My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 80
ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นได้ลอยไปตรงหน้ากลุ่มอัศวินก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อัศวินดำคนที่สามได้เงยหน้าไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะหยิบธนูของเขาออกมา เขาได้ยิงลูกธนูไปในอากาศอย่างไร้ความหมาย
อัศวินดำคนที่สามได้กระโดดลงมาก่อนที่จะขี่ม้าเช่นเดิม “ข้าจะเป็นผู้ถ่ายทอดข้อความนี้เอง”
หลังจากที่พูดจบผู้นำกลุ่มอัศวินดำก็ได้ใช้เส้นทางเล็กๆ เดินทางกลับไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ไม่นานหลังจากนั้นป่าผืนนี้ก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง หมิงซี่หยินได้เดินออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ยักษ์ เขาจ้องมองการจากไปของกลุ่มอัศวินดำด้วยความสนใจ “เจ้าพวกนี้มันแข็งแกร่งมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่ฝานซุยเหวินจะเป็นคนอ่อนแอ ท่านอาจารย์ ครั้งนี้ท่านพยายามที่จะทำอะไรกันแน่? “
พลังวรยุทธของอัศวินดำทั้งสี่ใกล้เคียงที่จะถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เต็มที ส่วนอัศวินดำคนที่เหลือต่างก็เป็นผู้มีวรยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งหมด ถ้าหากไม่นับศิษย์พี่คนโตและศิษย์พี่คนรองของศาลาปีศาจลอยฟ้า กลุ่มอัศวินดำพวกนี้คงจะสามารถต่อกรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เลย ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะไม่มีใครในโลกยุทธภพที่จะออกคำสั่งกับพวกเขาได้
ความอยากรู้ของหมิงซี่หยินได้เพิ่มมากขึ้นทุกที ความสงสัยที่ว่า “ฝานซุยเหวินคือใครได้? ” ได้เพิ่มขึ้นมาทุกที หมิงซี่หยินรีบลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วราวกับนกนางแอ่น ด้วยเคล็ดวิชาเวหาพงพนาทำให้หมิงซี่หยินสามารถใช้พลังได้เต็มทีในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้แบบนี้ ตัวเขาเคลื่อนที่เร็วดุจดั่งสายฟ้าก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
…
เมื่อกลุ่มอัศวินดำเดินทางมาถึงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ได้เข้าเมืองไปในทันที พวกเขาได้เดินอ้อมตัวเมืองไปก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังทางเหนือ
เดิมทีทหารองคคักษ์ของจักรวรรดิจะทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวง อัศวินดำเป็นเพียงกลุ่มทหารที่ทำภารกิจต่างๆ ในเงามืดเท่านั้น การมีอยู่ของพวกเขายังไม่ได้ถูกเผยแพร่ให้กับสาธารณชน และเพราะแบบนั้นฐานที่อยู่ของพวกอัศวินดำจึงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงนั่นเอง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ฐานที่ตั้งลับของพวกเขาได้
…
ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง ฐานที่มั่นของกลุ่มอัศวินดำ
อัศวินดำทั้งสี่ได้เข้ามาภายในห้องโถงแห่งหนึ่งพร้อมๆ กัน
“นายท่าน พวกเราทำภารกิจเสร็จแล้ว เจ้าคนทรยศจากเมืองแห่งนั้นถูกพวกเรากลุ่มอัศวินดำจัดการไปเป็นที่เรียบร้อย”
พวกเขาทั้งสี่คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งหลายต่างประสานมือทำท่าเคารพ
ภายในห้องโถงแห่งนั้นมีโต๊ะสีน้ำตาลตัวหนึ่งถูกตั้งอยู่ ด้านบนของมันว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งของใดๆ ถัดจากโต๊ะตัวนั้นเองมีชายร่างสูงกำลังยืนอยู่ ชายคนนั้นสวมใส่ชุดเกราะสีดำและกำลังยืนหันหลังให้กับพวกเขาทั้งสี่
“เยี่ยมมาก” เสียงของชายคนนั้นแหบแห้งและนุ่มลึก
“นายท่าน ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องรายงาน”
“ว่ามา”
“พวกเราพบวายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าระหว่างทางกลับ เจ้านั่นได้ฝากข้อความให้กับนายท่านครับ”
อัศวินดำทั้งสี่ต่างสบตากัน ในผู้นำของอัศวินดำทั้งสี่หยุดคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าอยากพบท่าน เจ้าพวกนั้นให้เวลาทั้งหมดสามวันด้วยกัน”
ฝานซุยเหวินที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เขาหันกลับมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปนั่งเก้าอี้อย่างสง่างาม เขาคนนี้เองก็สวมหน้ากากเช่นกัน ใบหน้าของเขาถูกปกปิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครรู้เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของชายคนนี้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฝานซุยเหวินก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ภัยพิบัติได้ซัดเข้าหาข้าแล้วสินะ”
“นายท่าน ทุกคนในโลกต่างก็รู้จักศาลาปีศาจลอยฟ้าดี ที่แห่งนั้นเป็นที่ที่สร้างเหล่าวายร้ายทั้งเก้าคนในช่วงเวลากว่าหลายศตวรรษด้วยกัน พวกเขาเหล่านั้นต่างสร้างความแตกตื่นให้กับทั่วทุกหนแห่ง ปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าเองมีวรยุทธสูงส่งจนไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้เลย นายท่าน ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศาลาปีศาจลอยฟ้าจะดีกว่า…”
ฝานซุยเหวินได้ยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าได้รับคำสั่งจากพระราชวังมา ศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะได้เข้าไปจุ้นจ้านกับแผนการทางพระราชวัง”
อัศวินดำทั้งสี่ต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ฟังคำพูดของฝานซุยเหวิน แม้แต่หน้ากากที่ปกปิดใบหน้าก็ไม่อาจที่จะเก็บความรู้สึกของพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ได้
“นายท่าน พวกเรากำลังสร้างศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ? “
ฝานซุยเหวินส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะเป็นพวกที่ชั่วช้าน่ากลัวก็จริง พวกเราไม่รู้วรยุทธของศิษย์ทั้งเก้าซะด้วยซ้ำ…เคยมีข่าวลือที่ว่ากันว่าจีเทียนเด๋าสามารถใช้พลังร่างอวตารดอกบัวทั้งแปดแห่งร้อยวิถีได้ ข้าน่ะไม่แปลกใจเลยที่เขาจะสามารถขับไล่เหล่ายอดฝีมือทั้ง 10 ในเหตุการณ์ตอนนั้น”
ลูกน้องทั้งสี่คนของฝานซุยเหวินได้แต่ก้มหน้าฟังเรื่องราวอย่างเงียบๆ
หลังจากที่พึมพำกับตัวเองไปพักหนึ่ง ฝานซุยเหวินก็ได้ประสานมือเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน่ะไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอกนะ…เป็นเรื่องธรรมดา การสร้างศัตรูกับผู้ที่มีพลังอำนาจมากเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง”
อัศวินดำทั้งสี่ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ พวกเขาทั้งหมดกังวลว่าผู้นำของพวกเขาคนนี้จะมีความมั่นใจเกินไป แม้ว่ากลุ่มอัศวินดำจะทรงพลังมาก แต่ถ้าหากเข้าปะทะกับจีเทียนเด๋าจริงๆ ไม่ว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะต่างฝ่ายจะต้องเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องรีบร้อนใจ เมื่อเวลาของจีเทียนเด๋าหมดลง การจะทำลายศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลังจากนั้นฝานซุยเหวินก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง คำพูดของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทุกอย่างไปในทันที “ไม่ว่าจะยังไงก็ตามถ้าหากพระราชวังออกคำสั่งมาพวกเราก็ต้องทำตาม และเพราะศาลาปีศาจลอยฟ้าอยากจะเจอตัวข้า ดังนั้นข้าจะไปพบกับเจ้าพวกนั้นเอง”
อัศวินดำทั้งสี่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับผงะ พวกเขาทั้งหมดไม่คาดคิดว่าทางพระราชวังจะสั่งการให้กลุ่มอัศวินดำไปเจรจากับศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?
อัศวินดำทั้งสี่เป็นลูกน้องที่ฝานซุยเหวินสามารถเชื่อใจได้มากที่สุดแล้ว พวกเขาทั้งหมดเองรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฝานซุยเหวินดี ฝานซุยเหวินเป็นคนที่อายุน้อยกว่าจีเทียนเด๋า แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็มีพรสวรรค์เป็นอย่างมากในโลกของยุทธภพ ในตอนที่เขายังมีอันดับอยู่อันดับต้นๆ ของบัญชีดำ ในตอนนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไม่ก่อตั้งตัวเองขึ้นมาด้วยซ้ำไป จีเทียนเด๋าและฝานซุยเหวินผู้นำของพวกเขาเคยประมือมาแล้ว แต่ผลการต่อสู้ในครั้งนั้นกลับเสมอกัน หลังจากนั้นเองจีเทียนเด๋าก็สามารถพัฒนาวรยุทธตัวเองอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างศาลาปีศาจลอยฟ้าขึ้นมาได้สำเร็จ อัศวินดำทั้งสี่ไม่รู้เลยว่าวรยุทธของฝานซุยเหวินในตอนนี้จะลึกล้ำมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าพลังร่างอวตารของผู้นำคนนี้จะต้องไม่สูงไปกว่าพลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีอย่างแน่นอน
“นายท่าน! อายุของจีเทียนเด๋าใกล้ที่จะหมดลงเต็มที เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะต้องจากไป ทำไมพวกเราถึงจะต้องรีบไปที่นั่น ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ด้วยล่ะ? “
“ข้าเห็นด้วย! “
“ข้าเห็นด้วย! “
“ข้าเห็นด้วย! “
อัศวินดำทั้งสี่ต่างเห็นด้วยซึ่งกันและกัน
ฝานซุยเหวินมองไปที่อัศวินดำทั้งสี่ ตัวเขาไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเลย ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งสี่ก็เป็นคนที่ฝานซุยเหวินไว้ใจมากที่สุด ตัวเขาได้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกเช่นเคย “ข้าน่ะรอได้เสมอ อัศวินดำของพวกเราก็รอดได้เช่นกัน แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ยังรอได้ แต่ถึงแบบนั้นโลกใบนี้น่ะรอไม่ได้หรอกนะ”
อัศวินดำทั้งสี่ไม่เข้าใจความหมายของฝานซุยเหวิน
ฝานซุยเหวินที่เห็นลูกน้องทั้งสี่ไม่เข้าใจจึงได้พูดออกมาอีกครั้ง “อีกสามวันข้าจะไปศาลาปีศาจลอยฟ้า เรื่องนี้น่ะถูกตัดสินมาแล้ว”
…
“ติ้ง! หมิงซี่หยินทำภารกิจสำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 300”
เมื่อลู่โจวได้รับการแจ้งเตือนนี้ ตัวเขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ลู่โจวรู้สึกยินดีมากกว่า นอกจากนี้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ลูกศิษย์ของเขาที่อยู่ที่นี่และเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวมากที่สุดก็คือหมิงซี่หยิน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของหมิงซี่หยินก็คือพลังวรยุทธของเขานั่นเอง พลังวรยุทธของเขาไม่ได้ถูกสั่งสอนอย่างถูกต้องจากจีเทียนเด๋ามาเป็นเวลานาน และเพราะแบบนั้นตัวเขาจะต้องรีบเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ให้ได้
ลู่โจวรู้ดีว่าในตอนนี้ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไม่ถูกบุกโจมตีเป็นเพราะพลังวรยุทธของจีเทียนเด๋าที่เป็นที่เรื่องลือกัน แต่ถึงแบบนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ยั่งยืนนานเสมอไป แต่ยังไงซะความพยายามในการโจมตีที่แห่งนี้จะต้องมีมากขึ้นอยู่ดี แม้ว่าวรยุทธของคนคนหนึ่งจะมากมายขนาดไหน แต่คนคนนั้นไม่อาจที่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวนิรันดร์ได้ นี่คือสิ่งที่ทุกคนในโลกต่างรู้ดี มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว
ลู่โจวในตอนนี้ได้แต่ใช้ความคิดอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหยวนเอ๋อเขาก็รู้สึกตัว
“ท่านอาจารย์ ศิษย์รอมาทั้งวันแล้วศิษย์พี่สี่ก็ยังไม่เขียนจดหมายตอบกลับมาเลย ท่านอาจารย์คิดว่าศิษย์พี่จะได้รับจดหมายของข้าไหม? ” หยวนเอ๋อเริ่มรู้สึกกังวลหลังจากนั้นเธอก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าลู่โจว
“ทุกอย่างปกติดี เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก” หมิงซี่หยินสามารถทำภารกิจได้ลุล่วงแล้ว ตราบใดที่เขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อน ยังไงซะเขาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยไร้ปัญหาแน่
แต่ถึงจะฟังแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้พูดต่อไป “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่จะตายไหม? ข้าน่ะได้ไปถามเจ้าคนโง่เง่ามา เจ้านั่นบอกว่าหัวหน้าอัศวินดำ ฝานซุยเหวินเป็นคนที่อันตรายมาก ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่”
“เจ้าคนโง่เง่าอย่างงั้นหรอ? “
“ฝานซง! เจ้านั่นบอกว่าศิษย์พี่สี่จะต้องตายแน่! หลังจากที่ข้าได้ยินแบบนั้นข้าก็รู้สึกหงุดหงิดใจ” หยวนเอ๋อพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
“หงุดหงิดใจอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวในตอนนี้กำลังจินตนาการถึงใบหน้าของฝางซง ใบหน้าของเขาคงจะบวมและฟกซ้ำไปหมดแล้ว
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เอ่อ ศิษย์บังเอิญไปข่วนเจ้านั่นน่ะท่านอาจารย์…”
ลู่โจวส่ายหัว ‘เมื่อไหร่เด็กคนนี้จะเลิกใช้ความรุนแรงสักทีกัน? ‘ หลังจากคิดแบบนั้นเขาก็ใช้มือเคาะไปที่หัวของหยวนเอ๋อตัวน้อย “เจ้าน่ะเป็นเด็กที่เกเรซะจริง”
“ศิษย์รู้ดีว่าศิษย์ผิดไปแล้ว”
ตู๊ม!
ในตอนนั้นเองเสียงระเบิดก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของภูเขา
ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ภูเขาทองได้รับการป้องกันจากม่านพลังเป็นอย่างดี ‘ใครกันที่มาก่อความวุ่นวาย? ‘
ในเวลานี้ฝางซงรีบปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ตัวเขารีบประสานมือคารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “นะ…นายท่าน ศิษย์พี่สามพลังเพิ่มแล้ว! “
ด้วนมู่เฉิงในตอนนี้สามารถพัฒนาพลังวรยุทธของตัวเองให้ถึงระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างงั้นหรอ?