My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 604 จำนวนไม่ได้สำคัญเสมอไป
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นผู้ฝึกยุทธจากดินแดนหยานเดินทางมายังจุดสูงสุดของพระราชวัง แม้ว่าผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะสวมใส่หน้ากากและยังแต่งกายเพื่อปกปิดตัวตนที่มี แต่ลู่โจวก็มองเห็นตัวตนของชายคนนั้นได้
ชื่อ: เหวยซั่วหราน
เผ่าพันธุ์: มนุษย์จากดินแดนหยาน
พลังวรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์
…
เมื่ออยู่ภายใต้พลังกระจกทองคำ เพราะแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนมองเห็นพลังอวตารที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่ได้ พลังอวตารดอกบัวหกกลีบกำลังส่องประกายอยู่ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะฝึกฝนอย่างหนักจนมีพลังอวตารได้
หอยสังข์ถอยกลับไปเล็กน้อย
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้พูดขึ้น “ไม่ต้องกลัวไป”
เหวยซั่วหรานมองดูลู่โจวด้วยสายตาอันซับซ้อน ตัวเขามองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะพูดขึ้น “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าท่านหลอกคนอื่นด้วยวิธีการแบบไหน แต่พลังจากกระจกทองคำก็ได้แสดงให้ข้าเห็นความจริงแล้ว”
“ความจริง?” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเฉยเมย “แล้วความจริงที่เจ้าว่าคืออะไรล่ะ?”
เหวยซั่วหรานเหลือบมองเมืองที่กำลังวุ่นวาย สายลับที่ถูกจับได้ถูกประหารไปในทันที แม้ว่าจะวุ่นวายมากแค่ไหนแต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเขา เหวยซั่วหรานยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ที่วิหารชู่ฟาน ที่นั่นมีเทพผู้พิทักษ์ที่แม้แต่นกตัวเล็กๆ ก็ยังไม่สามารถเข้าออกได้ พระโพธิธรรมเคยว่าไว้ ‘สิ่งที่เห็นก็คือความจริง ไม่มีวันที่ความจริงจะถูกบิดเบือนไปได้’ ”
“พูดจาฉะฉานซะจริง” ลู่โจวลูบเครา “แต่ถึงแบบนั้นเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าอะไรคือความจริง?”
เหวยซั่วหรานชี้นิ้วไปหัว ตา และท้องฟ้าก่อนจะตอบกลับ “บางคนเกิดมาฉลาดมีไหวพริบ บางคนเกิดมาโง่เขลา บางคนเกิดมาก็กลายเป็นทาส…เจ้าพวกนั้นไม่ได้แตกต่าง…” เหวยซั่วหรานชี้ไปยังชาวเมืองและผู้ฝึกยุทธที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดสายลับ จากนั้นตัวเขาก็ได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะพูดต่อ “บางคนเกิดมาก็เพื่อที่จะหลอกลวงผู้อื่น บางคนก็ทำเหมือนกับตัวเองมีความรู้ บางคนก็ทำเหมือนกับว่าควบคุมทุกอย่างได้ คนเหล่านั้นก็แค่พูดหลอกคนที่ไม่รู้อะไรเลยก็เท่านั้น…”
เห็นได้ชัดว่าสายตาที่เหวยซั่วหรานจ้องมองมาเป็นสายตาของนักล่าที่กำลังเหลือบมองเหยื่อ
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “เหวยซั่วหราน”
“หืม?” ดวงตาของเหวยซั่วหรานเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตัวเขาถอยหลังตามสัญชาตญาณก่อนที่จะมองดูลู่โจว ‘เขารู้จักข้าได้ยังไงกัน?’
“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วอย่างงั้นสินะ? ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักพลังตัวเองมี ขอบคุณข้าซะเถอะ…”
เหวยซั่วหรานสงบสติก่อนจะพูดขึ้น “ผู้อาวุโสจี ในเมื่อท่านรู้จักข้า ก็อย่าได้โทษข้าเลย!”
เหวยซั่วหรานมองลงไปที่เมือง ตัวเขารู้ดีว่าเหลือเวลาไม่มาก เพราะแบบนั้นเขาจึงเลือกเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดพุ่งหาลู่โจว เหวยซั่วหรานยื่นฝ่ามือออกไปเพื่อโจมตีอย่างสุดตัว พลังฝ่ามือนี้จะต้องทำให้เป้าหมายของเขาไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่
ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะผลักไปยังด้านหน้า พลังฝ่ามือสีทองที่มีสีฟ้าผสมอยู่ได้พุ่งออกมา
ตู๊ม!
เหวยซั่วหรานอยู่ใกล้จนเกินไป ไม่มีเวลาเลยที่เขาจะหลบเลี่ยงได้ทัน พลังฝ่ามือที่มีขนาดพอๆ กับคนได้กระทบกับร่างของเหวยซั่วหรานจนทำให้เขากระเด็นไป ผ้าสีดำ หน้ากากที่เคยสวมใส่ ทุกอย่างถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ตู๊ม!
เหวยซั่วหรานชนเข้ากับหอคอยแห่งหนึ่งก่อนจะตกลงสู่พื้น
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หรือจะพรากมันไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!” ลู่โจวก้าวไปด้านหน้าในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้
เหวยซั่วหรานดวงตาเบิกกว้าง ตัวเขาสับสนและตื่นตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็น คำพูดของลู่โจวได้ทำให้ตัวเขารู้ซึ้งถึงความกลัว “ไม่ ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้…” เหวยซั่วหรานเอามือแตะไปที่บาดแผลก่อนที่จะเรียกพลังอวตารออกมา
ฝ่ามือนักบวชปีศาจ!
เหวยซั่วหรานถูกกดดันให้ถอยกลับไปด้วยพลังฝ่ามือ หัวใจของเขาเต้นรั่วอย่างที่ไม่เคยเป็น แม้แต่ตัวเขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่น่าเสียดาย ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้
‘ถ้าหากไม่ใช่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ทุกคนก็ไม่ได้แตกต่างจากข้า แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถจัดการข้าด้วยฝ่ามือเพียงแค่สองครั้งได้’
ลู่โจวเหลือบมองไปที่เหวยซั่วหรานก่อนจะถามออกมา “เจ้าทำงานให้กับใครกัน?”
ดวงตาของเหวยซั่วหรานเบิกกว้าง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ลู่โจวดึงเหวยซั่วหรานเข้าหาก่อนที่จะโยนตัวเขาลงบนพื้น
เหวยซั่วหรานถอนหายใจก่อนจะถามกลับมา “พลังอวตารดอกบัวห้ากลีบของท่านเป็นของปลอมอย่างงั้นเหรอ?” สิ้นสุดเสียงเหวยซั่วหรานก็เอนศีรษะไปที่ด้านข้าง ลมหายใจของเขาดับไปแล้ว
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,500”
ลู่โจวสังเกตเห็นใบหน้าของเหวยซั่วหรานตอนตาย แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ดวงตาของเขาก็ยังเบิกกว้าง สีหน้าที่ตื่นตกใจและหวาดกลัวไม่ได้จางหายไปกับชีวิต
พลังฝ่ามือนักบวชปีศาจไม่ใช่พลังที่จะเอาชีวิตเหวยซั่วหรานได้ แล้วทำไมชายคนนี้ถึงได้ตาย? หรือว่าเขาจะตายเพราะตกใจกัน?
ในตอนนั้นเองยี่เทียนซินก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมสีขาวของนางได้พลิ้วไหวภายใต้ของแสงกระจกทองคำ พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบยังคงอยู่ที่ด้านหลังนาง และเพราะแบบนั้นจึงทำให้ยี่เทียนซินดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
“พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ!”
“นางก็คือศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้า!”
ในขณะนั้นเองยี่เทียนซินก็ได้ลอยมาหาผู้เป็นอาจารย์ ในที่สุดผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ก็สังเกตเห็นว่านางเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ
“ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบกี่คนกัน?”
“ถ้าหากข้าคิดไม่ผิด…คงจะมีราวๆ สามคน”
สำหรับสำนักส่วนใหญ่ ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็มีคุณสมบัติมากพอแล้วที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักได้ บางสำนักถูกนำโดยผู้มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบซะด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบถึงสามคน!
ยี่เทียนซินไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเสียงรอบตัว นางรีบบินไปยังจุดสูงสุดของพระราชวังอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวสังเกตเห็นยี่เทียนซินกำลังเหงื่อออก เห็นได้ชัดว่านางยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้อันดุเดือด
หลังจากที่ยี่เทียนซินมาถึงจุดสูงสุด นางก็ได้โค้งคำนับให้กับลู่โจวในทันที “ท่านอาจารย์”
“ศิษย์พี่หก!” หอยสังข์วิ่งไปหายี่เทียนซิน
“ปกป้องหอยสังข์ซะ!” ลู่โจวพูดกับยี่เทียนซิน
“ค่ะ ท่านอาจารย์” ยี่เทียนซินเดินไปหาหอยสังข์
ลู่โจวเหลือบมองกระจกทองคำ จากนั้นตัวเขาก็หันกลับไปยังใจกลางเมือง
เป็นเพราะศัตรูที่มีไม่ได้ทรงพลังอะไร เพราะแบบนั้นการกำจัดสายลับจึงไม่ได้ยากลำบาก ไม่มีการนองเลือดเหมือนกับในตอนที่สำนักอเวจีบุกโจมตีเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สายลับทุกคนที่ถูกเปิดเผยตัวตนต่างก็ถูกจับกุมตัว
แม้ว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะกว้างใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมียอดฝีมือจำนวนมากค้นหาตัวสายลับภายในเมืองอย่างถี่ถ้วน การค้นหาสายลับทั้งหมดจึงใช้เวลาไม่นาน
บนท้องฟ้ากระจกทองคำไท่ชูยังคงดูดซับพลังจากม่านพลังต่อไป
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็สังเกตเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบนวนอยู่เหนือกระจก “หืม?”
โดยปกติแล้วสัตว์ป่าจะไม่เลือกเข้าใกล้ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แบบนี้
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็รู้ดี สัตว์ร้ายทั้งหลายที่ไม่มีพลังลมปราณจะไม่เลือกเข้าใกล้ที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ยิ่งประชากรมนุษย์มีมากเท่าไหร่ สัตว์ร้ายทั้งหลายก็เลือกที่จะถอยห่างมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่เลือกโจมตีมนุษย์ ในทางกลับกันหมู่บ้านเล็กๆ หรือหมู่บ้านที่อ่อนแอมักจะถูกสัตว์ร้ายโจมตี แต่ในตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธผู้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีการป้องกันจากม่านพลังที่จะขัดขวางสัตว์ร้ายทั้งหลายอีกด้วย
น่าแปลกที่เหยี่ยวตัวใหญ่ยักษ์นี้จะกล้าเข้ามาใกล้ โดยปกติแล้วมันจะต้องถูกหน้าไม้ที่ใช้ปกป้องเมืองจู่โจมไปแล้ว
ลู่โจวกำลังเฝ้ามองเหยี่ยวตัวนั้น
ในที่สุดเหยี่ยวก็ลดระดับความสูงลงก่อนที่จะเข้าใกล้กระจกทองคำไท่ชู
“เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ!”
ลู่โจวหันกลับมาพูดกับหอยสังข์ “หอยสังข์”
“ท่านอาจารย์?”
“ไล่เหยี่ยวตัวนั้นไปซะ” ลู่โจวไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังวิเศษกับสัตว์ร้ายแบบนั้น
“ค่ะ” หอยสังข์หยกขลุ่ยหยกหลานเทียนขึ้นมาก่อนที่ทาบลงบนริมฝีปาก
เสียงดนตรีอันไพเราะได้ดังขึ้น มันเป็นท่วงทำนองที่เปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว