My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 68
หลังจากที่เหตุการณ์บนแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ผ่านไป ลู่โจวก็รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที แต่ถึงแบบนั้นจิตใต้สำนึกลึกๆ ของเขาก็ยังสั่งการตัวเขาให้ทำงานต่อไป ลู่โจวตอนนี้เรียกเปิดเมนูระบบขึ้นมาดู
ชื่อ: ลู่โจว
เผ่า: มนุษย์
วรยุทธ: ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้, ระดับรวบรวมพลังลมปราณ
แต้มบุญ: 4,490
อวตาร: อวตารตรีบุปผา
อายุขัย: 5,804 วัน
ของที่มี: การ์ดการโจมตีของเพรชฆาต x2, การ์ดป้องกันสุดยอด x2, การ์ดประกันชีวิต x7, วิซาร์ด, บี่เอี๊ยน
อาวุธ: อาวุธนิรนาม, ห่วงแห่งรัก
เคล็ดวิชา: เคล็ดอักษรสวรรค์
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นแต้มบุญของตัวเองมีมากกว่า 4,000 ก่อนหน้านี้ลู่โจวใจจดใจจ่อไปกับการต่อสู้มากเกินไปตัวเขาจึงไม่ได้สนใจการแจ้งเตือน และเพราะเหตุนี้เองตัวเขาจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าการทำภารกิจก่อนหน้านี้ทำให้ตัวเขาได้แต้มบุญมากขนาดไหน
ลู่โจวเลื่อนเมนูระบบไปที่รายการภารกิจ ภารกิจของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้วนั่นเอง
ลู่โจวพบว่าการพาจ้าวยู่กลับมาได้ทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญทั้งหมด 1,000 แต้ม และตัวเขายังได้แต้มบุญอีก 1,000 แต้มมาจากการสังหารนักบวชกงซุน และการสั่งสอนจ้าวยู่เองตัวเขาก็ยังได้แต้มบุญอีก 200 แต้ม แต้มบุญที่เหลือคงจะได้มาจากการที่บี่เอี๊ยนจัดการกับศัตรูที่ขวางหน้าเขา
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าบี่เอี๊ยนช่วยทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญได้เช่นกันแต่ถึงแบบนั้นการที่จะทำให้ได้แต้มบุญจากบี่เอี๊ยนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี ลู่โจวในตอนนี้ขาดแต้มบุญกว่า 500 แต้มด้วยกัน ตัวเขาต้องการที่จะซื้อร่างอวตารจตุกายา
ลู่โจวได้ใช้การ์ดป้องกันสุดยอด 1 ใบและการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตอีก 1 ใบในการสังหารกงซุน ถ้าหากเขาไม่ได้รับรางวัลจากการทำภารกิจป่านนี้ลู่โจวก็คงจะขาดทุนไปกับการต่อสู้แล้ว โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้การ์ดไปมากกว่านี้ ถ้าหากเขาใช้การ์ดไปมากกว่านี้กับคู่ต่อสู้เพียงแค่คนเดียว เมื่อเป็นแบบนั้นมันก็คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก ตอนนี้ตัวเขาเหลือการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตกับการ์ดป้องกันสุดยอดอย่างละ 2 ใบเท่านั้น ‘ฉันควรจะใช้การ์ดเท่าที่จำเป็นเท่านั้นสินะ’
ในตอนนั้นลู่โจวก็นึกถึงเคล็ดอักษรสวรรค์ขึ้นมาได้ ตัวเขาเคยถูกบทสวดมนตร์แห่งพราหมณ์เข้าโจมตีมาก่อน บทสวดอันนั้นมันดูคล้ายกับเนื้อหาในเคล็ดอักษรสวรรค์มาก ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจกับความบังเอิญในครั้งนี้จริงๆ ‘หรือว่าจะมันจะเป็นพลังพิเศษที่มาจากคัมภีร์เล่มนี้กัน? ‘
เมื่อคิดย้อนไปลู่โจวก็พยายามคิดที่จะใช้พลังพิเศษจากเคล็ดอักษรสวรรค์อีกครั้ง แต่ถึงแบบนั้นด้วยพลังที่ตัวเขามีในตอนนี้ก็ไม่อาจที่จะใช้พลังพิเศษได้ ลู่โจวในตอนนี้ไม่สามารถหาทางใช้เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้เลย พลังพิเศษที่คอยช่วยเหลือเขาทรงพลังมากพอจนทำให้พลังจากบทสวดแห่งพราหมณ์ที่มาจากเหล่านักบวชทั้งหลายเป็นโมฆะไป
หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ได้มองไปที่เมนูระบบ ‘แต้มบุญหรือเคล็ดอักษรสวรรค์? ฉันควรจะเลือกอะไรดี? ฉันควรจะไปจับฉลากนำโชคอีกครั้งไหม? แต่โชคของฉันมันดันไม่ดีด้วยละซิ…การเสี่ยงโชคคงจะไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่’
ลู่โจวตัดสินใจที่จะไม่ใช้การ์ดอื่นๆ ที่ตัวเขามี วรยุทธของเขาในตอนนี้มันอยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไป ถ้าหากตัวเขายังฝืนใช้อะไรไปมากกว่านี้บางทีร่างกายที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรอาจจะทนต่อข้างเคียงที่จะตามมาไม่ได้ ตอนนี้ตัวเขาจะต้องเพิ่มระดับของพลังร่างอวตาลโดยเร็วที่สุด ถ้าหากเพิ่มพลังร่างอวตารได้พลังวรยุทธของเขาเองก็จะเพิ่มมากขึ้นตาม ไม่ว่าการ์ดพวกนี้จะทรงพลังมากแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
ลู่โจวได้เปิดเคล็ดอักษรสวรรค์ขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มอ่านมันในทันที
‘เป็นไปตามคาด…’ ลู่โจวสังเกตเห็นเนื้อหาของเคล็ดอักษรสวรรค์ ภายในนั้นยังคงมีสัญลักษณ์ที่ตัวเขาไม่สามารถที่จะตีความได้ ‘ดูเหมือนว่าฉันจะได้แต่จดจำสัญลักษณ์พวกนี้เอาไว้ก่อนเพื่อที่จะตีความมันทีหลังสินะ…’
เหตุการณ์ในตอนนี้คล้ายกับในตอนที่ลู่โจวยังเป็นเด็ก ตัวเขาในตอนนั้นพยายามที่จะจดจำบทกลอนถัง ลู่โจวในตอนนั้นไม่สามารถเข้าใจอะไรความหมายมันได้เลยแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้แต่จดจำมันไป ตัวเขามั่นใจมากกว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องตีความความหมายเหล่านั้นได้แน่
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพิธีศักดิ์สิทธิ์ ลู่โจวตัดสินใจที่จะใช้เวลาและพลังมากขึ้นไปกับการอ่านเคล็ดอักษรสวรรค์
เวลาได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ลู่โจวในตอนนี้ได้เสียสมาธิไปเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าขอใครบางคน เวลานี้มันเป็นเวลาที่เกือบจะมืดค่ำแล้วนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกของประตู “นายท่าน ข้านายพลเฉาอยากที่จะขอเข้าพบท่านสักหน่อย”
ลู่โจวรีบเก็บเคล็ดอักษรสวรรค์ของเขาไป ตัวเขาไม่ได้เปิดประตูในทันที ลู่โจวเลือกที่จะถามกลับไปอย่างไร้อารมณ์แทน “มีอะไรอย่างงั้นหรอ? “
คราวนี้นายผลเฉาเป็นผู้ตอบโต้ ตัวเขาได้ใช้น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงดังกังวานอยู่ดี “ข้า เฉาซั้วจากเมืองรูนหนานอยากที่จะพูดคุยพับปะกับนายท่านสักหน่อย นายท่านพอจะมีเวลาว่างไหม? “
ก่อนที่ลู่โจวจะได้โต้ตอบกลับไป ในตอนนั้นก็มีเสียงหยวนเอ๋อตะโกนมาจากด้านล่าง “ไม่ เขาน่ะไม่ว่างหรอก! “
นายพลเฉารีบเดินไปทักทายเด็กสาวตัวน้อยเมื่อได้ยินเสียง “แล้วเจ้าล่ะเป็นใครกัน? “
หยวนเอ๋อได้เอามือเท้าเอวก่อนที่จะพูดตอบกลับไป “ปู่ของข้าน่ะเหนื่อยมากแล้ว เจ้าคิดว่าจะพบใครก็ได้ตามใจอย่างงั้นหรอ? “
“…”
ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมรู้ว่าเด็กสาวคนนี้แท้จริงแล้วมีวรยุทธอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขารู้แบบนั้นแล้วเขาเลยไม่กล้าที่จะติเตียนเธอ “คุณหนู ชายคนนี้คือแม่ทัพหลวง นายพลเฉา…”
“ข้าไม่สนใจหรอกว่านายพลเฉาไรนั่นจะเป็นใคร…ถึงจะเป็นนายพลลีหรือนายพลหวังมาที่นี่ด้วยตัวเองข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะมาพบท่านปู่ง่ายๆ แบบนี้” หยวนเอ๋อพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เฉาซั้วถึงกับตกตะลึง ‘เด็กสาวตัวน้อยนี้วางท่าใหญ่โต เธอคงจะไม่รู้จักความต่างระหว่างฟ้ากับเหวอย่างงั้นสินะเด็กคนนี้ช่างไร้ความกลัวจริงๆ ‘
ลู่โจวที่ได้ฟังบทสนทนาอยู่พักหนึ่งได้โต้ตอบกลับไป “ปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ” ในตอนแรกลู่โจวก็ไม่ได้คิดที่จะพบปะกับคนคนนี้ แต่เมื่อคิดถึงเหรียญตราจักรวรรดิรวมไปถึงเรื่องคนที่น่าสงสัยจากพระราชวัง บางทีคนคนนี้อาจจะมีเบาะแสอะไรบางอย่างก็เป็นได้ ดังนั้นการที่จะพูดคุยกับเขาสักหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไร
“ค่ะ” หยวนเอ๋อเปิดประตูก่อนที่จะเดินเข้ามาหาลู่โจวอย่างเชื่อฟัง
เฉาซั้วตกตะลึงเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ดี ทันทีที่เฉาซั้วเข้ามาได้เขาก็โค้งคำนับให้กับลู่โจว “สวัสดีนายท่าน ข้าเฉาซั้วมาจากเมืองรูหนาน”
ใบหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย
เฉาซั้วรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นท่าทีของลู่โจว อย่างไรก็ตามเขาก็ได้เดินต่อไปก่อนจะพูดขึ้นมา “นายท่าน ข้าหวังว่านายท่านจะยกโทษให้กับข้าน้อยคนนี้ที่ได้เสียมารยาทกับนายท่านไป”
“พูดสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาซะ” ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร เขาพูดตัดบทออกไปอย่างห้วนๆ
“…”
เฉาซั้วได้เตรียมการเกริ่นบทสนทนามาอย่างดีถึงกับพูดไม่ออก ดูเหมือนการเจรจากับลู่โจวคงจะเป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์
“ข้าได้ยินมาว่านายท่านมีเหรียญตราจักรวรรดิอยู่กับตัว นี่เป็นเรื่องจริงสินะครับ? ” เฉาซั้วได้ถามออกไป
ลู่โจวยังไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขารู้ว่าคำถามคำถามนี้เป็นอะไรที่ไร้ความหมาย
เฉาซั้วรีบพูดต่อไป “หลายปีก่อนเหรียญตราจักรวรรดิได้ตกอยู่ในการครอบครองขององค์จักรพรรดิ มันเป็นเหรียญตราที่สามารถระดมพลคนจากกองทัพจักรวรรดิได้ เหรียญตราอันนี้จึงเป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิ แต่ในอดีตเหรียญตราเหรียญนี้ก็ได้สูญหายไป…”
“ข้าบอกให้พูดธุระของเจ้ามา” ลู่โจวเอ่ยปากพูดอีกครั้ง ตัวเขารู้ดีว่าเรื่องที่นายพลคนนี้กำลังพูดอยู่มันไร้ซึ่งความหมายอะไร
เฉาซั้วไม่สามารถทนเก็บความอึดอัดใจได้อีกต่อไป ตัวเขากำหมัดก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหากเป็นแบบนี้เห็นทีข้าจะต้องใช้กำลัง…” เฉาซั้วหยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดใหม่อีกครั้ง “ได้โปรดยอมแพ้และมอบเหรียญตราคืนมาด้วยนายท่าน”
หลังจากที่เฉาซั้วพูดจบ ตัวเขาก็เหลือบมองไปที่ลู่โจวอย่างมีน้ำโห เขาคิดว่าลู่โจวจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
ลู่โจวได้เอ่ยปากถามขึ้นมาเพื่อความแน่ใจ “เจ้าต้องการเหรียญตราอย่างงั้นสินะ? “
“ข้าไม่ได้ออกคำสั่งกับท่านหรอกนะ ข้าแน่ใจว่าท่านเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนที่ถือครองเหรียญตรานี้มาหลายปีได้หรอก ข้าแค่มาที่นี่ก็เพราะได้รับคำสั่งเท่านั้น” เฉาซั้วพูดตอบกลับไป
“เป็นคำสั่งของใครกันล่ะ? ” ลู่โจวถามออกมาห้วนๆ
“อืม…” เฉาซั้วลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดตอบกลับมาอีกครั้ง “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ถึงแบบนั้นข้าก็มั่นใจว่าคนที่ออกคำสั่งกับข้ามาจะต้องเป็นชนชั้นสูงแห่งพระราชวังผู้ที่มีวรยุทธลึกล้ำอย่างแน่นอน ชายคนนั้นมาพร้อมกับกฤษฎีกา และเพราะแบบนั้นข้าเลยขัดขืนอะไรไม่ได้”
ลู่โจวเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างชัดเจน ตัวเขาที่เข้าใจแล้วได้ตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ถ้าหากเขาคนนั้นต้องการเหรียญตราจักรวรรดิคืน บอกเจ้านั่นให้มาหาข้าด้วยตัวเองซะ
“นายท่าน เหตุใดที่ท่านต้องการแบบนั้นกัน? ข้ารู้ดีว่าท่านมีวรยุทธที่ลึกล้ำเช่นกัน แต่การที่จะทำให้ชนชั้นสูงผู้ที่มาจากพระราชวังมาที่นี่ได้เห็นที…”
ลู่โจวไม่ได้รอให้เฉาซั้วพูดจบซะก่อน ตัวเขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปลูบเคราไป
เมื่อเห็นแบบนั้นเฉาซั้วก็ได้สันนิษฐานว่าลู่โจวก็คงจะเห็นชอบกับคำพูดของตัวเขา ในตอนนั้นเขาเลยแสดงสีหน้าที่พึงพอใจออกมา
ลู่โจวได้โบกมือขึ้นอย่างไม่ไร้อารมณ์ก่อนที่จะพูดกับหยวนเอ๋อขึ้นมา “ส่งเขาออกไปซะ”
เฉาซั้วต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการชักชวนลู่โจว
แต่ถึงแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้โบกมือเล็กๆ ของเธอพร้อมพูดออกมาอย่างน่ากลัว “ไปซะ! “
‘เด็กคนนี้…ช่างกล้าซะจริง! ทำไมเธอคนนี้ถึงแตกต่างจากปู่มากขนาดนี้กัน? เด็กคนนี้ไม่ได้รับการอบรมแน่! ไม่สิ นายท่านคนนี้เองก็เป็นคนประหลาดเช่นกัน’ เฉาซั้วไม่อาจที่จะคิดคำอธิบายอะไรได้เลย เขาทำได้เพียงเดินถอยออกมาจากห้องเท่านั้น
เฉาซั้วที่กำลังเดินออกจากห้องไปได้ยินคำถามของลู่โจวซะก่อน
“ใครส่งซู่ผิงมากัน? “
เฉาซั้วรู้สึกตกใจ ตัวเขาหันไปมองชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่กำลังรออยู่ด้านนอกแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
ในตอนนั้นเองชายผู้พกดาบยาวที่อยู่ด้านล่างก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มซะก่อน “บางทีอาจจะเป็นคนจากพระราชวังก็ได้นะ…นายท่าน พวกเราพบกันอีกแล้ว! “
แม้ว่าลู่โจวจะมองไม่เห็นคนที่พูด แต่เขาจำเสียงของคนคนนี้ได้ดี ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นผู้ที่หลงใหลในดาบ ชายคนนี้ก็คือเจียงอาเฉียนนั่นเอง