My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 628 ตายซะ!
นักรบชาวรั่วหรี่เหลือบมองไปที่คาร์รอล ผู้เป็นดั่งเทพสงครามของพวกเขาด้วยสายตาอันชื่นชม
การมาถึงของคาร์รอลและรองแม่ทัพทั้งสี่ช่างสง่างามและดูประน่าประทับใจ
ม้าศึกของพวกเขาหยุดเดิน
คาร์รอลและรองแม่ทัพทั้งหมดลงจากหลังม้า
คาร์รอลมองตรงไปด้านหน้า ในสายตาของเขาไม่ได้ให้ความสําคัญอะไรกับกลุ่มคนเหล่านั้นเลย
“ท่านแม่ทัพ ชายชราคนนั้นเป็นคนอยากต่อสู้กับท่าน” ทหารรับใช้ชี้ไปยังชายชราที่กําลังลูบเคราอยู่
คาร์รอลรีบพูดขึ้น “เจ้าผู้ท้าชิง เจ้ามีชื่อว่าอะไรล่ะ?”
ล่โจวไม่ได้ตบกลับตัวเขาโบกแขนเสื่อแทน
สีว์หยาเข้าใจทุกอย่างดี และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงก้าวออกไป “แม่ทัพคาร์รอล ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามานานแล้ว”
คาร์รอลจ้องไปที่สีว์หยา สว่หยากําลังถือพัดขนนกยูงอยู่ในมือ มันตรงกับข้อมูลที่คาร์รอลมีทุกอย่าง “ศิษย์คนที่เจ็ดแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสีคู่หยา เจ้าเป็นเสนาธิการในมณฑลเหลียงอย่างงั้นสินะ?”
“ข้าไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเสนาธิการหรอก ข้าก็แค่พอจะมีไหวพริบเล็กน้อยก็เท่านั้น” สีปูหยาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะเป็นคนเดียวในใต้หล้าที่รู้วิธีควบคุมจิตใจผู้คนเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“ท่านพูดเกินไปแล้ว”
คาร์รอลมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังสีว์หยา “พวกเรากําลังทําสงครามกันอยู่ แต่เจ้าพาทหารมาไม่ถึงร้อยนายซะด้วยซ้ํา เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อทดสอบความกล้าอย่างงั้นเหรอ?”
ตะวันตกเฉียงใต้อย่างนักบุญแห่งดาบจงหลี่เต๋ได้พิทักษ์เขตพรมแดนด้วยตัวของเขาเอง แม้แต่ทัพของชาวลั่วหลานนับแสนก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่ที่นี่พวกเรามีคนกว่าร้อย พวกเราน่ะดีกว่าในตอนนั้นมาก”
คาร์รอลพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ข้าอยากจะบอกความจริงกับเจ้าสักสองประการประการ แรกเจ้าไม่ใช่ราชาแห่งดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ประการที่สองรั่วหน่ะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว”
สีรู่หยาพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ข้าเห็นด้วย…ข้าไม่ใช่จงหลี่เต๋ และดินแดนหยานก็ไม่ใช่ดินแดนเหมือนกับในอดีตเช่นเดียวกัน”
“การพูดคุยแบบนี้ช่างไร้ความหมาย” คาร์รอลหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังของสีว์หยาอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเจ้ายอมเอาหัวมาถวายให้กับข้า มันก็คงจะไม่สุภาพเท่าไหร่ที่ข้าจะปฏิเสธมาเริ่มกันเลยเถอะ!”
นักรบชาวรั่วหรี่ที่อยู่ด้านหลังต่างก็กระจายตัวออกมา เพียงคําสั่งของคาร์รอลแค่คําเดียวทุกคนก็พร้อมที่จะพุ่งจู่โจมศัตรูอย่างสุดตัวไม่มีใครกลัวความตาย
คาร์รอลพูดต่ออย่างเย็นชา “ข้าขอพูดตรงๆ เลยละกัน…นอกจากอาจารย์ของเจ้าข้าก็ไม่เคยต้องกังวลอะไรเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า” เมื่อพูดจบตัวเขาก็เริ่มโบกแขน
รองแม่ทัพทั้งสี่ถอยกลับไปที่ด้านหลังของคาร์รอล
มันเป็นวิธีการการต่อสู้ที่เรียบง่ายที่สุดการต่อสู้ของแม่ทัพนั่นเอง
เมื่อกองทัพทั้งสองกองเผชิญหน้ากัน การดวลตัวต่อตัวระหว่างแม่ทัพถือเป็นการต่อสู้ที่เรียบง่ายที่สุด มันเป็นการต่อสู้ที่ต่างฝ่ายจะส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
สีรู่หย่าส่ายหัว “อาจารย์ของข้าบอกว่าไม่จําเป็นที่จะต้องสู้”
“หืม?”
“อาจารย์ของข้าเป็นผู้ที่มีเมตตา เขาไม่อยากเห็นผู้คนต้องหลั่งเลือด ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวรั่วก็ตามดังนั้น…ถ้าหากเจ้ายอมมอบตัวท่านอาจารย์ข้าจะยอมลงโทษเจ้าสถานเบาเท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนั้นรองแม่ทัพที่อยู่เคียงข้างคาร์รอลก็หัวเราะเยาะออกมา มันถือเป็นเรื่องตลกที่ตลกที่สุดในโลกสําหรับพวกเขา
แม้จะหัวเราะมากแค่ไหนแต่สีหน้าของสีว์หยาก็ยังดูจริงจัง
ในทํานองเดียวกันสีหน้าของสมาชิกศาลาปีศาจลอยฟ้าทุกคนก็เริ่มจริงจังเช่นกัน
จะมีอะไรน่าขันในเมื่อพวกเขามีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ?
คาร์รอลตอบกลับ “ทุกคนรู้ดีว่าเจ้าน่ะฉลาดแกมโกง”
“ข้าเป็นศิษย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ต่อหน้าอาจารย์ข้าไม่มีทางพูดโกหกแน่…อาจารย์ของข้ายืนอยู่ที่นี่แล้ว”
ทันทีที่ส่วหยาพูดจบ เสียงหัวเราะของทุกคนก็เงียบหายไป ทุกคนต่างก็เหลือบมองไปที่ด้านหลังของสีว์หยา
แม้จะได้ฟังแบบนั้นแต่คาร์รอลก็ยังไม่เชื่อ “อย่าคิดว่าจะหลอกข้าได้เลย อาจารย์ของเจ้ากําลังดูแลเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เขาน่ะจากที่นั่นมาไม่ได้หรอก…เจ้าคิดว่าจะพาคนที่มีหน้าตาคล้ายกับเขามาที่นี่และข้าจะหลงกลเจ้าอย่างงั้นเหรอ?”
ในสงครามพลังของหลักจิตวิทยามักจะมีบทบาทสําคัญอยู่เสมอ ยิ่งเรื่องที่ได้ฟังดูสมจริงมากขึ้นเท่าไหร่โอกาสที่จะเป็นเรื่องโกหกก็มีมากขึ้นเท่านั้น
แต่น่าเสียดายสีรู่หยาพูดความจริง ตัวเขาได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “คาร์รอล เจ้าคิดว่าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะต้องใช้อุบายเหรอไงกัน?”
ในเวลานั้นเองทหารคนหนึ่งก็เริ่มต้นพูดขึ้น “สียว์หยา เจ้าคิดว่าแม่ทัพคาร์รอลมีแต่กล้าไม่มีสมองเหรอไงกัน? ข้าจะตอบคําถามของเจ้าเอง” ทหารคนนั้นก้าวออกมาข้างหน้า “มันเป็นเรื่องธร รมดาอยู่แล้วที่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะต้องเฝ้าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…เจ้าอาจจะไม่รู้…ทันทีที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องมีผู้มี พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบแอบเข้าไปที่นั่นแน่ และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนก็จะถูกฆ่าตาย ก่อนหน้านี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้รับการปกป้องโดยแปดแม่ทัพใหญ่และสุนัขขององค์จักรพรรดิ แล้ว เจ้าจะให้ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลับออกมาจากเมืองได้ยังไงกัน?” คําพูดของทหารคนนั้นเพื่อไปด้วยพลังลมปราณมันเป็นคําพูดที่ทุกคนก็ต่างได้ยิน
หมิงหยินที่ได้ฟังแบบนั้นตอบโต้กลับไป “ท่านอาจารย์ แสดงพลังอวตารให้เจ้าพวกนั้นเห็นเถอะครับ ทําให้เจ้าพวกนั้นต้องหวาดกลัวด้วยเถอะ”
ทุกๆ คนต่างก็เหลือบมองสู่โจวทุกคนกําลังมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง ทุกคนรอการปรา กฏตัวของพลังอวตารอยู่
ในสงครามถ้าหากทําลายขวัญและกําลังใจของศัตรูได้ก็เท่ากับว่าได้รับชัยชนะไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ลู่โจวเหลือบมองหมิงหยินจากหางตา เจ้าศิษย์ไม่รักดีนี่ลืมไปแล้วสินะว่าฉันเป็นอาจารย์? นั้นมันการ์ดใบสุดท้ายของฉัน คิดว่าฉันจะยอมใช้อย่างงั้นเหรอ?”
หมิงซูหยินที่เห็นหางตาของลู่โจวรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร “เปล่าประโยชน์! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันที่จะได้เห็นพลังอวตารของอาจารย์ข้า? ท่านอาจารย์ให้ข้าได้ต่อสู้ด้วยเถอะ!”
ลู่โจวไม่ได้พูดอะไร ตัวเขาโบกแขนเสื้อเป็นการส่งสัญญาณ
หมิงซูหยินกระโดดออกมาจากด้านหลัง เขาได้รับอนุญาตจากผู้เป็นอาจารย์แล้ว
จิตใจของคนเราช่างแปลกประหลาด การกระทําของหมิงหยินยิ่งทําให้ทุกคนคิดว่าพวกเขากําลังโกหกอยู่!
รองแม่ทัพหัวเราะเยาะ “เจ้ากําลังโกรธที่ความจริงถูกเปิดเผยอย่างงั้นเหรอ? ท่านแม่ทัพให้ข้าออกโรงเถอะ”
“ไปซะ!”
“ครับ!” รองแม่ทัพคนแรกพุ่งไปด้านหน้า
สีปูหยาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะก้าวออกมา เขาได้ทําสิ่งที่จะทําได้ไปหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าจู่โจวจะออกโรงต่อสู้เอง แต่ฝั่งตรงข้ามก็ยังมีกองทัพนับล้านคนรออยู่ ตัวเขาจะกําจัดกองทัพทั้งหมดไปได้ยังไง? การจะทําแบบนั้นได้จะต้องใช้พลังวิเศษมากจนเกินไปแน่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการกําจัดหัวหน้าของชาวรั่วหรี่
รองแม่ทัพผลักตัวเองออกจากพื้นดินก่อนที่จะเผชิญหน้ากับหมิงซีหยินในอากาศ
ชู่วว!
หมิงซูหยินเรียกพลังอวตารของตัวเองออกมา ดอกบัวทองค่สองกลีบกําลังโคจรรอบตัวเองต่อหน้าทุกคน
เมื่อเห็นดอกบัวทองคําสองกลีบ รองแม่ทัพก็พูดเย้ยหยันขึ้น “แค่นั้นเองสินะ? ข้าจะจัดการเจ้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเอง!” ท้ายที่สุดรองแม่ทัพก็ปล่อยพลังฝ่ามือออกมาพลังฝ่ามือที่ดูคล้ายขวานได้พุ่งเข้าหาหมิงหยิน
หมิงซูหยินที่เห็นการโจมตียังเดินหน้าต่อไป เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเรียกเคียวพื้นพิภพออกมา หมิงซูหยินใช้อาวุธคู่ใจผ่าขวานสีทองจนไม่เหลือชิ้นดี
คาร์รอลที่เห็นแบบนั้นตะโกนออกมา “อย่าประมาทคู่ต่อสู้!”
รองแม่ทัพเข้าใจดี “ข้ารู้นะว่าเจ้ากําลังปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้! ตายซะ!”
รองแม่ทัพปลดปล่อยพลังฝ่ามืออีกครั้ง ครั้งนี้พลังฝ่ามือรูปร่างขวานใหญ่กว่าเดิมกว่าสามเท่า
ในเวลาเดียวกันแขนของอวตารราชันย์หมาป่าก็ปรากฏขึ้น ร่างอวตารได้ผสานเข้ากับรองแม่ทัพในทันที
ไม่มีดอกบัวทองคํา!
แม้หมิงหยินจะประหลาดใจ แต่ตัวเขาก็ยังใช้เคียวพื้นพิภพจู่โจมไปที่พลังฝ่ามือเหมือนเช่นเคย
“ศิษย์พี่!”
ตุ้ม!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าปะทะกันในชั่วพริบตา!
เสียงการปะทะดังสนั่นไปทั่วใครกันที่จะล้มลงก่อน?
หลังของทั้งสองฝ่ายต่างก็หันเข้าหากัน
การต่อสู้จบลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
สายตาของทุกคนกําลังจับจ้องไปที่สองฝ่าย ทุกคนได้แต่เฝ้ารอผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ
ใครกันที่เป็นผู้ชนะ?
หมิงหยินไม่ขยับไปไหน หลังของเขายังคงหันให้กับรองแม่ทัพของชาวรั่วหรี่
รองแม่ทัพชาวรั่วหลี่หันกลับไปก่อนที่จะหัวเราะขึ้น “เจ้าคิดว่าตัวเองจะเอาชนะข้าได้เหรอไงกัน? น่าขันสิ้นดี!” รองแม่ทัพหันกลับมาก่อนที่จะเลิกใช้พลังอวตารไป
“ศิษย์พี่สี่!” สีรู่หยาตะโกนออกมา
ในตอนที่สีว์หยากําลังจะก้าวออกไป ในตอนนั้นเองเสียงของอะไรบางอย่างที่แตกหักก็ดังขึ้นไม่นานชุดเกราะของรองแม่ทัพคนนั้นก็แตกสลายไป
“หืม?”
มีเลือดไหลออกจากบาดแผล!
“เจ้า!” รองแม่ทัพรั่วหรียกแขนขึ้นก่อนที่จะมองกลับไปหาหมิงซูหยิน
หมิงหยินกําลังเช็ดคราบเลือดบนอาวุธคู่ใจ
ในตอนที่เข้าปะทะกัน รองแม่ทัพคนนั้นสังเกตเห็นกลีบดอกบัวทองคําอยู่ภายใต้แขนเสื้อของหมิงซูหยินได้ ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่ามีดอกบัวทองคํากลีบ แต่เขาก็แน่ใจว่ามันจะต้องมีกลีบดอกบัวทองคําอย่างน้อยหกกลีบแน่! บาดแผลที่รองแม่ทัพ มีเริ่มฉีกขาดเลือดยังคงไหลรินออกจากบาดแผล และในที่สุดเขาก็ล้มไปกับพื้น
พรึบ!
รองแม่ทัพไม่หายใจอีกต่อ
หมิงหยินที่ทําความสะอาดอาวุธคู่ใจเสร็จหันไปมองชาวรั่วหลี “ใครเป็นคนต่อไปล่ะ?”