My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 632 ทาส
เมื่อคาร์รอลผู้เป็นดั่งเทพสงครามแห่งชาวรั่วหรี่เสียชีวิตไป ไฟสีม่วงในค่ายทหารของชาวรั่วหรี่ก็ดับลง
ทหารประจําการที่อยู่นอกเต็นท์ต่างก็เห็นเทียนที่ดับ พวกเขาได้แต่เบิกตากว้างด้วยความสยดสยอง
“ทุกคน! มารวมตัวเร็ว!”
“แจ้งไปยังทุกคนที่อยู่ทางตะวันตกของคูสวรรค์ให้ล่าถอย! พวกเรารีบกลับกันเถอะ!”
“รับทราบ!”
หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธและทหารชาวรั่วหรี่ได้รู้เรื่องข่าวการตายของเทพสงคราม ขวัญและกําลังใจของพวกเขาก็ลดลงเป็นอย่างมาก ทุกคนรีบทําตามค่าสั่งก่อนที่จะถอยกลับไปยังดินแดนรั่วหรี่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่คสวรรค์ทางฝั่งตะวันตกก็เงียบสงบ
ในขณะนั้นเองชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าก็รีบเร่งข้ามคูสวรรค์โดยการนําของลู่โจว
ยอดคูสวรรค์ที่สูงตระหง่านไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองเห็นมันได้จากเชิงเขา เมื่อข้ามมาได้ครึ่งทาง พวกเขาก็เจอกับพายุหิมะ อุณหภูมิที่นั่นลดลงอย่างรวดเร็ว ลมหนาวที่พัดผ่านทุกคนเป็นเหมือนกับคมมีด
ฝานลี่เทียนเคยข้ามคูสวรรค์มาก่อน ดังนั้นตัวเขาจึงรู้เรื่องนี้ดี เขาได้เปิดใช้งานพลังป้องกันพายุหิมะตั้งแต่แรกเริ่ม “นี่ไม่ใช่สถานที่ที่แย่ที่สุด ข้าเคยข้ามไปยังคูสวรรค์ทางตอนใต้มาแล้ว ที่นั่นแหละของจริง ถ้าหากพวกเราอยู่ใกล้กันมากพอ พวกเราจะสามารถผลัดกันใช้พลังป้องกันได้”
เป็นธรรมดาที่พลังของส่วนรวมย่อมยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังของคนเพียงคนเดียว
หมิงหยินถามออกมา “แล้วชาวรั่วหรี่ข้ามมันมาได้ยังไง?”
ฝานลี่เทียนหันกลับไปตอบ “มีสามวิธีที่จะข้ามมาได้ วิธีแรกก็คือการบินมาจากทางตอนเหนือ วิธีที่สองก็คือข้ามคูสวรรค์ด้วยรถม้า และวิธีที่สามก็คือการลอดอุโมงค์ใจกลางคูสวรรค์ ที่นั่นเคยใช้เป็นที่ขนส่งสินค้ามาก่อน แต่ก็เพราะสงครามจึงทําให้เส้นทางตรงนั้นถูกตัดขาดไป”
“อย่างงี้นี่เอง” หมิงซูหยินเข้าใจทุกอย่างดี
ในระหว่างที่พูดคุยกันลมที่พัดผ่านก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทุกๆ คนต่างก็เงยหน้าขึ้นมอง
“ให้ข้าใช้พลังก่อนเถอะ!”
ขวดน้ําเต้าสีทองส่องสว่าง ทันใดนั้นเองพลังอวตารไร้ดอกบัวห้ากลีบก็ปรากฏขึ้น พลังงานสีทองของมันได้ปกป้องทุกคนจากพายุหิมะเอาไว้
ทุกๆ คนต่างก็บินตามพลังอวตารไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ผลัดกันใช้พลังอวตารออกมา
หอยสังข์เป็นเพียงคนเดียวที่มีพลังอวตารทศภพ ดังนั้นนางจึงทําได้แค่เพียงติดตามลูโจว นางไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายได้เลย เมื่อเห็นแบบนั้นนางก็ดูเป็นกังวล
“ศิษย์น้องเล็กไปกันเถอะ!”
“ศิษย์น้องเล็ก!”
“ฮาฮ่า…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ให้พวกข้าได้ปกป้องเจ้าเถอะ!”
ตัวนมู่เฉิง หมิงหยิน สีหยา และหยวนเอ่อได้ปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อป้องกันหอยสังข์จากพายุหิมะ
“ขอบคุณศิษย์พี่ทุกคน!” หอยสังข์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางที่ได้กําลังใจตัดสินลุกขึ้นสู้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนแทบจะไม่สามารถแยกแยะภูเขาหรือว่าแม่น้ําที่ใต้ล่างได้เลย ที่คูสวรรค์เต็มไปด้วยพายุหิมะ มันได้เปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นสีฟ้า ตลอดทั้งปีที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มีเพียงการมองไปทางใต้เท่านั้นที่จะทําให้เห็นว่าคูสวรรค์นั้นสูงแค่ไหน
ไม่นานหลังจากนั้นสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็มาถึงยอดคูสวรรค์ พวกเขามองเห็นภูเขา และแม่นําอันสวยงามได้อย่างชัดเจน
นี่เอียนมาถึงด้านบนสุดของคูสวรรค์ก่อน มันกําลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายใจ
“ภูเขาจะใหญ่แค่ไหนแต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าใจของพวกเราได้” สู่โจวอุทานออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เป็นบทกวีที่ดีอะไรแบบนี้!” หมิงหยินปรบมือ
ตัวนมู่เฉิงหันไปมองหมิงหยิน ทันใดนั้นหมิงหยินก็รีบปิดปาก แม้ว่าเขาจะมีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบแล้วก็ตาม แต่เมื่อนึกไปถึงพลังอวตารไร้ดอกบัวสี่กลีบของตัวนมู่เฉิง หมิงซูหยินก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไร
ตัวนมู่เฉิงหันกลับมาหาสู่โจวก่อนจะพูดขึ้น “เป็นบทกวีที่ดี!”
หมิงซูหยินพูดไม่ออก “…”
ฝานลี่เทียนพูดต่อ “ผู้คนมากมายมักจะบอกว่าท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า เชี่ยวชาญแต่การฝึกยุทธ ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดร้ายแรง ช่างเป็นบทกวีที่ดีจริงๆ !”
สีว์หยาหันกลับมาก่อนที่จะถามฝานลี่เทียน “แล้วท่านรู้เรื่องบทกวีมากแค่ไหนกันล่ะ?”
“ก็แค่นิดหน่อย”
รร
“แค่นิดหน่อยแล้วจะชมเชยได้ยังไง?”
หลังจากที่เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ได้สักพัก จู่โจวก็พูดขึ้น “ลงจากที่นี่ได้แล้ว”
ทุกๆ คนพยักหน้าก่อนที่จะกระโดดลงจากคูสวรรค์ไป
หลังจากที่ผ่านไปกว่าหลายชั่วโมงในที่สุดทุกคนก็มาถึงพื้น
“ทุกคนนอกเหนือหอยสังข์ออกไปค้นหาซะ…จําไว้ว่าให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อน”
“ครับ/ค่ะ!”
ทุกๆ คนบินกระจายแยกย้ายกันออกไป
ถ้าหากไม่มีทหารชาวรั่วหรี่และคนทรงจากลั่วหลาน ที่ตะวันตกของคูสวรรค์แห่งนี้ก็เป็นเหมือนกับที่อันแสนเงียบสงบ
สิบวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ทางตะวันออกของเหวลึกแสนฟุต ที่ที่อยู่ทางตอนเหนือของคูสวรรค์
แม่น้ําเมฆาพิโรธได้ไหลผ่านผืนดิน มันได้ทําลายหมู่บ้านหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับแม่น้ํา
ณ หมู่บ้านคู่ลั่ว
ชายชราชาวรั่วหรี่กําลังบรรยายสภาพของหมู่บ้านให้กับชายผู้แต่งตัวดีได้ฟัง “นายท่าน มีเด็กกว่า 20 คนอายุ 10 ขวบในหมู่บ้านปีนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ได้โปรดยอมรับพวกเขาเถอะ พวกเขาทั้งหมดมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่ยอดเยี่ยมของชาวรั่วหรี่ได้แน่ พวกเขามีแววของนักรบผู้ยิ่งใหญ่อยู่”
ชายหนุ่มที่แต่งตัวดีส่ายหัวก่อนจะตอบกลับ “ข้าได้ตรวจสอบร่างกายของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่เหมาะที่จะฝึกฝนพลังวรยุทธ เจ้ามีเด็กคนอื่นอีกรึเปล่าล่ะ?”
“นายท่านต้องการจะพบกับลูกคนโตของข้ารึเปล่าล่ะ?”
“ข้าแน่ใจว่าเคยพบเด็กคนนั้นมาก่อน…ช่างมันเถอะ ข้าจะไปหมู่บ้านถัดไป” ชายที่แต่งตัวดีพูดก่อนจะเตรียมตัวบินจากไป
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มสองคนจากหมู่บ้านกําลังยั่วโมโหชายหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เพราะแบบนั้นจึงทําให้ชายผู้แต่งตัวดีกลับมา
อาดงชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา “อาไห่ หยุดมองไปรอบๆ ได้แล้ว พวกเราจะไม่หยุดทําร้ายแกแน่ถ้าหากแกไม่ยอมคืนของมา”
“อย่าคิดหนีเลย…ข้างนอกมันอันตราย แกมีแต่จะอดตายซะเปล่าๆ”
ชายหนุ่มสองคนกําลังผลัดกันกลั่นแกล้งชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอาไร่
เมื่อชายแต่งตัวดีเห็นอาไห่ เขาก็ได้ถามออกมาด้วยความสงสัย “นั่นใครกัน?”
ชายชรารีบตอบ “นายท่าน เขาเป็นทาสในหมู่บ้านคู่รั่วของพวกเรา”
“ทาสอย่างงั้นเหรอ?”
ชายชรากวักมือเรียกอาไห่ “อาไห่ มานี่สิ…”
อาไห่วางของที่ถืออยู่ลงบนพื้นก่อนจะเดินมา
ชายผู้แต่งตัวดีประเมินอาไร่ เมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายและความเกลียดชังที่ซ่อนอยู่ในดวงตา เขาก็รู้ได้ทันที “เด็กจากดินแดนหยาน?”
“ถูกต้องแล้ว พวกเรามักจะจับชาวดินแดนหยานและใช้พวกเขาเป็นทาส เด็กคนนี้แข็งแกร่ง แต่ก็ดื้อรั้น ทาสของดินแดนหยานส่วนใหญ่จะทนไม่ได้และปลิดชีพตัวเองไปนานแล้ว แต่เด็กคนนี้ยังอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้”
ชายที่แต่งตัวดีโบกมือให้ ในตอนนั้นใบมีดพลังงานก็ได้ฟันเสื้อผ้าของอาไร่ให้ขาดออกจากกัน เมื่อเสื้อผ้าขาดก็เผยให้เห็นเครื่องหมายอันน่าสะพรึงกลัวบนร่างกาย ชายคนนั้นประเมินร่างกายของอาไร่ก่อนจะส่ายหัว “เขามีพรสวรรค์และรากฐานที่จะฝึกพลังอันยอดเยี่ยมอยู่…น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ชาวรั่วหรี่”
อาดงยิ้มก่อนจะพูดออกมา “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าอาไร่จะเหมาะกับการฝึกยุทธ”
ชายชราส่ายหัว “น่าเสียดายที่เขาเป็นชาวดินแดนหยาน”
ในตอนนั้นเองชายผู้แต่งกายดีก็ได้คิดอะไรขึ้นได้ “เป็นไปไม่ได้เลย…”
ชายชราที่ได้ฟังแบบนั้นยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ชายผู้แต่งกายดีพูดเลย
การที่จะเปลี่ยนชาวดินแดนหยานให้กลายเป็นนักรบของชาวรั่วหรี่เพื่อต่อสู้กับดินแดนหยาน ซะเองถือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
อาไห่เองรู้เรื่องทุกอย่างดี ในหมู่บ้านคู่ลั่วสามารถมอบความเจ็บปวดบนร่างกายให้กับเขาได้เท่านั้น ถ้าหากเขาอดทนจนผ่านมาได้ สักวันหนึ่งเขาก็มีโอกาสที่จะหลบหนี แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ ชีวิตของเขาก็คงจะเหมือนตกนรกทั้งเป็น และเพราะแบบนั้นอาไร่จึงตัดสินใจหันหลังหนีอย่างไม่ลังเล!
อาดงที่เห็นแบบนั้นพูดเย้ยหยัน “วิ่งหนีอีกแล้ว เห็นไหมล่ะ? ชาวดินแดนหยานโง่เง่าไม่ต่างอะไรจากหมูสกปรกหรอก”
ชาวบ้านรูปร่างแข็งแรงและหมาป่าทั้งหลายรีบวิ่งตามไป
อาไร่ที่บาดเจ็บแทบที่จะเดินตรงๆไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็พยายามที่จะหนี้
พรึบ!
ใครบางคนยิงหนังสติก
ผัวะ!
ลูกกระสุนกระทบเข้ากับน่องของอาไร่จนทําให้เขาล้มลงกับพื้น
ชาวบ้านหลายคนรุมล้อมก่อนจะจับตัวอาไห่เอาไว้
อาไห่เอามือป้องกันศีรษะตัวเองด้วยความคุ้นเคย ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นชินกับการถูกลงโทษแล้ว ทุกครั้งที่คิดหนี้ก็มักจะจบลงเช่นเดิม
ชีวิตไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าหากยังทําทุกอย่างเช่นเดิม ผลลัพธ์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ชายที่แต่งกายดียกมือขึ้น “หยุด”
ชาวบ้านหมู่บ้านคู่ลั่วต่างก็ถ่มน้ําลายใส่อาไห่ก่อนจะถอยไป
“คนของดินแดนหยานก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ”
ชายที่แต่งตัวเดินเข้ามาใกล้ “แล้วเจ้าจะฆ่าเขาแบบนี้อย่างงั้นเหรอ?”
“ความตายมันดีเกินไป คนของพวกเราถูกพวกมันรังแกมาโดยตลอด คนในครอบครัวข้าหกคน ต่างก็ถูกฆ่าโดยฝีมือของทหารดินแดนหยาน ในตอนที่เจ้าสุนัขจักรพรรดิหย่งโชวรณรงค์สร้างสันติภาพ มีพวกเรากคนต้องตายจากไป? ถ้าหากเจ้านั่นมันตายก็นับว่าเป็นโชคของมันแล้ว”
“ถูกต้อง! ความตายมันดีเกินไป! พวกเราจะทําให้มันกลายเป็นทาสต่อไป และเมื่อมันตายพวกเราจะสับมันเป็นชิ้นๆ ก่อนจะให้พวกหมาป่าได้กิน”