมหาราชครูจำนวนมากก็ลอยขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายเริ่มเข่นฆ่ากันในทันที ในระหว่างที่ปะทะกันมีพลังอวตารจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ทุกๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงแห่งการสู้รบ
“ทหารจากราชสำนักมาแล้ว!” หนิงจินซุยชี้ไปยังทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังบินตรงมา
ทหารทั้งหลายกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเมืองก่อนที่จะใช้ร่างอวตารที่มี ทหารทั้งหมดได้จู่โจมเหล่าสาวกจากสำนักอเวจีด้วยพลังอวตารทศภพอย่างไม่ออมมือ
อีกด้านหนึ่งสาวกสำนักอเวจีผู้มีพลังขั้นมหาราชครูทุกคนต่างก็ถูกทหารจากราชสำนักถาโถมจู่โจมเข้าใส่ สาวกกว่าหลายสิบคนตกลงจากกำแพงเมืองในทันที
หนิงจินซุยที่เห็นเหตุการณ์เริ่มขมวดคิ้ว “ทหารของราชสำนักแข็งแกร่งใช่เล่น พวกเราเตรียมพร้อมให้ดี!”
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ต่างก็บินไปด้านหน้า
ในบรรดาทหารของราชสำนักกว่าหลายสิบคน มีผู้ฝึกยุทธร่างเล็กคนหนึ่งที่ไม่ได้ดูสะดุดตาอะไร คนคนนั้นได้เรียกพลังอวตารออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าหาผู้นำทัพย่อยทั้งสี่แห่งสำนักอเวจี
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
“ดอกบัวทองคำสี่กลีบ!”
พลังอวตารที่ปรากฏขึ้นทำให้สมาชิกของสำนักอเวจีกว่าหลายสิบคนตกจากกำแพงเมือง
“เจ้านั่นจงใจปกปิดพลังวรยุทธที่มีอย่างงั้นเหรอ?” หนิงจินซุยและผู้นำทัพย่อยอีกสามคนรีบพุ่งเข้าหาทหารคนนั้น
ทั้งสี่คนยังคงใช้พลังฝ่ามือจู่โจมทหารต่อไป
ซู่วว!
“พลังอรหันต์กายาทองคำ!” พลังอรหันต์กายาทองคำ พลังอวตารของชาวพุทธได้ปรากฏตัวขึ้น
“ธยานะมุทรา!”
ทหารคนนั้นใช้วิชาผสานก่อนที่จะป้องกันพลังฝ่ามือของเหล่าผู้นำทัพย่อยไว้ได้
“ชาวพุทธอย่างงั้นเหรอ?”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหลือบมองกันจากในระยะไกล
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ต่างก็สาปแช่งยอดฝีมือชาวพุทธจากในระยะไกล
“เจ้านักบวชชั่ว! พวกเจ้าที่มัวแต่สวดมนตร์ไปวันๆ มีธุระอะไรที่นี่กัน? คิดที่จะต่อต้านสำนักอเวจีอย่างงั้นสินะ? ข้าไม่นึกมาก่อนว่านักบวชเองก็อยากเอาชีวิตมาทิ้ง” หนิงจินซุยพูดสาปแช่งนักบวชที่ได้พบ
ทหารคนนั้นได้เงยหน้าขึ้น ฝ่ามือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน “อมิตาพุทธ ข้ามีชื่อว่าจือซุย อาจารย์ของข้ามีชื่อว่ากงหยวน เจ้าอาวาสวิหารแห่งความว่างเปล่า อาจารย์ข้าถูกจีเทียนเด๋าสังหารในสุสานแห่งดาบ สำนักฝ่ายอธรรมทำชั่วมาโดยตลอด ข้าในฐานะคนพุทธจะอยู่เฉยมองดูพวกเจ้าก่อกรรมต่อไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยได้ยังไงกัน?”
“ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป ทุกความแค้นที่เกิดย่อมมีผู้ก่อ เจ้าในฐานะลูกศิษย์ของกงหยวน อาจารย์ของเจ้าถูกผู้อาวุโสจีแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าฆ่าตายไป แล้วทำไมเจ้าไม่ไปทวงคืนความยุติธรรมให้กับอาจารย์เจ้าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?” หนิงจินซุยหรือสึกสมเพชกับจือซุย
จือซุยยิ้มจางๆ “แล้วมันไม่เหมาะหรือไงกันที่ข้าจะยื่นมือช่วยเหลือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในยามที่มีวิกฤต? ไม่ว่าจะยังไงก็ตามวันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้า! เจ้าพวกอธรรมน่ะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ข้าในฐานะคนพุทธจะสอนบทเรียนให้กับพวกเจ้าแทนอาจารย์ของข้าเอง!”
ทันทีที่จือซุยพูดจบ ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้ใช้งานพลังอรหันต์กายาทองคำอีกครั้ง พลังอวตารในรูปแบบของชาวพุทธได้ส่องแสงสีทองก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้นำทัพย่อยทั้งสี่
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ต่างก็ปลดปล่อยฝ่ามือ พลังฝ่ามือของทุกคนได้เข้าปะทะกับร่างอวตารของจือซุย
ตู๊ม!
พลังธยานะมุทราถูกใช้งานอีกครั้ง
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ที่ร่วมมือกันกระเด็นกลับมา!
ในตอนนั้นเอง ณ ต้นไม้ที่สูงตระหง่านทางด้านประตูตะวันตก จู่ๆ ก็มีลูกศรพลังงานที่ดูสวยงามพุ่งตรงมา ลูกศรพลังงานดูหนาราวกับแขนของคนคนหนึ่ง ลูกศรพลังงานถูกยิงไปยังจือซุยราวกับฝนดาวตก
จือซุยตกตะลึง เขารีบประสานฝ่ามือเพื่อป้องกันลูกศรพลังงาน น่าเสียดายที่ลูกศรพลังงานยังคงเดินหน้าต่อได้
ตู๊ม!
จือซุยพลิกตัวกลับ! “นี่มันยอดมือธนู?!”
สาวกจากสำนักอเวจีต่างก็หันไปมองต้นไม้ที่สูงตระหง่าน ที่ตรงนั้นมีชายชรากับเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ทั้งสองคนกำลังเหลือบมองมายังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ฮั๊วยู่จิงยังคงดึงสายธนูจันทราต่อไป “ฝนดาวตกจันทรา!”
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ลูกศรพลังงานหลายลูกได้พุ่งออกจากระหว่างนิ้วของฮั๊วยู่จิง ลูกศรทั้งหลายถาโถมเข้าใส่ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านบนกำแพงเมือง ลูกศรพลังงานแต่ละลูกสามารถจัดการกับทหารแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย
ฮั๊วยู่จิงไม่ได้สนใจจือซุย นางยังคงเปิดฉากการโจมตีทหารอย่างบ้าคลั่งต่อไป
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นบนกำแพงเมืองก็เปียกโชกไปด้วยเลือด บนนั้นมีซากศพจำนวนมากนอนกองอยู่
“ช่างเป็นการยิงอะไรที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้!” หนิงจินซุยชื่นชมจากใจจริง “พี่น้องทั้งหลาย ตอนนี้แหละโจมตีต่อไป!”
เป็นเพราะการสนับสนุนทำให้สาวกชาวสำนักอเวจีมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น!
จือซุยมองไปที่ฮั๊วยู่จิงที่ยืนอยู่บนยอดไม้ด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้ว จือซุยที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะกระโดดออกจากกำแพงเมืองก่อนจะบินออกจากประตูเมืองทางด้านตะวันตกโดยไม่พูดไม่จาอะไร สำหรับผู้ที่ฝึกฝนจนมีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ระยะทางกว่าหลายพันเมตรไม่ได้ไกลอะไรสำหรับพวกเขาเลย
จือซุยพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าพวกไม่รักดี!” จือซุยประสานฝ่ามืออีกครั้ง ครั้งนี้ตัวเขาได้ใช้พลังอวตารมาพร้อมกับพลังธยานะมุทราอย่างพร้อมเพรียงกัน จือซุยได้ใช้พลังทั้งสองอย่างก็เพื่อใช้ฝ่ามือวัชระจู่โจม!
ฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่จือซุยอย่างไม่พอใจ “เจ้านักบวชไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
ฮั๊ววู่เด๋ากระโดดออกไปก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนฟ้า ตัวเขาต้องการที่จะสกัดกั้นการโจมตีนั่นเอง พลังผนึกตราประทับทั้งหกได้ปรากฏขึ้นจากตัวของฮั๊ววู่เด๋า หลังจากที่ผ่านการตัดดอกบัวทองคำและฝึกฝนตัวเองใหม่ ในตอนนี้ฮั๊ววู่เด๋าก็สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบได้แล้ว
ดวงตาของจือซุยเบิกกว้าง “ไม่!”
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
มือของพลังอวตารอันใหญ่ได้คว้าพลังฝ่ามือของนักบวชชาวพุทธไว้ได้
“ไสหัวไปซะ!” จือซุยไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว
“เจ้านักบวชชั่ว! วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
พลังตัวอักษรทั้งเก้าตัวได้ปรากฏขึ้น พลังทั้งหมดได้กระแทกเข้าใส่ร่างของจือซุยไปเต็มๆ
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ถ้าหากไร้ซึ่งพลังอรหันต์กายาทองคำแล้ว ร่างของจือซุยเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากร่างอันแสนเปราะบาง ท้ายที่สุดแล้วพลังผนึกตราประทับทั้งหกของฮั๊ววู่เด๋าก็ได้จู่โจมเข้าใส่
ตู๊ม!
จือซุยล้มลงไปกับพื้น สิ้นสุดการโจมตีนักบวชคนนี้ก็ได้หยุดหายใจไปในทันที
ฮั๊ววู่เด๋าเหลือบมองไปยังกำแพงเมืองก่อนจะพูดต่อ “ยู่จิง จู่โจมต่อไป! ตราบใดที่ข้ายืนอยู่จะต้องไม่มีใครเข้าใกล้เจ้าได้แน่!”
“ค่ะ!” ฮั๊วยู่จิงรู้สึกมีพลังมากกว่าเดิม เมื่ออยู่ภายใต้การคุ้มครองของฮั๊ววู่เด๋าแล้ว นางจึงสามารถยิงธนูได้อย่างดุเดือดมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่มีทหารปรากฏตัวบนกำแพงเมือง ฮั๊วยู่จิงก็สามารถจัดการทุกคนได้ด้วยลูกศรพลังงานที่มี…
บัดนี้ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ได้ต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าแล้ว
เมื่อไร้ซึ่งยอดฝีมือ ทหารรักษาการณ์ทั้งหลายก็ไม่อาจตอบโต้หรือป้องกันตัวเองได้เลย ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะตอบโต้ยอดมือธนูอย่างฮั๊วยู่จิงที่อยู่ไกลกว่าหลายพันเมตรได้
“ท่านเจ้าสำนักได้สั่งให้พวกเราทิ้งคนไว้ที่นี่ 3,000 คนเพื่อก่อกวนและดึงดูดความสนใจของทหารรักษาการณ์ต่อไป ทุกคนที่เหลืออยู่จงไปสมทบที่ประตูตะวันออก!”
“รับทราบ!”
…
วันถัดมา ณ ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นก่อนที่จะวัดพลังวิเศษที่มี พลังของเขาในตอนนี้ถูกเติมเต็มจนเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว
เมื่อเทียบกับในอดีต ในตอนที่มีเพียงคัมภีร์มนุษย์ ลู่โจวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขากักเก็บพลังวิเศษได้มากกว่าเดิม จากพลังวรยุทธในก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะไม่มีพลังวิเศษอยู่แต่ลู่โจวก็ยังรับมือกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบได้แน่
ลู่โจวตัดสินใจหยุดทำสมาธิก่อนที่จะเดินออกจากศาลาตะวันออก ตัวเขาได้เหยียดแขนขาก่อนที่จะผ่อนคลายไปกับวิวทิวทัศน์
ในเวลานั้นเองต้วนมู่เฉิงก็รีบเข้าหา “ท่านอาจารย์ มีจดหมายจากหลี่หยุนเฉา”
“หลี่หยุนเฉา?”
“ท่านอาจารย์โปรดดู” ต้วนมู่เฉิงยื่นจดหมายให้
ลู่โจวเปิดจดหมายก่อนที่จะอ่านมัน เมื่ออ่านจดหมายจบตัวเขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “เจ้าอ่านมันรึยัง?”
ต้วนมู่เฉิงพยักหน้า ตัวเขาคุกเข่าในทันที “ข้าเต็มใจที่จะไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์!”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง “แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“แต่ยังไงซะเขาก็ยังเป็นศิษย์ของท่าน!” ต้วนมู่เฉิงโต้กลับ
“เจ้าเคยคิดบ้างไหม? ถ้าหากสิ่งที่หลี่หยุนเฉาพูดเป็นความจริง เจ้าไม่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองจะเกลียดเจ้ามากขึ้นอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวถาม..
“เอ่อ…” ต้วนมู่เฉิงตกตะลึง
แม้จะดื้อด้านแต่ถ้าหากไร้พลังมันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เรื่องแบบนี้มันก็เหมือนกับเรื่องของฮั๊ววู่เด๋า ฮั๊ววู่เด๋าเป็นชายที่ฝึกฝนวิชาผนึกตราประทับทั้งหกโดยใช้เวลากว่า 20 ปี ตัวเขาได้ใช้เวลาทั้งหมดเพียงเพื่อที่จะต่อสู้กับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ต่อสู้เพื่อเอาชนะปมที่มี ฮั๊ววู่เด๋าไม่ต้องการแม้แต่ความช่วยเหลือจากสำนักหยุน ตัวเขายังยอมที่จะขับไล่ลูกศิษย์ที่มีไปก็เพราะการต่อสู้นั้น ถึงแม้ความมุ่งมั่นจะเป็นสิ่งดี แต่ถ้าหากมันอยู่ผิดที่ผิดเวลามันก็มีแต่เสียแรงเปล่า
เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน เท่ากับเป็นอาจารย์ตลอดไป ลู่โจวก็คงจะไม่มีทางอยู่เฉยแน่ถ้าหากรู้ว่าศิษย์ของเขาจะต้องตกที่นั่งลำบาก ตัวเขายังจำได้ดีว่ายู่เฉิงไห่ต้องพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายจนเสียชีวิตไปถึงสองครั้งแล้ว…
“ช้าก่อน” ลู่โจวยกมือขึ้น
“ท่านอาจารย์?” ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างสับสน ตัวเขารู้เพียงว่าผู้เป็นอาจารย์คนนี้ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว
“ส่งจดหมายหาสีวู่หยา ข้าต้องการที่จะยืนยันการตายสองครั้งของยู่เฉิงไห่!”
“ครับ!”
…
สองวันต่อมา
เช้าวันนี้ยังคงเป็นเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันออกตามปกติ
หมอกยามเช้าได้ปกคลุมภูเขาทองเช่นเคย และในวันนี้เองก็เป็นวันที่ลู่โจวออกมายืดเส้นยืดสายอีกครั้ง
เช้าวันนี้ต้วนมู่เฉิงก็ได้กลับมา เขากลับมาที่ศาลาตะวันออกพร้อมกับจดหมายในมือ “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเจ็ดตอบกลับมาแล้ว”
“ส่งมาซะ” ลู่โจวรีบรับจดหมาย หลังจากที่อ่านจดหมายทั้งหมดตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “ศิษย์ไม่รักดียังไงก็ยังเป็นศิษย์ไม่รักดีสินะ”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่ตายสองครั้งแล้วจริงๆ เหรอ?” ต้วนมู่เฉิงตื่นตกใจ
“มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาววู่เฉียน ชาววู่เฉียนสามารถคืนชีพได้ถึงสามครั้งด้วยกัน ทุกครั้งที่มีการคืนชีพ คนคนนั้นจะสูญเสียอายุขัยกว่า 300 ปี ในตอนนี้ข้าเกรงว่า…ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
“…” ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก ในตอนนี้จิตใจของเขาว่างเปล่า
…
ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สำนักอเวจีสามารถพิชิตประตูเมืองทางด้านตะวันออกและด้านเหนือได้แล้ว
หลังจากที่ผ่านไปกว่าห้าวัน สาวกจากสำนักอเวจีกว่า 100,000 คนก็เข้ามาในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้
ณ เมืองที่มีพื้นที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยร่องรอยและซากปรักหักพังที่เกิดจากการต่อสู้
“เอารถม้าลงได้”
รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีเริ่มลอยลงมา หลังจากที่ผ่านการต่อสู้กว่าหลายวัน รถม้าคันนี้ก็ได้รับความเสียหายมามากพอแล้ว
“ครับ!”
รถม้าลอยฟ้าลงสู่พื้นอย่างช้าๆ มันหยุดตัวลงก่อนที่จะลอยลงสู่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ทันทีที่รถม้าลงจอด สาวกจากสำนักอเวจีกว่าหลายหมื่นคนก็ได้แต่คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านเจ้าสำนัก!”
ยู่เฉิงไห่ สีวู่หยา และฮั๊วจงหยางเป็นผู้ที่ออกมาจากรถม้าลอยฟ้า
“นี่คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นสินะ?”
ทั้งสามคนต่างก็เหลือบมองไปยังกำแพงสีแดงที่สูงตระหง่าน
นี่คือสถานที่ที่ยู่เฉิงไห่ใฝ่ฝันที่จะพิชิตมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ภายในเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว “ผู้ที่ยอมติดตามเราจะอยู่อย่างมั่งคั่ง ส่วนผู้ที่คิดต่อต้านมันนะต้องตาย”
สาวกสำนักอเวจีทั้งหลายต่างก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ บัดนี้ขวัญและกำลังใจของทุกคนได้เพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว “ผู้ที่ยอมติดตามเราจะอยู่อย่างมั่งคั่ง ส่วนผู้ที่คิดต่อต้านมันนะต้องตาย!!”
คลื่นเสียงจากคนนับหมื่นสั่นสะเทือนไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
เอี๊ยดดดด!
ในที่สุดประตูเมืองที่สูงกว่า 100 ฟุตก็ถูกเปิดอย่างช้าๆ ทันทีที่ช่องว่างประตูเปิดกว้างขึ้น ทุกคนก็ได้เห็นทหารจากราชสำนักจำนวนมากกำลังยืนอยู่ต่อหน้า
ในขณะเดียวกัน ณ จุดที่สูงที่สุดของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดผู้ฝึกยุทธชุดขาวก็เริ่มถ่ายทอดคำสั่ง “เปิดใช้งานเขตแดนพลังทั้งสิบซะ!”