My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 71
พวกเขาทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปยังทางตะวันออกของเมืองรูหนาน พวกเขาทั้งหมดได้ใช้รถม้าในการเดินทาง
หลังจากเดินทางได้เพียงครึ่งทาง เจียงอาเฉียนก็ได้ขวางการเดินทางของพวกเขาซะก่อน เขาในตอนนี้ถือดาบมือเดียวเอาไว้ในมือขวา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังถือลูกแพรที่ถูกกัดไปแล้ว เจียงอาเฉียนได้เดินตรงมาที่รถม้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านผู้อาวุโส ข้าจะบอกตำแหน่งให้ท่านเอง”
เฉาซั้วรู้สึกสับสนเล็กน้อย ในตอนนั้นเขาก็รีบเอ่ยปากขึ้น “พี่ชาย พวกเราจะไปจัดการวายร้ายด้วยกัน เจ้าไม่รู้สึกกลัวเลยอย่างงั้นหรอ? “
“แน่นอน ข้าต้องกลัวสิ ข้ารู้สึกกลัวราวกับว่าเป็นความกลัวที่มาจากความตาย แต่ถึงแบบนั้นยังไงพวกเราก็มีท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่แล้ว เพราะงั้นไม่มีอะไรน่าห่วงอีกต่อไป” เจียงอาเฉียนตอบกลับมาอย่างไร้กังวล
ลู่โจวในตอนนั้นลูบเคราก่อนที่จะเอ่ยปากถามขึ้น “เจ้าได้ข่าวอะไรมาอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนได้แต่ยิ้มให้ แม้ว่าตัวเขาจะไร้ยางอายและมีเล่ห์เหลี่ยมมากขนาดไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มีความสามารถพิเศษในการหาข่าวอย่างแท้จริง
ลู่โจวไม่ได้สนใจวิธีที่เจียงอาเฉียนใช้รวบรวมข่าว ลู่โจวรีบกวักมือให้เจียงอาเฉียนขึ้นรถม้าตามมา หลังจากนั้นรถม้าคันเดิมก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
เจียงอาเฉียนจ้องตรงไปด้านหน้าก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “มีใครบางคนจากพระราชวังกำลังอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่โจวก็ได้แต่ฟังต่อไป เขาได้ใช้มือของตัวเองลูบเคราไปด้วย
เจียงอาเฉียนยังคงพูดต่อไป “ใครบางคนที่มาจากพระราชวังคนนั้นเป็นผู้บงการเรื่องในครั้งนี้ เรื่องในพิธีศักดิ์สิทธิ์…ข้ามั่นใจว่าท่านผู้อาวุโสน่ะจะต้องทำให้เจ้านั่นไม่พอใจแน่ที่ไปทำลายแผนการมันเข้า แต่ถึงแบบนั้นท่านผู้อาวุโสก็มีวรยุทธ์ที่ลึกล้ำเกินไป ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะกล้าทำร้ายนักบวชอาวุโสเช่นท่านได้ วรยุทธท่านน่ะคงจะเหนือล้ำกว่าทางนั้น”
ลู่โจวพยักหน้า
ในตอนนั้นล้อรถม้าหมุนเร็วมากยิ่งขึ้น มันกำลังเร่งความเร็วนั่นเอง
เจียงอาเฉียนมองตรงไปที่ถนนด้านหน้า “ศิษย์คนที่สี่จากศาลาปีศาจลอยฟ้า หมิงซี่หยินน่ะได้ฝึกฝนตัวเองจนบรรลุเคล็ดวิชาเวหาพงพนาได้แล้ว และเพราะแบบนั้นวรยุทธของเจ้านั้นจึงเพิ่มสูงขึ้น เห็นทีการจะปราบเขาได้คงจะยากซะหน่อย แต่ถึงแบบนั้นก็คงจะไม่คณามือท่านผู้อาวุโสหรอก ท่านควรจะจัดการเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นข้าเกรงว่าเจ้านั่นมันจะหนีไปได้”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ออกมา “เจ้าดูเหมือนจะรู้เยอะเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะจริงนะ”
ในตอนนั้นใบหน้าของเจียงอาเฉียนก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่มั่นใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมา “ข้าคงจะปิดบังกับท่านผู้อาวุโสไม่ได้เลยสินะ ในตอนที่จีเทียนเด๋าถูก 10 ยอดฝีมือเข้าโจมตี…” หลังจากนั้นเขาก็หยุดพูดพักหนึ่งก่อนที่จะชี้ตัวเองและพูดต่อไป “ในตอนนั้นข้าน่ะอยู่ที่นั่นด้วย! “
เจียงอาเฉียนดูจะภาคภูมิใจมาก เขาได้พูดต่อไป “การต่อสู้ครั้งนั้นน่ะยิ่งใหญ่จนกลายเป็นการต่อสู้แห่งศตวรรษเลยก็ว่าได้! 10 ยอดฝีมือที่มีพลังยุทธล้ำเลิศ พวกเขากว่าครึ่งมีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งหกแห่งร้อยวิถี และพวกเขาอีกครึ่งมีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งเจ็ดแห่งร้อยวิถี! แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งหมดที่ร่วมมือกันก็มิอาจจะเอาชนะจีเทียนเด๋า ผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งแปดแห่งร้อยวิถีได้! “
ลู่โจวถึงกับผงะเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงอาเฉียน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะตกใจแต่สีหน้าของเขาในตอนนี้ก็ยังสงบนิ่ง ไร้อารมณ์อยู่ดี ตัวเขาเองจำภาพนั้นได้ดี ภาพที่มีอยู่ในความทรงจำ แต่ถึงแบบนั้นเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจียงอาเฉียนจะรู้ลึกขนาดนี้ นั่นเป็นการต่อสู้ที่ควรจะเป็นการต่อสู้ที่เป็นความลับมากกว่า
เจียงอาเฉียนยังคงเดินในรถม้าก่อนจะพูดต่อไป “การต่อสู้นั่นน่ะกินเวลาไปกว่าสามวันสามคืน และในท้ายที่สุดการต่อสู้ก็จบลง การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจบลงด้วยการเสมอกัน ปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าได้รับบาดเจ็บ…จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจเข้าใจได้เลย ทำไมสิบยอดฝีมือถึงไม่สามารถจัดการกับมหาวายร้ายคนนั้นได้หลังจากที่บุกไปยังภูเขาทองเมื่อเดือนก่อนกัน? “
ลู่โจวไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไป เพราะแบบนั้นเขาก็เลยหาโอกาสที่จะเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา “เจ้าน่ะกลัวเขาอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “นับตั้งแต่ที่ข้าเห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้นแล้ว ข้าก็สาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะอยู่ให้ห่างกับชายคนนั้น ชายคนนั้นน่ะน่ากลัวเกินไป! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีมนุษย์ที่น่ากลัวแบบนั้นอยู่ด้วย? “
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นรีบใช้มือเล็กๆ ของเธอปิดปากของตัวเองไว้ เธอพยายามกลั้นหัวเราะให้ได้มากที่สุด ไม่ช้าเธอก็ไม่อาจที่จะกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป เธอหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง
เจียงอาเฉียนคิดว่าเรื่องที่เขาเล่าไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกเด็กสาวตัวน้อยหัวเราะเยาะเข้า
จ้าวยู่เองก็เกือบที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เธอเองก็เกือบที่จะหลุดหัวเราะออกมาเหมือนกัน
“หยุด! ” เฉาซั้วได้ตะโกนเสียงดังอย่างกะทันหัน
รถม้าที่พวกเขาทั้งหมดเดินทางมาจึงหยุดตัวลง
เจียงอาเฉียนรีบกระโดดลงจากรถม้า เขาตกใจมากเมื่อเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า ที่หน้าประตูเมืองมีศีรษะมนุษย์ถูกแขวนอยู่หลายหัวด้วยกัน ในตอนนั้นเขาก็ได้แต่อุทานออกมา “ช่างโหดร้ายอะไรแบบนี้! “
ลู่โจวเองก็ลงมาจากรถม้าเช่นกัน เขามองไปยังศีรษะมนุษย์ที่ยังคงเปื้อนเลือดอยู่
เฉาซั้วที่เห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วในทันที “คนร้ายจะต้องอยู่ใกล้ๆ แน่…ข้าจะรีบติดต่อกับชาวยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจตราพื้นที่ ในไม่ช้ายังไงพวกเราจะต้องรู้ที่อยู่กับคนร้ายแน่”
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “นี่มันศพของโจรภูเขาน่ะ”
“นั่นมันไม่สำคัญ” เฉาซั้วพูดต่อไป “ข้าจะทำทุกอย่างที่จะจับเจ้าวายร้ายนั่น”
ลู่โจวหันไปมองเฉาซั้ว เขาในตอนนี้ได้แต่คิดในใจ ‘ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับชายคนนั้นสินะ’
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งก็ได้ดังไปทั่วทั้งพื้นที่ “พวกเจ้าคิดว่าใครจะมาจับข้าได้กัน? ฝันไปเถอะ! “
“วายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาแล้ว! ข้าจะต้องรีบหนี” เจียงอาเฉียนพูดออกมาก่อนที่จะวิ่งไปในทันที แต่ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้คว้าแขนของเขาไว้ซะก่อน
“อย่าได้กลัวไป”
“เอ่อ…ข้าไม่กลัว…” เจียงอาเฉียนพยายามปฏิเสธ
ในตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าที่วิ่งอยู่บนหลังคาก็ได้ดังขึ้น
เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“วายร้ายมาแล้ว! “
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองไปยังทิศที่เสียงหัวเราะดังขึ้น ในตอนนั้นเองชายผู้ที่มีดวงตาแปลกประหลาดและมีเส้นผมสีดำสนิท ชายคนนั้นกำลังสวมชุดคลุมสีขาว เขาตรงมาด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะเยาะเย้ยทุกคนที่กำลังยืนอยู่ “มาเลย! ตามข้ามาสิ! “
ดวงตาของเฉาซั้วเบิกกว้างขึ้นจากความโกรธ ในตอนนั้นเขาก็เริ่มชักดาบออกมา
เฉ้ง!
เฉาซั้วที่ได้ยินแบบนั้นรีบพูดออกมาก่อนจะจากไป “ท่านผู้อาวุโส ข้าฝากท่านช่วยปกป้องชาวเมืองด้วยเถอะ”
ลู่โจวมองไปที่หมิงซี่หยินอย่างใจเย็น ตัวเขากำลังจ้องมองเหล่าชาวยุทธที่กำลังไล่ตามหมิงซี่หยินไป สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ที่ลู่โจวอยู่ที่นี่ เจียงอาเฉียนก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ อะไรนิดหน่อย เดิมทีตัวเขาจะชินกับการสังเกตทุกอย่างในมุมใดมุมหนึ่ง แต่ในตอนนี้เขากลับยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง
ในตอนนั้นเสียงหัวเราะของหมิงซี่หยินได้เข้ามาใกล้มากขึ้น “น่าเบื่อจริง! ” ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็เร่งความเร็วขึ้น ในตอนนั้นเองพริบตาเดียวเขาก็ได้ตีตัวออกห่างชาวยุทธทั้งหลายไปกว่าหลายร้อยเมตร
“นั่นมันวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์! ” เจียงอาเฉียนพูดออกมา คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตื่นตกใจ
หลังจากที่เห็นความเร็วของหมิงซี่หยินแล้ว ความเร็วของชายคนนี้จะต้องเป็นของผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่
เจียงอาเฉียนได้แต่กลืนน้ำลาย เขารู้ถึงความแตกต่างดี ถึงแม้ว่าวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ของหมิงซี่หยินจะเป็นขั้นต้นก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นเขาก็แข็งแกร่งกว่าชาวยุทธโดยทั่วไปอยู่ดี เหล่าวายร้ายที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้านั้นไม่สามารถเทียบอะไรได้กับคนธรรมดาๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองหมิงซี่หยิน ในตอนนั้นเฉาซั้วก็ได้ตะโกนออกมา “วายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเอ๋ย วันนี้เป็นวันตายของเจ้า! ” หลังจากพูดจบเฉาซั้วก็ได้ใช้ดาบของเขาฟาดฟันผ่านอากาศไป คลื่นดาบที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างได้ลอยเข้าหาหมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินหัวเราะขึ้นมาก่อนที่จะปัดคลื่นพลังทำลายล้างด้วยเพียงมือเดียว
ตู้ม!
คลื่นพลังทำลายล้างที่ถูกสร้างจากดาบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แบบ
หมิงซี่หยินที่ปัดการโจมตีได้ได้หัวเราะออกมาอย่างพอใจ “เจ้าน่ะทำอะไรข้าไม่ได้หรอกน่ะด้วยเคล็ดวิชากระจอกๆ แบบนั้น! ” ในตอนนั้นที่เขาพูดจบ เขาก็เผลอมองไปพับกับใครคนหนึ่ง “ชายชราคนนั้น…ดูเหมือนท่านอาจารย์! “
เฉาซั้วได้แต่ตกใจ เขาคิดว่าตอนนี้ตัวเขาได้ยั่วโมโหเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อย เฉาซั้วเคยได้ยินมาว่าเหล่าวายร้ายจะสังหารผู้คนโดยถลกหนังหัวของเหยื่อผู้โชคร้ายออกมา เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็รีบถอยไปหลบหลังลู่โจว
ลู่โจวใช้มือลูบเคราของตัวเองอย่างใจเย็น เขาไม่สามารถตำหนิอะไรลูกศิษย์คนนี้ได้ถ้าหากลูกศิษย์ของเขาจะจำตัวเขาไม่ได้แบบนี้ ตั้งแต่ที่ใช้การ์ดพลังชีวิตเพิ่มอายุขัยของตัวเอง รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีมีทางเลยที่หมิงซี่หยินจะไม่สามารถจดจำเขาได้
หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว เขาจ้องมองไปยังลู่โจว หลังจากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาลอยตัวลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เจียงอาเฉียนรีบเดินถอยไปก่อนที่จะชักดาบของเขาออกมา “ท่าไม่ดีแล้ว! วายร้ายนั่นจะลงมา! ” แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังคงนิ่งเฉย เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็รู้สึกสับสน
ทันทีที่หมิงซี่หยินลงมาถึงพื้น เขาก็ได้วิ่งไปหาพวกลู่โจว หมิงซี่หยินที่วิ่งไปถึงได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านอาจารย์! ” หลังจากพูดเสร็จเขาก็ยกแขนเสื้อขึ้นก่อนที่จะคุกเข่าคำนับทันที หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็พูดต่อไป “ศิษย์คนนี้ขอคารวะท่านอาจารย์! “
เจียงอาเฉียนแล้วเฉาซั้วที่เห็นแบบนั้นรู้สึกงุนงง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะโบกมือให้กับหมิงซี่หยิน “ยืนขึ้นซะ”
หมิงซี่หยินยืนขึ้นอย่างสุภาพ ท่าทีที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดสิ้น “ท่านอาจารย์ พวกเราไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะพบกันในโรงเตี๋ยมเมฆาอย่างงั้นหรอ? ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ? “
ดวงตาของเฉาซั้วเบิกกว้าง ตอนนี้เขาเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว “ท่าน…ทะ…ท่าน…”
หยวนเอ๋อที่ทนมานานได้พูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “ระวังปากไว้! ถ้าหากเจ้ายังพูดไม่ดีอีกล่ะก็ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าออกมาให้กับท่านอาจารย์เอง! “
เจียงอาเฉียนรู้สึกตะลึง “นี่มันเยี่ยมมาก มันสายไปแล้วสินะที่ข้าจะหนีน่ะ? “