My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 617 การฟื้นคืนขั้นสุดท้าย
ตอนที่ 617 การฟื้นคืนขั้นสุดท้าย
ยู่ฉางตงได้หายตัวไปในชั่วพริบตา ตัวเขาปรากฏตัวอีกครั้งเหนือแอ่งน้ําไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกย่างก้าวของยู่ฉางคงล้วนเดินอย่างมั่นคง แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีส่วนไหนเปียกน้ํา ยู่ฉางตงก้มหน้าลง ก่อนจะตั้งใจฟัง สภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสงบ ยิ่งเงียบมากเท่าไหร่ การจะได้ยินเสียงก็จะสามารถทําได้ง่ายขึ้น ยู่ฉางตงกําลังใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไปกับการฟัง ท่ามกลางเสียงลมอันแผ่วเบา ยู่ฉางตงได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ด้วย…
ยู่ฉางตงลอยขึ้น เขาเห็นผู้ฝึกยุทธหลายคนที่บินมาจากนครหลวงลั่วหลาน ผู้ฝึกยุทธที่เห็นสวมใส่ชุดคลุมสีม่วงและยังมีผู้สวมใส่ชุดเกราะ
“อีกแค่ 12 วัน…” จู่ๆ ยู่ฉางตงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ด้วยความสามารถที่ตัวเขามี การจะกําจัดเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหมดได้คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะทําแบบนั้นไม่ใช่การแก้ปัญหา ยังไงซะชาวลั่วหลานก็จะส่งคนมาหาตัวเขาอย่างไม่ลดละ และก็จะเป็นตัวเขานั่นเองที่จะต้องเหนื่อยล้าเพราะการต่อสู้ต่อเนื่อง เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่งตัวเขาก็หันไปหาจี้เหลียง “จี้เหลียง”
จี้เหลียงบินมาหายู่ฉางตงอย่างตื่นเต้น
ยู่ฉางตงลูบตัวของจี้เหลียงก่อนจะสั่งการ “ลากเจ้าพวกนั้นออกไป…ไปทางใต้ของคูสวรรค์ ข้าไม่คิดว่าจะมีใครไปถึงจุดสูงสุดของคูสวรรค์ได้ พยายามสลัดเจ้าพวกนั้นออกที่นั่นซะ”
“นอกจากนี้เจ้าไม่ควรจะบินเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นพวกมันก็จะติดตามเจ้าไปไม่ได้…” ยู่ฉางตงถอดเสื้อคลุมออก ตัวเขาบินไปในป่าก่อนที่จะหักกิ่งไม้ออกมา ยู่ฉางตงวางกิ่งไม้ทั้งหมดไว้บนหลังของจี้เหลียงก่อนจะใช้เสื้อคลุมปกปิดเอาไว้
จี้เหลียงที่เตรียมการเสร็จรีบหันหน้ากลับไป
“ไปซะ…”
เสียงร้องของจี้เหลียงดังกว่าครั้งไหนๆ มันบินตรงไปทางป่าก่อนจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนหยาน
เป็นเพราะความโกลาหลที่จี้เหลียงได้ก่อขึ้น ทําให้ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงรวมไปถึงทหารจากลั่วหลานสังเกตเห็นได้ ทุกคนได้เปลี่ยนทิศทางก่อนที่จะไล่ตามจี้เหลียงไป
ยู่ฉางตงเหลือบมองท้องฟ้า ตัวเขาที่เก็บซ่อนตัวอยู่ได้แต่พูดออกมาเบาๆ “อย่าบินเร็วเกินไปล่ะ”
จี้เหลียงเข้าใจสิ่งที่ยู่ฉางตงตั้งใจจะทําดี เพราะแบบนั้นมันจึงเลือกที่จะหยุดเคลื่อนไหวเป็นพักๆ
ผู้ฝึกยุทธที่กําลังไล่ตามต่างก็คิดว่าเหลียงเป็นสัตว์ขี่ทั่วไป มันเป็นธรรมดาที่จี้เหลียงจะหมดแรงหลังจากเดินทาง เมื่อได้เห็นแบบนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไล่ตามจี้เหลียงอย่างดุเดือด
เมื่อทุกฝ่ายหายไปในหมู่เมฆ ยู่ฉางตงก็หลับตาลงก่อนจะปรับลมหายใจ ตัวเขากําลังพักผ่อนฉางตงรู้ดีว่าปัญหาที่ยุ่งยากก่าลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
จี้เหลียงจะต้องใช้เวลาบินกว่าสิบวันกว่าที่จะไปถึงคูสวรรค์ได้… การจะเดินทางกลับมาก็ใช้เวลาเท่ากัน เท่ากับว่าขี้เหลียงจะใช้เวลากว่า 20 วันกว่าที่จะบินกลับมา แต่ยู่ฉางตงจะต้องใช้เวลาเพียงสิบสองวันเพื่อที่จะรอการฟื้นคืนชีพของผู้เป็นศิษย์พี่เท่ากับว่ายู่ฉางตงจะต้องพายู่เฉิงไห่กลับไปที่ดินแดนหยานด้วยตัวเอง
“บินไปเอง?” เมื่อยู่ฉางตงคิดแบบนั้น ตัวเขาก็ได้แต่ลืมตาอย่างหมดหนทาง ใครกันจะไปคิดว่าดาบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่จะต้องพบกับปัญหาจนทําอะไรไม่ถูกเช่นนี้
กลยุทธ์ที่ฉางตงใช้จี้เหลียงเบี่ยงเบนความสนใจถือเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสําเร็จ สามวันถัดจากนั้นก็ยังมีผู้ฝึกยุทธเดินทางมายังบึงโคลน
ยู่ฉางตงยังคงเก็บซ่อนตัว ตัวเขาทําได้แค่เพียงสังเกตเรื่องราวทั้งหมดจากภายในป่า
ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงสํารวจบึงโคลนรวมไปถึงแดนเถ้ากระดูกเป็นครั้งคราว เมื่อไม่พบเบาะแสอะไรทุกคนก็เริ่มจะเปลี่ยนทิศทางและจากไป
สามวันถัดจากนั้นจึงไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ในตอนนั้นเองคาร์รอลก็ยังคอยติดตามเรื่องทุกอย่างอยู่ในค่ายรั่วหรือย่างใกล้ชิด
“ท่านแม่ทัพ พวกเราได้คําตอบจากลั่วหลานมาแล้ว แม้ว่าดาบปีศาจจะยังไม่ถูกพบตัว แต่พวกเขาก็ได้วางกับดักตามเส้นทางกลับไปยังดินแดนหยานไว้เป็นจํานวนมากแล้ว ยังไงซะเจ้านั่นก็กลับมาไม่ได้แน่” ทหารที่รายงานโค้งค่านับให้
คาร์รอลลืมตาขึ้น “ดีมาก…แล้วสถานการณ์ของบาเป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านบาซียังอารมณ์ไม่สู้ดี ท่านบาซี่ไม่อยากจะยอมรับความเห็นของท่าน”
“เจ้าโง่นั่น…ทําไมคนอย่างเจ้านั่นถึงได้กลายเป็นคนทรงผู้ยิ่งใหญ่ได้?” คาร์รอลยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ในดินแดนหยานมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพียงแค่คนเดียว…ถ้าหากทั้งสิบสองดินแดนร่วมมือกัน เจ้าคิดว่าพวกเราจะกลายเป็นราชาของลั่วหลานได้รึเปล่า?”
“ข้า…ไม่รู้
“แค่นี้ก่อน ถ้าหากเจ้านั่นจะมาหาก็บอกไปว่าข้ายุ่งอยู่”
“ครับ ท่านแม่ทัพ!” ทหารผู้รายงานจากไป เขาได้บินออกจากค่ายก่อนที่จะมาถึงค่ายพักแรมอีกแห่ง
หลังจากที่ผ่านทหารยามทั้งหลายไปในที่สุดเขาก็เดินทางมาถึงเต็นท์หลัก “ท่านบาซี่ ข้ามาเพื่อถ่ายทอดข้อความของท่านแม่ทัพ”
มีเสียงของใครบางคนดังออกมาจากเต็นท์ “ข้าไม่คิดว่าแม่ทัพจะคิดค้านข้า เขาพอใจกับค่าแนะนําของข้ารึเปล่า?”
ทหารคนนั้นตอบกลับไป “ท่านแม่ทัพบอกว่าไม่สามารถยอมรับคําแนะนําที่น่าขันแบบนั้นได้ ชาวลั่วหลานควรจะไตร่ตรองตัวเองสักที่ว่าทําไมพวกเขาถึงได้อ่อนแอเช่นนี้”
“อะไรนะ?”
“ท่านบาซ่อย่าเพิ่งโกรธไป! ข้าก็แค่ถ่ายทอดสิ่งที่ท่านแม่ทัพพูด! ท่านแม่ทัพบอกว่าตัวเขากําลังยุ่งมาก ไม่สามารถพบท่านได้
คนทรงบาซี่ที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกโกรธแค้น “ไปได้แล้ว”
ทหารผู้ส่งสารไม่กล้าที่จะยืนอ้อยอิ่งอีกต่อไป เขารีบวิ่งออกจากเต็นท์ก่อนที่จะหลบเข้าไปในป่า ชายคนนั้นได้ส่งจดหมายก่อนที่จะกลับไปยังค่ายทหารของชาวรั่วหรี่
ภายในค่ายของชาวลัวหลาน
บาซี่ที่ได้ฟังแบบนั้นสบถออกมาดังๆ “คาร์รอล ชาวรั่วหรี่ก็เป็นได้แค่พวกป่าเถื่อน มันกล้าเทียบเคียงตัวเองกับชาวลั่วหลานได้ยังไงกัน?”
คนทรงที่อยู่ใกล้พูดออกมาด้วยความเคารพ “นายท่าน…พวกเราควรจะคิดวิธีหยุดยั้งยู่ฉางตงก่อนรึเปล่า?”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
“ข้าไม่คิดว่าเราควรจะทําแบบนั้น…พวกเราสามารถแสดงเจตนาดีต่อชาวดินแดนหยานได้ ในตอนนี้สํานักอเวจได้ยึดครองดินแดนหยานแล้ว ข้าเกรงว่าดินแดนพันธมิตรทั้งสิบสองแห่งจะช่วยอะไรพวกเราไม่ได้”
บาซ่เหลือบมองคนทรงคนนั้น “ไม่”
“นายท่าน?”
“ไม่เพียงแค่สกัดกั้นยู่ฉางตงแต่ข้าจะบังคับให้เจ้านั่นเดินทางยังดินแดนของชาวรั่วหรี่ ต่อให้ใช้ทุกอย่างข้าก็จะฆ่าเจ้านั่นให้ได้ เมื่อยู่ฉางตงตายศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องโทษชาวรั่วหรี่แน่ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าคาร์รอลจะรับมือกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลับได้ยังไง!”
“นายท่านฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ”
“ไปได้แล้ว จําไว้ว่าชาวรั่วหรี่จะต้องเป็นผู้ลงมือทุกอย่าง”
“ครับ”
แค่การปลอมตัวให้เหมือนกับชาวรั่วหรี่เท่านั้นแผนการใส่ร้ายก็จะเสร็จสมบูรณ์
สิบสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาสี่สิบเก้าวันที่ผ่านไปไม่ได้ยาวนานหรือสั้นไปแต่อย่างใด แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นเวลาที่มากพอแล้วสําหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ของโลกภายนอกเป็นเช่นไร
ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก พระจันทร์ยังต้องลาลับไปเช่นเคย ทุกอย่างยังคงดูปกติดี
ในยามเช้ามักจะมีหยาดน้ําค้างร่วงหล่นจากกิ่งไม้อยู่เสมอ แสงแดดที่ส่องผ่านทําให้หยาดน้ํา ค้างดูเป็นประกาย
อึ้ง!
หยาดน้ําค้างที่ตกลงมาถูกพลังที่มองไม่เห็นชะลอความเร็วไว้ มันเป็นพลังที่สกัดกั้นไม่ให้หยาดน้ําค้างตกใส่ผมของยู่ฉางตง
ยฉางตงลืมตาขึ้น ตัวเขารีบกระจายพลังที่มีไปรอบตัว หยาดน้ําค้างที่เคยลอยอยู่เหนือศีรษะสลายหายไปในทันที
มุ่ง! ทุ่ง! ทุ่ง!
เสียงฟองน้ําที่กําลังผุดขึ้นมาดังมาจากใจกลางบึงโคลนอีกครั้ง
ยู่ฉางตงบินลงมาจากป่า ตัวเขากําลังเหลือบมองไปที่พื้น
ในตอนนี้ฟองน้ําที่ผุดขึ้นมีมากกว่าเดิม น้ําที่เคยมีก็เริ่มละลายกลายเป็นไอน้ํา เมื่อน้ําทั้งหมดละลายไป บังโคลนก็เริ่มเดือดแห้งเหลือแต่ดิน ในที่สุดเสียงฟองน้ําก็เงียบหายไปที่ตรงนั้นเหลือ แต่เพียงผืนดินที่แห้งผาก
ยฉางตงเอามือไขว้หลัง ตัวเขาเหลือบมองพื้นก่อนจะพูดออกมา “เวลาของท่านหมดแล้ว…”
ยู่ฉางตงเหลือบมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมาจากทิศตะวันออกได้ส่องแสงไปยังนครหลวงลั่วหลาน
ทุกอย่างเงียบสงบ
ฝูงนกที่บินอยู่เหนือศีรษะส่งเสียงร้องตามปกติ มันกตัวหนึ่งที่ดูไม่เหมือนนกตัวอื่นได้บินลงมายังใจกลางบึงโคลน นกที่บินลงมาได้ใช้จะงอยปากจิกพื้นอย่างกระตือรือร้น ไม่นานนักมันก็จิกพื้นจนกลายเป็นรูพรึบ!
แขนที่ถูกปกคลุมไปด้วยดินผุดขึ้นมาจากพื้น แขนที่ปรากฏขึ้นมาได้คว้านกตัวนั้นเอาไว้ ไม่นานนักมันก็ได้ปล่อยนกตัวนั้นไป
นกที่เคยถูกจับบินหนีไปด้วยความหวาดกลัว
แขนที่ปรากฏขึ้นมายังคงไม่หายจากไปไหน