My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 605 บัญชีรายชื่อของชาวลั่วหลาน
เสียงอันเฉียบคมได้แทงทะลุไปทั่วเมือง มันเป็นเสียงที่มาจากจุดสูงสุดของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ผู้ฝึกยุทธที่ได้ยินเสียงต่างก็หันไปมอง
เสียงดนตรีที่ดังขึ้นเป็นเหมือนกับเครื่องควบคุมพลังลมปราณ เมื่อพลังลมปราณควบแน่นจนกลายเป็นพลังงานมันก็ได้พุ่งไปบนอากาศ พุ่งไปยังที่ที่เหยี่ยวบินอยู่
พรึ๊บ!
เหยี่ยวที่เข้าใกล้กระจกทองคำได้บินสูงขึ้นไปอีกครั้ง มันกำลังหลบการโจมตีจากคลื่นเสียงอยู่นั่นเอง
“ท่านอาจารย์ เหยี่ยวตัวนั้นมีอะไรที่แปลกไป” ยี่เทียนซินรู้ได้ทันทีว่าเหยี่ยวตัวนั้นไม่เหมือนกับเหยี่ยวทั่วไป “จะให้ข้าจัดการมันเลยดีไหม?”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนจะหันไปหาหอยสังข์ “หอยสังข์ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าโจมตีมัน พยายามสื่อสารกับมันซะ”
“ค่ะ” หอยสังข์เข้าใจแล้ว และในตอนนั้นเองเสียงขลุ่ยที่มีก็เปลี่ยนทำนองไป เสียงขลุ่ยมันฟังดูนุ่มนวลกว่าเสียงขลุ่ยเมื่อครู่มาก
ในเวลานั้นชาวเมืองจำนวนมากก็ได้มารวมตัวกันบนถนนก่อนที่จะมองขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดของพระราชวังหลวง
เมื่อสาวกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่และสาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าออกเคลื่อนไหว มีเพียงชาวดินแดนหยานเท่านั้นที่กล้าพอจะแสดงตัวในที่สาธารณะ
ก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ชาวเมืองมากกว่าครึ่งล้วนล้วนแต่กลัวจนเกินกว่าจะออกจากบ้านเรือนมาได้
ในตอนนี้แสงสีทองได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธทั้งหมดได้ เมื่อชาวเมืองได้เห็นพลังอวตาร ความกลัวที่มีในใจก็เริ่มลดน้อยลง ชาวเมืองที่เห็นแบบนั้นพยายามรวบรวมความกล้าก่อนที่จะเดินไปยังพระราชวังหลวง หลังจากนั้นไม่นานชาวเมืองที่เดินเพิ่มเติมมาก็เริ่มคุกเข่าลง
“ขอบคุณผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า!”
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้!”
“ติ้ง! ได้รับการคารวะจากใจจริงจาก 502 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 5,020”
“ติ้ง! ได้รับการคารวะจากใจจริงจาก 1,300 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 13,000”
“ติ้ง! ได้รับการคารวะจากใจจริงจาก 2,030 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 20,300”
ลู่โจวรู้สึกยินดีเมื่อได้ฟังเสียงจากการแจ้งเตือน
น่าเสียดายที่หลังจากการต่อสู้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จบลง ชาวเมืองจำนวนมากที่ย้ายออกไปก็คงจะไม่คิดกลับมา ในตอนนี้ภายในเมืองมีคนน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาเรื่องสายลับยังทำให้ผู้คนหวาดกลัวเพิ่มจนต้องอพยพหนีไป
พื้นที่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเหลือมากมายอะไร สิ่งที่ลู่โจวเห็นเป็นเหมือนกับภาพอันน่าเหลือเชื่อ ผู้คนมากมายกำลังจับจ้องมาที่ตัวเขา
เสียงขลุ่ยอันไพเราะไปถึงม่านพลังที่อยู่บนท้องฟ้า
เหยี่ยวตัวนั้นไม่เพียงจะไม่ถอยหนี มันกลับดูโหดร้ายมากขึ้นและพุ่งเข้าหากระจกทองคำไท่ชู
ตู๊ม!
ม่านพลังที่ได้รับการโจมตีสั่นไหว
หอยสังข์ที่เห็นว่าเสียงขลุ่ยไม่ได้ผลหยุดเป่าก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าบอกให้มันถอยไปแล้ว แต่เหยี่ยวตัวนั้นมันไม่ฟัง”
ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกยุทธที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้สังเกตเห็นเหยี่ยวบนม่านพลังได้ ทุกคนที่เห็นเหยี่ยวโจมตีม่านพลังได้แต่ตกตะลึง
กระจกทองคำยังทำหน้าที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้าหากการทำงานของกระจกถูกขัดจังหวะในตอนนี้ บางทีสายลับอาจจะหนีรอดไปได้ เมื่อนั้นก็จะเป็นฝันร้ายของชาวเมือง
หอยสังข์พูดเสริม “มันกำลังท้าทายพวกเราอยู่!”
ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนที่จะตะโกนสาปแช่ง “เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ!”
เมื่อถูกสัตว์อย่างเหยี่ยวท้าทาย ลู่โจวจึงรีบอัญเชิญอาวุธนิรนามออกมา! อาวุธนิรนามได้เปลี่ยนไปในรูปแบบของธนู
ยี่เทียนซินเพิ่งจะกลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ไม่นาน นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าฝีมือการยิงธนูของผู้เป็นอาจารย์จะทรงพลังมากแค่ไหน นอกจากนี้นางยังไม่รู้จักอาวุธที่อยู่ในมืออีกด้วย นางตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นอาวุธนิรนาม
ลู่โจวง้างสายธนู ในตอนนั้นเองที่มือขวาของเขาก็มีแสงสีฟ้าส่องสว่างส่องขึ้น
ซู่วว!
คันธนูนิรนามถูกปกคลุมไปด้วยพลังวิเศษจากตัวของลู่โจว พลังทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ที่มือขวา
พรึ๊บ!
ลูกศรพลังงานถูกยิงออกไป เสียงของลูกศรพลังงานที่ถูกปล่อยจากคันธนูดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกยุทธละชาวเมืองเอาไว้ ทุกคนหันไปมองบนฟ้าตามสัญชาตญาณ ทุกคนต่างก็ได้เห็นลูกศรพลังงานสีฟ้าพุ่งตรงไปยังม่านพลัง ความเร็วที่ลูกศรพุ่งตรงไปมันเร็วเกินกว่าที่ทุกคนจะหันตามความเร็วได้ทัน
เหยี่ยวบนม่านพลังงกระพือปีกอย่างต่อเนื่องก็เพื่อที่จะหลบหลีกลูกศรพลังงานของลู่โจว
แต่น่าเสียดาย การยิงลูกศรของลู่โจวไม่เคยพลาดเป้า!
ฉั๊วะ!
ลูกศรพลังงานจู่โจมไปที่ส่วนบนของเหยี่ยว!
เหยี่ยวที่ถูกโจมตีตกลงสู่ม่านพลังก่อนที่จะไหลไปตามนั้น
“ท่านอาจารย์ นี่มันไม่มากไปสำหรับพวกสัตว์อสูรอย่างงั้นเหรอ?” ซู่ฮ่องกงมองขึ้นไปบนฟ้า
ผู้ฝึกยุทธจากดินแดนหยานที่ซู่ฮ่องกงไม่คุ้นหน้าพูดชมเชยขึ้น “ท่านแปด…อาจารย์ของท่านแข็งแกร่งจริงๆ !”
“ธรรมดาอยู่แล้ว”
“แต่ท่านแปด…ถุงมือนักสู้ของท่านก็ดูแข็งแกร่งไม่แพ้กัน!”
ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังแบบนั้นเกือบจะร้องไห้เพราะความดีใจ ‘ในที่สุดก็มีคนยกย่องถุงมือนักสู้ของท่าน! ในโลกนี้ก็ยังพอมีคนที่มีรสนิยมอยู่บ้างสินะ!’
“เจ้าพูดได้มีเหตุผล มีอะไรจะพูดอีกไหมล่ะ?” ซู่ฮ่องกงรู้สึกอารมณ์ดีในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านแปด ถุงมือของท่านเป็นอาวุธที่ดูคล่องแคล่วมากที่สุดแล้ว มันช่างน่าประทับใจ น่าเกรงขาม แถมยังทรงพลัง และมันยังดูสะดุดตามากกว่าอาวุธชิ้นไหนๆ อีกด้วย…”
“สหาย เจ้ามีสายตาที่เฉียบคมหาได้ยากยิ่งจริงๆ” ซู่ฮ่องกงตอบกลับไปอย่างยินดี
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้น
มันเป็นเสียงหอกราชันย์ที่กระแทกเข้ากับพื้น
ทั้งสองคนที่พูดคุยกันอยู่ต่างก็ตื่นตกใจ
ต้วนมู่เฉิงลอยลงมาจากฟ้า ต้วนมู่เฉิงลงสู่พื้นระหว่างทั้งคู่
เห็นได้ชัดว่าสายลับทั้งหมดถูกจัดการไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ดวงตาของผู้ฝึกยุทธคนนั้นเบิกกว้างก่อนจะรีบพูดขึ้น “ท่านสาม…เป็นท่านนี่เอง! ข้าเกือบจะต้องตาบอดก็เพราะความงดงามของหอกท่านไปแล้ว”
“…” ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นพูดไม่ออก
ต้วนมู่เฉิงเหลือบมองชายคนนั้น ตัวเขาคว้าหอกราชันย์มาควงก่อนจะตอบกลับ “แน่นอน ข้าน่ะทำความสะอาดหอกราชันย์ถึงวันละสามครั้ง ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้หอกของข้าต้องแปดเปื้อนแน่ ในสายตาของข้าไม่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์ชิ้นไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าหอกของข้าได้หรอก”
“…”
ตู๊ม!
ในที่สุดเหยี่ยวตัวใหญ่ก็ตกลงสู่กำแพงเมือง
…
ในขณะเดียวกัน ที่ค่ายทหารของชาวรั่วหรี่
ดวงตาของคาร์รอลเบิกกว้างขึ้น
“เจ้านั่นเชี่ยวชาญในการใช้ธนูด้วยอย่างงั้นเหรอ!” คนทรงที่สวมเสื้อคลุมยาวมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยสักกำลังคำรามก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
“บาร์ซี่ เจ้าไม่เป็นไรสินะ?”
บาร์ซี่โบกมือของตัวเอง เมื่อเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก ตัวเขาก็ได้ตอบกลับไป “โชคยังดีที่เวทมนตร์คาถาที่ใช้ทำให้ข้ามองเห็นวิสัยทัศน์เหมือนกับเหยี่ยวเท่านั้น ถ้าหากข้ามีชะตาผูกกับเหยี่ยวนั่น ข้าก็คงจะต้องตายไปแล้ว”
สีหน้าของคาร์รอลเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าไม่นึกเลยว่าจีเทียนเด๋าจะมีความสามารถแบบนั้น ในตอนนี้หน่วยสอดแนมของพวกเราก็คงจะไม่รอดกลับมาแล้วล่ะ”
บาร์ซี่พูดต่อ “จีเทียนเด๋าได้ใช้พลังจากเขตแดนพลังทั้งสิบเป็นแหล่งพลังงานก่อนที่จะใช้กระจกทองคำส่องไปทั่วเมือง…ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะแข็งแกร่งไปถึงไหนกัน? ท่านแม่ทัพ ทำไมพวกเราไม่เลือกเจรจาอยู่อย่างสันติแทนล่ะ?”
ตู๊ม!
คาร์รอลเอามือตบโต๊ะก่อนจะพูดขึ้น “บาร์ซี่ ข้าน่ะเคารพเจ้าในฐานะคนทรงผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าน่ะระวังคำพูดเอาไว้ก็ดี! ดินแดนหยานได้กดขี่ลั่วหลานมากว่าหลายปีแล้ว เจ้าไม่รู้อย่างงั้นเหรอ? พวกเราน่ะจะต้องจ่ายส่วยให้กับดินแดนหยานไปมากเท่าไหร่ เจ้าจะทนอยู่กับการเป็นผู้ถูกกดขี่ไปตลอดชีวิตอย่างงั้นเหรอ?”
“…” บาร์ซี่พูดไม่ออก
“ยุคแห่งการตัดดอกบัวทองคำเป็นประโยชน์สำหรับชาวรั่วหลี่และชาวลั่วหลานเป็นอย่างมาก…แม้ว่าแผนการของพวกเราจะล้มเหลวก็ตาม แต่มันจะต้องมีเวลามากพอให้พวกเราได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งแน่ ในตอนนี้เจ้าพวกนั้นยังไม่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนที่สอง พวกเราน่ะสามารถพิชิตดินแดนหยานได้แน่!”
บาร์ซี่พยักหน้า ตัวเขากำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา
ในตอนนั้นเองก็มีชาวรั่วหรี่คนหนึ่งเดินเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ! กองทัพลั่วหลานทางตะวันตกอย่างคูสวรรค์ได้ส่งรายงานมา พวกเขาได้คลาดสายตากับดาบปีศาจยู่ฉางตงไปแล้ว ยู่ฉางตงคงจะออกจากมณฑลเหลียงไปแล้วครับ”
คาร์รอลลุกขึ้นยืนในทันที
ก่อนที่จะได้ต่อว่าอะไร ชาวรั่วหรี่คนนั้นก็ได้คุกเข่าซะก่อน “ท่านแม่ทัพ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ยู่ฉางตงมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีสัตว์ขี่ที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าอีกด้วย!”
คาร์รอลที่พูดกับบาร์ซี่ในก่อนหน้ารู้สึกขุ่นเคืองมาแล้ว หนำซ้ำตัวเขายังถูกข่าวของยู่ฉางตงเล่นงานอีก “บาร์ซี่ ไม่แปลกใจหรอที่ทำไมลั่วหลานถึงต้องส่งผู้หญิงไปเพื่อเอาใจชาวดินแดนหยานมาโดยตลอด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเจ้าอ่อนแอยังไงล่ะ!”
“เจ้า…”
“ท่านแม่ทัพ ช่วยระวังคำพูดด้วย!”
บาร์ซี่ตอบกลับ “แล้วพวกชาวรั่วหรี่ล่ะ? ถ้าจำไม่ผิดคาร์รันน้องชายของเจ้าก็ได้ตายในดินแดนหยานพร้อมกับสัตว์ขี่ไม่ใช่เหรอไงกัน?”
คาร์รอลทำลายโต๊ะตัวเดิม
ตู๊ม!
บาร์ซี่ที่เห็นแบบนั้นถอยหลังกลับไป แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่ได้เกรงกลัวอะไร “เจ้าพยายามจะทำอะไรกัน?”
คาร์รอลพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะโบกมือ แม้ว่าจะโกรธแค่ไหนแต่ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “บัดซบ”
บาร์ซี่ที่เห็นแบบนั้นคารวะให้ก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป
ชาวรั่วหลี่ที่เพิ่งจะส่งรายงานให้รีบเดินมาหาบาร์ซี่ “ท่านบาร์ซี่ ได้โปรดใจเย็นก่อน…ท่านแม่ทัพน่ะเป็นคนที่ซื่อตรงแบบนี้แหละ…”
“หืม?” บาร์ซี่ถอนหายใจออกมา ตัวเขาสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะเดินออกจากค่ายทหารไปในทันที
ในตอนนั้นเองผู้ส่งสารก็ได้มองไปรอบตัวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พึมพำออกมาเบาๆ “แผนของท่านเจ็ดช่างน่าทึ่งซะจริง”
…
ณ แดนเถ้ากระดูกลั่วหลาน
จี้เหลียงได้วิ่งผ่านป่าอันมืดมิดมาโดยตลอด
หลังจากที่เดินทางมาอย่างรวดเร็วอยู่หลายวัน แม้แต่ยู่ฉางตงเองยังรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ตัวเขาที่เริ่มจะเหนื่อยจึงตัดสินใจที่จะหยุดพัก
หลังจากที่ลงสู่พื้นยู่ฉางตงก็ตรวจสอบพื้นที่รอบตัว แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ตัวเขาก็มองไม่เห็นสุดเขตป่า ยิ่งเดินทางมาเท่าไหร่ป่าก็ยิ่งมืดและชื้นมากขึ้น มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่รอดผ่านใบไม้เท่านั้นที่ยังคอยนำทางให้กับยู่ฉางตง
“ปลายทางของพวกเราอยู่ที่หลังแดนเถ้ากระดูกนี่” ยู่ฉางตงมองไปที่ยู่เฉิงไห่ที่ยังคงอยู่บนหลังของจี้เหลียงด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้าหวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นนะ ถ้าหากท่านตายไปจริง ข้าจะใส่ชื่อของชาวลั่วหลานทุกคนให้อยู่ในบัญชีรายชื่อข้าแน่”