My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 583 ศาลาปีศาจลอยฟ้าออกเคลื่อนไหว
สาวกจากสำนักอเวจีกว่าหลายหมื่นคนต่างก็เหลือบมองท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน
“พลังที่สามารถกลับหัวให้กลายเป็นหางได้ พลังที่แม้แต่การทำนายก็ยังไม่อาจทายทัก พลังเขตแดนที่เป็นดั่งพลังของเหล่าทวยเทพ ภายในเขตแดนพลังนี้ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน”
ซู่วว! ซู่วว! ซู่วว!
หมู่เมฆได้มารวมตัวกันอยู่ที่เหนือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในทันใดนั้นเองสีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนแปลงไป
เสียงก้องกังวานได้ดังขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขตแดนพลังทั้งสิบถูกเปิดใช้งานแล้ว
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ใกล้ต่างก็เหลือบมองไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สาวกจากสำนักใหญ่ต่างก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ ในตอนนี้ทุกๆ คนต่างก็ได้เห็นม่านพลังที่ปกคลุมเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมือง
…
ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ภายในนั้นไม่มีสัญญาณของพลังลมปราณอีกต่อไป ทัศนวิสัยที่เห็นก็เริ่มลดลง บรรยากาศเริ่มหนักอึ้ง ในตอนนี้แม้แต่จะหายใจก็ยังรู้สึกอึดอัดได้
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านนอกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เองก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับมา แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเขตแดนพลังทั้งสิบ แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเขตแดนพลังที่ว่า
“ในที่สุดเขตแดนพลังทั้งสิบก็ถูกเปิดใช้งานจนได้”
นอกเหนือจากเขตแดนพลังทั้งสิบที่เป็นของเลียนแบบจากเมืองอื่นๆ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยที่จะเปิดใช้งานเขตแดนพลังทั้งสิบในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเลย
เนื่องจากพลังลมปราณทั้งหมดถูกตัดขาดออกไป กระแสลมเองก็ถูกตัดขาดเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าอุณหภูมิภายในเมืองก็เริ่มสูงขึ้น ในตอนนั้นเองแรงกดดันก็เพิ่มตามไปด้วย ในตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างอะไรจากนรกบนดิน
ยู่เฉิงไห่รู้สึกได้ว่าพลังลมปราณที่มีกำลังรั่วไหลออกจากจุดพลังลมปราณอย่างรวดเร็ว พลังทั้งหมดรั่วไหลออกมาจากร่างกายก่อนที่จะลอยหายไปบนเขตแดนพลัง
ผู้ฝึกยุทธบางคนพยายามดิ้นรนที่จะกักเก็บพลังลมปราณที่มีเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครกักเก็บพลังเอาไว้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อพลังลมปราณสุดท้ายไหลเวียนออกมา
สีวู่หยามองไปที่พัดขนนกยูงของตัวเอง ในตอนนี้มันได้สูญเสียแสงสว่างไปแล้วเรียบร้อย
สาวกสำนักอเวจีกว่าหลายหมื่นคนเองก็ดูท้อแท้มากยิ่งขึ้น
“ใจเย็นๆ เอาไว้ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันในเขตแดนพลังทั้งสิบ” ฮั๊วจงหยางเป็นผู้กล่าว แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ได้ดังอะไรมากมายเท่าไหร่แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สาวกทั้งหมดสงบลง
ก่อนที่ทุกคนจะเคลื่อนตัวเข้าไปในเมือง ทุกคนก็ล้วนแต่จำลองสถานการณ์การต่อสู้ภายในเขตแดนพลังทั้งสิบกันมาบ้างแล้ว
สีวู่หยามองดูผู้ฝึกยุทธผู้ใส่เสื้อคลุมยาวภายในเมืองหลวงก่อนที่จะพูดออกมา “เขตแดนพลังทั้งสิบถูกเปิดใช้งานแล้ว…แล้วหลิวกู่อยู่ที่ไหนกัน?”
…
ณ จุดสูงสุดของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ผู้ฝึกยุทธชุดคลุมยาวหลายคนหันกลับมาก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง “ฝ่าบาท!”
ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ทหารจากราชสำนักทุกคนล้วนแต่คุกเข่าก่อนจะทำความเคารพ “ฝ่าบาท!”
รถม้ามังกรได้ปรากฏให้เห็นภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
ล้อของรถม้าคันนั้นได้หมุนไปตามพื้นของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ รถม้าสุดหรูหรากำลังแล่นออกจากเมืองนั่นเอง
บนรถม้ามังกร ภายในนั้นมีชายสวมชุดมังกรและมงกุฎอยู่ ชายคนนั้นได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้งแล้วนะ” หลิวกู่ยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ บนรถม้ามังกร น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชาในขณะที่เหลือบมองไปยังยู่เฉิงไห่
“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะมายืนต่อหน้าเจ้า…” ยู่เฉิงไห่ตอบกลับ
ทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากันจากในระยะไกล
ในเวลาเดียวกันนั้นเองทหารราชสำนักกว่าหลายหมื่นคนก็เริ่มรุมล้อมชาวสำนักอเวจีเอาไว้
ในตอนนี้ทั้งสองกองทัพกำลังเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน
หลิวกู่กางแขนออกมา เสื้อคลุมลายมังกรของเขาดูโดดเด่นมากกว่าเดิมเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดจ้า “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ …แต่มันคุ้มค่าแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“คนของข้าอยู่ที่หน้าประตูเมืองแล้ว เจ้าคิดว่ามันคุ้มค่าไหมล่ะ?” ยู่เฉิงไห่ตอบคำถามด้วยคำถามแทน
หลิวกู่พยักหน้า จากนั้นตัวเขาก็ได้เงยหน้าก่อนจะหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ …เจ้ายังโง่และยังตื้นเขินไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย!”
ยู่เฉิงไห่ก็หัวเราะเช่นกัน เสียงหัวเราะของเขาฟังดูไร้ซึ่งการควบคุม “งั้นเจ้าจะให้ข้าเรียกว่าผิงอันหรือว่าหลิวกู่ดีล่ะ?”
“…”
หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มากว่าหลายวันหลายคืน เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและควัน ในตอนนี้เมืองที่เคยดูรุ่งเรืองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่นอกจากความอ้างว้าง
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ใช้พลังลมปราณเพื่อทำให้เสียงของเขาดังฟังชัด
แววตาของสีวู่หยามีแต่ความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยถามออกมาว่าเหตุใดทำไมยู่เฉิงไห่ถึงต้องการพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงแบบนั้นผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ก็ไม่เคยตอบคำถามตรงๆ กับตัวเขาเลย คนที่มีความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียวน่ะเหรอที่จะพยายามพิชิตเมืองแห่งนี้? เป็นเพราะยู่เฉิงไห่ปรารถนาให้ทุกคนยอมสยบแทบเท้าเขาจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? สำหรับสีวู่หยาแล้ว ตัวเขารู้ดีว่ามันต้องมีความนัยแอบแฝง และในที่สุดตัวเขาก็ได้เห็นความจริงแล้ว สัญชาตญาณที่สีวู่หยามีถูกต้องทุกอย่าง ‘แล้วใครคือผิงอันกัน?’
หลิวกู่หัวเราะ ตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเหลือบมองยู่เฉิงไห่ “ยู่เฉิงไห่ การใช้คำพูดข่มขู่ข้ามันไม่ได้มีความหมายอะไร…ข้ามีอะไรที่จะถามเจ้า ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้เขตแดนพลังทั้งสิบแบบนี้ ทหารของราชสำนักจะแข็งแกร่งที่สุด เจ้าน่ะจะไปชนะได้ยังไงกัน?”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้ในไม่ช้านี้เอง” หลิวกู่โบกมือก่อนที่จะพูดต่อ “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะสร้างอนุสรณ์แห่งความน่าอับอายไว้ให้กับเจ้า ยู่เฉิงไห่ ผู้คนจะสาปแช่งและถมถุยเจ้าไปอีกหลายชั่วอายุคน”
ในตอนนั้นเองทหารราชสำนักกว่า 1,000 คนก็เริ่มเดินหน้า
ยู่เฉิงไห่พูดเสียงดัง “แต่น่าเสียดาย เจ้าน่ะไม่ใช่สมาชิกของราชวงศ์ซะด้วยซ้ำ เลือดที่ไหลเวียนอยู่บนร่างกายของเจ้ามันคือเลือดของชาววู่เฉียน! เจ้าน่ะมันสมควรตาย!”
“สมควรตาย!” สาวกสำนักอเวจีต่างก็พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อสาวกสำนักอเวจีตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ในตอนนั้นเองจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทุกคนก็ตื่นขึ้น ทุกคนต่างก็โห่ร้องออกมาในขณะที่ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ทุกคนพร้อมแล้วที่จะกวัดแกว่งอาวุธเพื่อจัดการกับศัตรู
ภายในเขตแดนพลังทั้งสิบพลังลมปราณทุกอย่างจะหายไป อากาศภายในนั้นอบอ้าวและยังมีอุณหภูมิที่สูงมากขึ้น
การต่อสู้เริ่มต้น ในตอนนี้ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความดุเดือด
เสียงโห่ร้องของเหล่านักสู้ผู้กล้าหาญได้ทำให้ทั้งแผ่นดินต้องสะเทือน
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปะทะกันอย่างดุเดือด
ยู่เฉิงไห่มองไปที่หลิวกู่ที่อยู่บนรถม้า ตัวเขาไม่เคยละสายตาไปจากหลิวกู่เลย
หลิวกู่กลับมาจ้องมองยู่เฉิงไห่อีกครั้ง
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้ตระหนักรู้อะไรบางอย่าง ตัวเขาได้นึกไปถึงสิ่งที่ผู้เป็นศิษย์พี่เคยเล่าให้ฟัง ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีพี่ชายเผ่าพันธุ์เดียวกันถึงสองคน หนึ่งในพี่ชายที่ว่าก็คือผิงอัน ส่วนอีกคนก็คือเจียงไหล ทั้งสามคนต่างก็เป็นสมาชิกจากเผ่าวู่เฉียนที่รอดมาได้ ทุกคนต้องผ่านการทดลองนับไม่ถ้วน ถูกเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต้องเหยียบย่ำ ถูกไล่ล่าโดยชนเผ่าอื่น ถูกทรมานด้วยความตาย ถูกทรมานด้วยความเหน็บหนาวและความหิวโหย ทั้งสามต้องใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังมาโดยตลอด แล้วทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้? ทำไมผิงอันถึงกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ไปได้?
พรึ๊บ!
อะไรบางอย่างได้ถูกยิงออกมาต่อหน้าสีวู่หยา เป็นเพราะเลือดที่กำลังโปรยปรายทำให้สีวู่หยากลับมามีสติอีกครั้ง
เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ยู่เฉิงไห่และหลิวกู่ต่างก็จ้องมองกันจากในระยะไกล
จำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มเพิ่มสูงขึ้น จำนวนทหารราชสำนักเองก็ลดน้อยลง
เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว สนามรบเต็มไปด้วยเสียงร้องและการสังหาร
…
ผ่านไปอีกวัน ณ ศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ต้วนมู่เฉิงรีบเดินไปยังศาลาตะวันออกพร้อมกับจดหมายในมือ “ท่านอาจารย์ หลี่หยุนเฉาได้ส่งจดหมายมาอีกฉบับ”
ปั๊ง!
ประตูของศาลาตะวันออกถูกลมพัดเปิดออก
ลู่โจวเดินออกมาก่อนที่จะถามอย่างเยือกเย็น “มีอะไรกัน?”
“ข้าเกรงว่าศิษย์พี่ใหญ่จะตกอยู่ในอันตราย บัดนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดใช้เขตแดนพลังทั้งสิบแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังต่อสู้กันด้วยกำลังทั้งหมดที่มี สำนักอเวจีและราชสำนักต่างก็ต้องสูญเสีย ถ้าหากสิ่งที่หลี่หยุนเฉาพูดเป็นความจริง ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องพบกับความเสียหายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”
หลี่หยุนเฉาอยู่เคียงข้างไทเฮามากว่าหลายปีแล้ว เมื่อการต่อสู้ของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มต้นขึ้น ไม่แปลกเลยที่ไทเฮาจะเปิดเผยความจริงบางอย่างให้กับหลี่หยุนเฉา เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นแม่ย่อมเข้าใจลูกตัวเองได้ดีที่สุด ไทเฮารู้อยู่แล้วว่าหลิวกู่ไม่ใช่หลิวกู่คนเก่า แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่รู้เลยว่าใครจะเชื่อเรื่องนี้ อันที่จริงความจริงอันนี้มีแต่จะสร้างความสับสนและความวุ่นวายให้กับราชสำนักมากกว่า ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครคิดจะเชื่อนาง [หมายเหตุ: ขอแก้ไขคำว่าอัครมเหสีเป็นไทเฮานะครับ ***ไทเฮาแปลว่าแม่ของฮ่องเต้]
โลกใบนี้ช่างผิดเพี้ยน! แม้แต่ฝ่ายธรรมะเองก็ไม่อาจเชื่อถือได้ หลี่หยุนเฉาถูกทิ้งให้อยู่กับศาลาปีศาจลอยฟ้า การส่งจดหมายของเขาเป็นเหมือนความหวังสุดท้าย ไม่ว่าผลลัพธ์การต่อสู้จะเป็นเช่นไร…ในตอนนี้ตัวเขาก็ได้แต่ปล่อยให้ผู้เป็นเทพได้กำหนด
ยู่เฉิงไห่ได้เสียชีวิตไปกว่าสองครั้งแล้ว เพราะแบบนั้นขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของเขาจึงอยู่ใกล้แค่เอื้อม ถ้าหากหลิวกู่เป็นชาววู่เฉียน แล้วเหตุใดยู่เฉิงไห่ถึงต้องต่อสู้กับเขา?
“ท่านอาจารย์! จักรพรรดิต่ำช้านั่นได้เรียกผู้อาวุโสกว่า 20 คนจากสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่และสถานศึกษากลุ่มดาวผืนฟ้าเข้าพบก่อนศึกครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น…ในตอนนี้มีเพียงหนึ่งในแปดแม่ทัพใหญ่เท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือมากมายหลายคนซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อรอฉวยโอกาส! แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะรอดจากการต่อสู้กับหลิวกู่ได้ ศิษย์พี่ก็คงจะถูกคนนอกฉวยโอกาสอยู่ดี!” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมาอย่างกังวล
ลู่โจวมองขึ้นไปบนฟ้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งตัวเขาก็ได้ส่ายหัว “ดี! เจ้าพวกศิษย์ไม่รักดีทั้งหลายไม่คิดที่จะปล่อยให้ข้าได้พักผ่อนเลยสินะ! รวบรวมทุกคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาซะ!”