My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 592 ความลับของราชวงศ์
แม้ว่าสำนักอเวจีจะพิชิตเมืองหลวงได้สำเร็จ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีภัยอันตรายอยู่นับไม่ถ้วน หนทางสู่ลั่วหลานคงจะไม่ราบรื่นแน่
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งลู่โจวก็ได้พูดออกมา “สีวู่หยา ขึ้นรถม้าลอยฟ้าบินไปที่มณฑลเหลียงและตามหาศิษย์พี่รองเจ้า”
มันจะปลอดภัยกว่านี้แน่ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากยู่ฉางตง
ยี่เทียนซินที่พูดต่อ “ท่านอาจารย์…ทำไมไม่ให้ข้าเดินทางไปกับศิษย์น้องเจ็ดล่ะ? ข้าเคยเดินทางไปทั่วทั้งดินแดนหยานมาก่อน ที่ดินแดนตะวันตกอย่างลั่วหลานเองข้าก็เคยผ่าน ถ้าหากพวกเราเดินทางไปด้วยรถม้าลอยฟ้า มันจะดูสะดุดตาจนเกินไป การเดินทางด้วยวิธีนั้นคงจะอันตรายมากแน่”
ยี่เทียนซินพูดถูก ถ้าหากสีวู่หยาเดินทางไปกับนางจริง การเดินทางก็คงจะราบรื่นขึ้นมากแน่
แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็ยังพูดขัด “ศิษย์พี่หก แม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีอวตารดอกบัวแปดกลีบก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นท่านก็ยังไม่หายดี…ท่านควรจะอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือท่านอาจารย์ดูแลเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มากกว่า…นอกจากนี้ข้าเองก็ยังพอมีคนอยู่ที่ลั่วหลานอยู่บ้าง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“…”
สีวู่หยาเหลือบมองยู่เฉิงไห่ก่อนจะพูดต่อ “ท่านอาจารย์ เวลาไม่เคยคอยใคร ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ไปซะ” ลู่โจวโบกแขน
สีวู่หยาได้ผลักตัวออกจากพื้นก่อนจะบินไปยังรถม้าลอยฟ้า รถม้าล่องเมฆาได้ออกเคลื่อนที่ในทันที เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นรถม้าก็ได้หายไปในหมู่เมฆ
ผู้ฝึกยุทธนอกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ตื่นตกใจและสับสนเล็กน้อยเมื่อได้เห็นแบบนั้น บางทีมันอาจเป็นเพราะเขตแดนพลังทั้งสิบที่หายไปจึงทำให้ทุกคนมีความกล้าหาญที่เพิ่มมากขึ้น และเพราะแบบนั้นทุกคนจึงเลือกเข้าไปใกล้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
ไม่มีทหารราชสำนัก ไม่มีม่านพลังบนท้องฟ้า และไม่มีคนถือครองราชย์บัลลังก์…
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กำลังจะพังทลาย บ้านเรือนกำลังทรุดโทรม ทั่วทุกมุมเมืองมีซากศพอยู่ทุกหนแห่ง มันเป็นสภาพของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในยามปัจจุบัน
เมื่อเห็นแบบนั้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายจึงได้แต่ถอนหายใจ
ทุกครั้งที่เกิดสงครามมันย่อมนำพาการเปลี่ยนแปลงมาอยู่เสมอ
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมองไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
“จบลงแล้วล่ะ ใครคือผู้ชนะคนสุดท้ายกัน?”
ไม่มีใครรู้คำตอบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนได้แต่บินผ่านไปมาเท่านั้น
…
ภายในตำหนักต้าเฉิง ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
หลี่หยุนเฉาผู้สนับสนุนองค์ไทเฮากำลังนั่งลงอย่างช้าๆ
ผู้ที่นั่งลงตรงกันข้ามกับองค์ไทเฮาก็คือปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังคุกเข่าอยู่
ผู้คนเหล่านั้นก็คือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและผู้อาวุโสทั้งสองสถานศึกษาที่กำลังถูกมัด
เมื่อไท่เฮาเงยหน้าขึ้นมา นางก็ได้เห็นจ้าวยู่ยืนอยู่ที่ด้านหลังของลู่โจว
“จ้าวยู่…เจ้ามาด้วยสินะ”
จ้าวยู่ได้แต่ก้มศีรษะ
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก” ไทเฮาไม่สามารถตำหนิอะไรจ้าวยู่ได้ และนางเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปตำหนิด้วย
จ้าวยู่ไม่ได้เติบโตในวัง แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังดูแลรับผิดชอบไทเฮาเป็นอย่างดีในตอนที่นางป่วย อันที่จริงไทเฮารู้สึกประหลาดใจมากแล้วที่จ้าวยู่ไม่ได้โกรธแค้นอะไรพระราชวัง
ไทเฮารู้ดีว่าจ้าวยู่กำลังรู้สึกผิด นางจะไปตำหนิจ้าวยู่ได้ยังไงกัน? จากนั้นไทเฮาก็หันไปหาลู่โจวแทน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งนางก็พูดออกมา “นี่มันก็นานมาแล้วสินะ”
ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไรกับการสนทนาเล็กๆ น้อย “ในตอนนี้มีสาวกจากสำนักอเวจีนับหมื่นอยู่ที่นอกตำหนัก ทุกคนล้วนแต่เป็นสาวกของศิษย์ข้ายู่เฉิงไห่…”
“ข้ารู้ดี”
“ตั้งแต่หลิวกู่ขึ้นครองบัลลังก์ ในตอนนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะปกครองดินแดนเลย หลิวกู่เข่นฆ่าชาวบ้าน ทิ้งศพของพวกเขาลงไปที่แม่น้ำ และคอยค้นหากระดูกของซากศพเป็นเวลากว่าสิบปี องค์ชายเองก็สมรู้ร่วมคิดกับคนทรงชนเผ่าอื่น ข้าไม่แปลกใจเลยที่ราชสำนักต้องตกต่ำเช่นนี้…”
“…ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะเราทำตัวเอง” ไทเฮาพูดต่อก่อนจะถอนหายใจ ที่ใบหน้าของนางไม่มีแม้แต่ร่องรอยความแค้นหรือจิตใจที่คิดสู้เลย ไทเฮาได้หันไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งหมด “มันไม่มีความหมายเลยที่จะพูดเรื่องอะไรอีก…ยังไงซะการเปลี่ยนแปลงก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติ ตราบใดที่มณฑลทั้งเก้าอยู่เป็นสุขได้ ข้าก็ไม่มีข้อแย้งถ้าหากจะเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์เป็นจี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต่างก็พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “องค์ไทเฮา!”
เสียงร้องของทุกคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจริง ทุกคนก็จะสูญเสียสถานะและกลายเป็นทาส
ลู่โจวส่ายหัว ตัวเขาแตกต่างกับยู่เฉิงไห่ ลู่โจวไม่ได้สนใจเรื่องยึดครองโลก ถ้าหากเป็นศิษย์คนแรกของเขาอย่างยู่เฉิงไห่ ยู่เฉิงไห่ก็คงจะขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้ว
ในบรรดาองค์ชายทั้งห้า มีองค์ชายสามเจียงอาเฉียนและองค์ชายห้าที่จากไปก่อน สำหรับลู่โจวถ้าหากมีเจ้าหน้าคนไหนต้องการจะขึ้นครองบัลลังก์ ตัวเขาก็ไม่คิดที่จะโต้แย้งอะไร
แต่ถึงแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้ฝ่าฟันปัญหาทั้งหมดเพื่อพิชิตบัลลังก์ ถ้าหากลู่โจวตัดสินใจแทนศิษย์คนแรก ลูกศิษย์ของเขาจะไม่ผิดหวังไปได้ยังไง เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะตัดสินใจ
ลู่โจวมองดูผู้อาวุโสจากทั้งสองสถานศึกษาและเจ้าหน้าที่พระราชสำนัก “แล้วพวกเราจะจัดการทุกคนยังไง?”
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทำอะไรก็ได้” ไทเฮาไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญอีกต่อไป
“ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเถอะ…”
เมื่อลู่โจวพูดเสร็จ ผู้อาวุโสจากทั้งสองสถานศึกษาต่างก็โวยวายในทันที
ไทเฮาที่เห็นแบบนั้นยิ่งสิ้นหวัง เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายแล้ว มีอะไรจะให้พูดได้อีก? ไทเฮารู้ดีว่าผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังจับจ้องไปที่นาง เมื่อเห็นแบบนั้นไทเฮาก็หงุดหงิดมากยิ่งขึ้น “ลากพวกมันไปตัดหัว”
ตั้งแต่สมัยโบราณ เหล่าราชวงศ์ทั้งหลายมักจะไร้หัวใจอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำสั่งของไทเฮา ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งหมดก็เปลี่ยนสีไป
“องค์ไทเฮาทรงเมตตาด้วย! ทรงเมตตาด้วย!”
ทหารจากราชสำนักรีบวิ่งเข้ามา
พลังวรยุทธของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดถูกผนึกพลังวรยุทธไปเป็นที่เรียบร้อยแน่ เพราะแบบนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายจึงถูกลากออกจากตำหนักอย่างไร้ทางต่อต้าน
ลู่โจวมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลาย ‘เสียเปล่าจริงๆ …ฉันน่าจะฆ่าเจ้าพวกนั้นเองแท้ๆ’
แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะมีพลังวรยุทธที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญ
ลู่โจวพยายามสลัดความคิดก่อนจะถามออกมา “เมื่อไหร่กันที่เจ้ารู้ว่าเจ้านั่นไม่ใช่หลิวกู่”
ไทเฮาเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพูดตอบกลับ “ข้าจะไม่รู้จักลูกชายของตัวเองได้ยังไงกัน? ตั้งแต่ที่เจ้าตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์ ข้าก็รู้มาโดยตลอด”
“ในตอนนั้นหลิวเก้อยังคงอยู่ ด้วยความสามารถที่เขามีหลิวเก้อน่าจะจัดการกับชายคนนั้นได้แน่”
“อันที่จริงข้าก็เคยคิดเรื่องนี้ แต่น่าเสียดาย…หลิวกู่ตัวปลอมเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอยู่ก่อนแล้ว และในตอนนั้นเขายังมีอาวุธสรวงสวรรค์ระดับสุดยอดอยู่ด้วย” ไทเฮาตอบกลับ
ลู่โจวพลิกฝ่ามือของตัวเองก่อนที่พู่กันสีแดงจะปรากฏขึ้นมา “นี่เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ขั้นสุดยอดด้วยสินะ?”
ไทเฮาไม่ได้แปลกใจเลยที่เห็นพู่กันอยู่กับลู่โจว “ถูกต้อง”
บางทีนี่อาจจะเป็นของที่เหล่าราชวงศ์ใช้ควบคุมราชสำนักก็เป็นได้
หลิวเก้อมีดาบแห่งความเงียบ ส่วนหลิวกู่ยังมีพู่กันพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยังเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ลู่โจวไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเหล่าราชวงศ์ถึงยังรักษาอำนาจไว้ได้
เกราะสีแดง พู่กันสีแดง…
ลู่โจวที่คิดถึงของทั้งหมดได้ถามต่อ “แล้วราชสำนักได้ของพวกนี้มาจากไหนกัน?”
ไทเฮาหันไปหาหลี่หยุนเฉาก่อนจะสั่งการ “ให้คนอื่นออกไปรอข้างนอกก่อน…”
หลี่หยุนเฉาเข้าใจความตั้งใจของไทเฮาดี “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้แล้ว”
“พ่ะยะค่ะ!”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดงุนงง เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกพิชิตได้แล้ว แล้วพวกเขาจะทำอะไรต่อไป? หนี? หรือว่าจะอยู่ต่อ? เจ้าหน้าทื่ทุกคนไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง แต่เป็นเพราะไทเฮาทรงรับสั่ง เพราะแบบนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากออกจากตำหนักไปด้วยความเคารพ
เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจากไป ไทเฮาก็ลึกขึ้นก่อนจะพูดออกมา “ตามข้ามา”
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
หลี่หยุนเฉาเป็นผู้ตอบกลับ “คลังสมบัติชั้นใน”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นตกใจ “ที่ที่เจ้าคนไร้ยางอายนั่นพูดถึงอย่างงั้นสินะ?”
ซู่ฮ่องกงพูดต่อ “ภายในนั้นมีสมบัติอยู่ไม่ผิดแน่? ยังไงซะพวกเราก็ชนะแล้ว ตามธรรมเนียมของทั้งหมดก็คงจะตกเป็นของพวกเราด้วย”
ทุกๆ คนต่างก็เหลือบมองซู่ฮ่องกง…
‘เจ้านี่คงจะเคยชินกับการเป็นหัวขโมยไปแล้วแน่ๆ’
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของทุกคน ซู่ฮ่องกงก็ได้แต่เกาหัว “ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?”
แม้ว่าจะถามอะไรไปก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนได้แต่เดินตามลู่โจวและไทเฮาไป
ซู่ฮ่องกงยังคงสับสนอยู่ “ศิษย์น้องสิบ ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?”
หอยสังข์ตอบกลับมา “ไม่”
“แล้วทำไมทุกคนถึงได้มองข้าแบบนั้น? พวกเขาอิจฉาสติปัญหาอันเฉลียวฉลาดของข้าอย่างงั้นสินะ?” ซู่ฮ่องกงยังคงใช้ความคิดต่อไป “ก็จริงอยู่ที่ข้าฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก…แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทุกคนไปไหนกันหมด? ศิษย์พี่สาม? ศิษย์พี่ห้า? ศิษย์พี่หก? ทุกคนไปไหนกันแล้ว?”
ท้ายที่สุดตำหนักต้าเฉิงก็ถูกทิ้งร้าง
…
หลังจากการต่อสู้ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สาวใช้รวมไปถึงขันทีทั้งหลายต่างก็หนีออกจากพระราชวัง และก็เพราะแบบนั้นจึงทำให้ทางเดินที่มีดูเปลี่ยวเหงา
ครู่ต่อมาทุกคนก็เดินทางมาถึงคลังเก็บสมบัติ หลังจากที่เลี้ยวมาหลายครั้งในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นประตูสีน้ำตาลเก่าๆ ที่สูงกว่า 30 ฟุต
ไทเฮาหยุดเดินก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “นี่คือคลังสมบัติของเหล่าราชวงศ์ เป็นเพราะมันตั้งอยู่ในส่วนลึก ที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าคลังสมบัติชั้นใน”
ลู่โจวที่ได้เห็นประตูสีน้ำตาลพูดขึ้น “ข้าคิดว่าข้าเคยมาที่นี่มาก่อน”
หลี่หยุนเฉายิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับอดีตจักรพรรดิ ผู้อาวุโสจี ข้าไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะเคยมาที่นี่…แต่ถึงแบบนั้นคลังสมบัติชั้นในก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อครึ่งปีก่อน ในตอนนั้นพวกเราเสียดาบคีตะมังกรไป ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเราก็ยังหาดาบเล่มนั้นไม่เจอ”
ของเขาจะไม่ผิดหวังไปได้ยังไง เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะตัดสินใจ
ลู่โจวมองดูผู้อาวุโสจากทั้งสองสถานศึกษาและเจ้าหน้าที่พระราชสำนัก “แล้วพวกเราจะจัดการทุกคนยังไง?”
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทำอะไรก็ได้” ไทเฮาไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญอีกต่อไป
“ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเถอะ…”
เมื่อลู่โจวพูดเสร็จ ผู้อาวุโสจากทั้งสองสถานศึกษาต่างก็โวยวายในทันที
ไทเฮาที่เห็นแบบนั้นยิ่งสิ้นหวัง เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายแล้ว มีอะไรจะให้พูดได้อีก? ไทเฮารู้ดีว่าผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังจับจ้องไปที่นาง เมื่อเห็นแบบนั้นไทเฮาก็หงุดหงิดมากยิ่งขึ้น “ลากพวกมันไปตัดหัว”
ตั้งแต่สมัยโบราณ เหล่าราชวงศ์ทั้งหลายมักจะไร้หัวใจอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำสั่งของไทเฮา ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งหมดก็เปลี่ยนสีไป
“องค์ไทเฮาทรงเมตตาด้วย! ทรงเมตตาด้วย!”
ทหารจากราชสำนักรีบวิ่งเข้ามา
พลังวรยุทธของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดถูกผนึกพลังวรยุทธไปเป็นที่เรียบร้อยแน่ เพราะแบบนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายจึงถูกลากออกจากตำหนักอย่างไร้ทางต่อต้าน
ลู่โจวมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลาย ‘เสียเปล่าจริงๆ …ฉันน่าจะฆ่าเจ้าพวกนั้นเองแท้ๆ’
แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะมีพลังวรยุทธที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญ
ลู่โจวพยายามสลัดความคิดก่อนจะถามออกมา “เมื่อไหร่กันที่เจ้ารู้ว่าเจ้านั่นไม่ใช่หลิวกู่”
ไทเฮาเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพูดตอบกลับ “ข้าจะไม่รู้จักลูกชายของตัวเองได้ยังไงกัน? ตั้งแต่ที่เจ้าตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์ ข้าก็รู้มาโดยตลอด”
“ในตอนนั้นหลิวเก้อยังคงอยู่ ด้วยความสามารถที่เขามีหลิวเก้อน่าจะจัดการกับชายคนนั้นได้แน่”
“อันที่จริงข้าก็เคยคิดเรื่องนี้ แต่น่าเสียดาย…หลิวกู่ตัวปลอมเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอยู่ก่อนแล้ว และในตอนนั้นเขายังมีอาวุธสรวงสวรรค์ระดับสุดยอดอยู่ด้วย” ไทเฮาตอบกลับ
ลู่โจวพลิกฝ่ามือของตัวเองก่อนที่พู่กันสีแดงจะปรากฏขึ้นมา “นี่เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ขั้นสุดยอดด้วยสินะ?”
ไทเฮาไม่ได้แปลกใจเลยที่เห็นพู่กันอยู่กับลู่โจว “ถูกต้อง”
บางทีนี่อาจจะเป็นของที่เหล่าราชวงศ์ใช้ควบคุมราชสำนักก็เป็นได้
หลิวเก้อมีดาบแห่งความเงียบ ส่วนหลิวกู่ยังมีพู่กันพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยังเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ลู่โจวไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเหล่าราชวงศ์ถึงยังรักษาอำนาจไว้ได้
เกราะสีแดง พู่กันสีแดง…
ลู่โจวที่คิดถึงของทั้งหมดได้ถามต่อ “แล้วราชสำนักได้ของพวกนี้มาจากไหนกัน?”
ไทเฮาหันไปหาหลี่หยุนเฉาก่อนจะสั่งการ “ให้คนอื่นออกไปรอข้างนอกก่อน…”
หลี่หยุนเฉาเข้าใจความตั้งใจของไทเฮาดี “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้แล้ว”
“พ่ะยะค่ะ!”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดงุนงง เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกพิชิตได้แล้ว แล้วพวกเขาจะทำอะไรต่อไป? หนี? หรือว่าจะอยู่ต่อ? เจ้าหน้าทื่ทุกคนไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง แต่เป็นเพราะไทเฮาทรงรับสั่ง เพราะแบบนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากออกจากตำหนักไปด้วยความเคารพ
เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจากไป ไทเฮาก็ลึกขึ้นก่อนจะพูดออกมา “ตามข้ามา”
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
หลี่หยุนเฉาเป็นผู้ตอบกลับ “คลังสมบัติชั้นใน”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นตกใจ “ที่ที่เจ้าคนไร้ยางอายนั่นพูดถึงอย่างงั้นสินะ?”
ซู่ฮ่องกงพูดต่อ “ภายในนั้นมีสมบัติอยู่ไม่ผิดแน่? ยังไงซะพวกเราก็ชนะแล้ว ตามธรรมเนียมของทั้งหมดก็คงจะตกเป็นของพวกเราด้วย”
ทุกๆ คนต่างก็เหลือบมองซู่ฮ่องกง…
‘เจ้านี่คงจะเคยชินกับการเป็นหัวขโมยไปแล้วแน่ๆ’
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของทุกคน ซู่ฮ่องกงก็ได้แต่เกาหัว “ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?”
แม้ว่าจะถามอะไรไปก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนได้แต่เดินตามลู่โจวและไทเฮาไป
ซู่ฮ่องกงยังคงสับสนอยู่ “ศิษย์น้องสิบ ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?”
หอยสังข์ตอบกลับมา “ไม่”
“แล้วทำไมทุกคนถึงได้มองข้าแบบนั้น? พวกเขาอิจฉาสติปัญหาอันเฉลียวฉลาดของข้าอย่างงั้นสินะ?” ซู่ฮ่องกงยังคงใช้ความคิดต่อไป “ก็จริงอยู่ที่ข้าฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก…แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทุกคนไปไหนกันหมด? ศิษย์พี่สาม? ศิษย์พี่ห้า? ศิษย์พี่หก? ทุกคนไปไหนกันแล้ว?”
ท้ายที่สุดตำหนักต้าเฉิงก็ถูกทิ้งร้าง
…
หลังจากการต่อสู้ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สาวใช้รวมไปถึงขันทีทั้งหลายต่างก็หนีออกจากพระราชวัง และก็เพราะแบบนั้นจึงทำให้ทางเดินที่มีดูเปลี่ยวเหงา
ครู่ต่อมาทุกคนก็เดินทางมาถึงคลังเก็บสมบัติ หลังจากที่เลี้ยวมาหลายครั้งในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นประตูสีน้ำตาลเก่าๆ ที่สูงกว่า 30 ฟุต
ไทเฮาหยุดเดินก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “นี่คือคลังสมบัติของเหล่าราชวงศ์ เป็นเพราะมันตั้งอยู่ในส่วนลึก ที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าคลังสมบัติชั้นใน”
ลู่โจวที่ได้เห็นประตูสีน้ำตาลพูดขึ้น “ข้าคิดว่าข้าเคยมาที่นี่มาก่อน”
หลี่หยุนเฉายิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับอดีตจักรพรรดิ ผู้อาวุโสจี ข้าไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะเคยมาที่นี่…แต่ถึงแบบนั้นคลังสมบัติชั้นในก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อครึ่งปีก่อน ในตอนนั้นพวกเราเสียดาบคีตะมังกรไป ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเราก็ยังหาดาบเล่มนั้นไม่เจอ” ลู่โจวทำราวกับตัวเขาไม่ได้ยิน ‘เรื่องนี้ฟังดูคุ้นหูจริง…’
และในตอนนั้นไทเฮาก็ได้หยิบกุญแจก่อนจะเปิดประตูคลังสมบัติชั้นใน
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนอะไร ตัวเขาเดินตามไทเฮาไปอย่างสบายๆ
“ทุกสิ่งที่จักรพรรดิหย่งโชวได้รับในอดีต ทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้ในคลังสมบัติชั้นในแล้ว…”